ตอนที่ 140-3 ผู้สอดส่องในตงกง แสดงอำนาจข่ม

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นมองเขา และไม่ได้พูดอะไรมาก อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่เรื่องวันสองวันนี้ แค่ถึงเวลาได้โอกาสก็ค่อยจัดการเท่านั้น จึงเพียงยิ้มเล็กน้อย ปลายริมฝีปากเผยเล่ห์เหลี่ยม กลับเห็นว่ามือของชายหนุ่มหยิกคางตัวเองแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บแปลบ จึงมีน้ำเสียงเฉียบขาด “ข้าขอเตือนเจ้า ไม่อนุญาตให้ลงมือทำอะไรตามอำเภอใจ เรื่องนี้ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าไปต่อต้านนางเจี่ยงซื่อ”

 

 

ทุกวันนี้ฮองเฮาสามารถทำร้ายหลานสาวตัวเองได้อย่างนิ่งเฉย พรุ่งนี้ยากจะรับประกันว่าต่อไปจะเป็นนาง ถ้าหากยั่วโทสะนางเจี่ยงซื่อ ใครจะรู้ว่าเล่นงานนางได้อย่างไร

 

 

“เจ็บ…” นางร้องเบาๆ ออกมา คิ้วที่ได้รูปดั่งภูเขาขมวดเข้าหากัน แล้วตีมือเขา พร้อมทำหน้าทะเล้น “ใครบอกว่าข้าจะต่อต้านนางล่ะ คนโง่เท่านั้นแหละถึงมีเรื่องกับนาง องค์ชายสามเห็นข้าเป็นหญิงปากตลาดที่ชอบหาเรื่องทะเลาะนั้นหรือ เจ้าตีข้าทีหนึ่งข้าจะคืนให้หนักกว่าเดิมเลย!”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นท่าทางของนางที่ไม่เคร่งเครียดและไม่มีแผนการอะไร แววตายิ่งมืดทะมึน “ได้รับคำสั่งย้าย ข้าก็จะยุ่งขึ้นแล้ว ฮองเฮาต้องการจะเรียกเจ้า เวลาใด ที่ใดก็ได้ แต่ข้าไม่อาจอยู่ข้างกายเจ้าได้ตลอดเวลา… “

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นโบกมือราวกับเด็กน้อยที่ทำท่าขอไปที ไม่อดรนทนอีกแล้ว “พอแล้ว พอแล้ว เหมือนกับท่านย่าของข้าไม่มีผิดจริงๆ หนำซ้ำพูดพล่ามเสียยิ่งกว่าท่านย่าของข้าอีก”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงย่นคิ้วทันควัน ท่านย่า? ตัวเองจะเหมือนท่านย่าของนางได้อย่างไรกัน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคนเคยบอกมาก่อนว่าตัวเองพูดพล่าม

 

 

เห็นว่าใกล้ถึงจวนอ๋องแล้ว นางก็ผละออกจากกายของเขา แล้วกลับไปนั่งที่เดิม

 

 

เนื้อหนังที่หอมนวลเต็มอ้อมอกนั้นได้หายไปแล้ว มือทั้งสองคู่ของซย่าโหวซื่อถิงแผ่ออกและชะงักอยู่นิ่งกลางอากาศ จู่ๆ ก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมา และไม่รู้ว่าเพราะเป็นอะไร ทั้งๆ ที่เมื่อคืนกอดแล้วทั้งคืน จนถึงตอนนี้ก็ยังถวิลหา กอดอย่างไรก็รู้สึกไม่พอ

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นใบหน้าของเขาแดงระเรื่ออย่างน่าสงสัยอีกครั้ง แต่ก็คิดว่าเพราะนั่งข้างหน้าต่างจึงทำให้ถูกดวงตะวันแผดเผา นางขาเหยียดออกไป เตะรองเท้าของเขาเบาๆ “จริงสิ หลังจากคำสั่งย้ายที่อำเภอฉางชวนได้ออกไป ก็ต้องไปประจำอยู่ที่นั่นแล้วไม่ใช่หรอกหรือเพคะ”

 

 

จวนอ๋องขององค์ชายอยู่ที่เมืองหลวง หน้าที่ราชการที่ได้รับมอบหมายโดยปกติก็ปฏิบัติอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีความกังวลนี้โดยปกติ แต่ตอนนี้ ตำแหน่งของเขาขึ้นอยู่กับสถานที่ อย่าบอกนะว่าต้องย้ายจวนไปที่อำเภอฉางชวนน่ะ?

 

 

ท่าทางของเขามีความสงบคืนกลับมา “หน้าที่ขององค์ชายถ้าหากขึ้นอยู่กับสถานที่ ธรรมดาแล้วนานๆ ครั้งหรือว่าสถานที่แห่งนั้นมีภารกิจราชการที่ใหญ่ๆ ถึงจะไป ในวันปกติทำงานอยู่ในจวนก็ได้แล้ว” พูดจบ เห็นคนตรงหน้าพูด “อ้อ” อย่างเกียจคร้าน และใบหน้าดูผิดหวังเล็กน้อย เขาก็ขมวดคิ้ว “ทำไม เจ้าเห็นข้าไม่ไปประจำอยู่ที่อื่น ดูเหมือนจะผิดหวังมากนะ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความรำคาญใจ ถึงจะยิ้มพูด “ถ้าองค์ชายสามไปทำงานที่อื่น ก็แสดงว่าข้าก็อาจจะได้ไปเยี่ยมเสียหน่อย อยู่เมืองหลวงจนเบื่อแล้วเพคะ”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงในใจพลันสั่น แววตาสงบลง ขณะที่กำลังจะพูดอะไรขึ้น เกี้ยวก็ได้หยุดลงที่ประตูจวนอ๋องฉินแล้ว

 

 

ประตูสีชาดของจวนอ๋องเปิดออก เกาฉางสื่อ ซือเหยาอันและหรุ่ยจือนำชายฉกรรจ์หลายนายรออยู่ที่ขั้นบันไดล่าง เห็นนายทั้งสองท่านกลับมาแล้ว ก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ ชูซย่าก็อยู่ในนั้นด้วย ทันทีที่อวิ๋นหว่านชิ่นลงจากเกี้ยว ก็คว้าแขนของคุณหนูบ้านตัวเองไว้ และร้องเรียกอย่างสนิทสนม

 

 

ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ได้พบชูซย่าเลย จึงเรียกให้นางอยู่ข้างกายของตัวเอง และเดินเข้าไปด้านในด้วยกัน

 

 

ครั้งนี้ที่ซย่าโหวซื่อถิงเล็งอำเภอฉางชวนไว้ ก็เป็นความคิดวางไว้ตั้งนานแล้ว หลังจากได้เลื่อนตำแหน่งก็วางแผนจะให้ซือเหยาอันเป็นรองผู้ช่วยใกล้มือ ครั้นกลับมาถึง ก็เรียกซือเหยาอันให้มาหา เตรียมปรึกษางานที่ต้องเตรียมการเล็กน้อยก่อน ทั้งสองคนจึงเข้าไปในจวน และตรงไปที่ห้องหนังสือเลย

 

 

เกาฉางสื่ออยู่ข้างหลังกายพระชายา เดินมุ่งไปยังห้องหลัก พลางยิ้มและพูดว่า “องค์ชายสามได้ตำแหน่งราชการแล้ว ตั้งแต่บัดนี้ราชสำนักจะต้องให้ความสำคัญมากขึ้นอย่างแน่นอน อนาคตเจริญก้าวหน้าไม่หยุดหย่อนอย่างแน่นอนขอรับ”

 

 

หรุ่ยจือขมวดคิ้วอยู่ด้านข้างและพูดเบาๆ “อย่าโทษว่าบ่าวกล่าวคำไม่น่าฟังเลยนะเจ้าคะ สภาพแวดล้อมของอำเภอฉางชวนนั่นเลวร้ายมาก ประชาชนก็เป็นคนพาลหยาบช้า เป็นแหล่งมั่วสุมของกองโจร อีกทั้งสภาพอากาศก็ย่ำแย่ยิ่ง ฮ่องเต้ก็นะ ทำไมพอองค์ชายตรัส ก็มอบตำแหน่งนั้นให้ทั้งทีเลยล่ะเจ้าคะ ถ้าบ่าวอยู่ที่นั่นด้วย แม้ว่าจะต้องสู้จนตัวตาย ก็จะต้องขวางเอาไว้ให้ได้เลยเพคะ”

 

 

ขณะที่พูดประโยคสุดท้าย ก็ชำเลืองตามองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า สายตาไม่เพียงแต่แสดงความไม่พอใจอย่างมาก สถานะเป็นพระชายาผู้อยู่เคียงข้างกายของพระสวามี เรื่องใหญ่เช่นนี้ ก็ไม่รู้จักขวางสักหน่อย ไปโดยเปล่าประโยชน์เสียจริง

 

 

เกาฉางสื่อมองหรุ่ยจือแวบหนึ่ง กดเสียงต่ำ พูดปราม “หรุ่ยจือ…”

 

 

สาวใช้ที่เดินตามมาข้างกายล้วนกลั้นหายใจ โชคดีที่หรุ่ยจือคนนี้กล้าหาญอย่างมาก แต่ถ้าพวกนางเหมือนกับหรุ่ยจือที่อยู่กับอ๋องฉินเกือบสิบปี เรื่องกินอยู่อาศัย ไม่มีสิ่งใดไม่ผ่านตัวเองมาก่อน หลายครั้งที่อ๋องฉินเจ็บป่วย ก็ไม่สนชีวิต และดูดน้ำพิษออกให้อ๋องฉี กลัวแต่เพียงความกล้าหาญนี้ ในสายตาของคนนอก สถานะของหรุ่ยจือคนนี้ ไม่เป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาแน่นอน และเกือบจะคล้ายกับเป็นภรรยาน้อยของอ๋องฉิน เมื่อมาเทียบกับพระชายาอวิ๋นที่เข้าจวนไม่รู้ว่ากี่ปี ตอนนี้ ก็ย่อมมีความมั่นใจล้นเหลือ

 

 

หรุ่ยจือได้ยินผู้ดูแลอาวุโสร้องเรียก ก็ไม่ส่งเสียงใดๆ อีก

 

 

ก้าวเดินของอวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้หยุดลง เสียงกลับลอยดังไปถึงด้านหลัง ละม้ายคล้ายว่าจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ขวาง? แม่นางหรุ่ยจือลองว่ามาสิ ไฉนข้าจะต้องขวางด้วยหรือ”

 

 

หรุ่ยจือหัวเราะเยาะเบาๆ เสียงกลับมีความนอบน้อม “เรียนพระชายา อำเภอฉางชวนนั่นสภาพแวดล้อมไม่ดี ร่างกายขององค์ชายสามท่านก็ทราบนี่เจ้าคะ อีกอย่าง สถานที่ประจำตำแหน่งก็ห่างไกลจากเมืองหลวง จะไปกลับก็ต้องหลายวัน วิ่งไปมาสองฝั่ง องค์ชายสามจะรับความลำบากไหวได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”

 

 

ชูซย่าอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป “มีแต่เพียงแม่นางหรุ่ยจือที่เป็นห่วงองค์ชายสามหรือ เจ้าน่ะเบิกตาให้สว่างก่อนนะ ดูเสียหน่อยว่าผู้ใดเป็นบ่าว ผู้ใดเป็นพระชายากันแน่”

 

 

หรุ่ยจือมองชูซย่า ดวงตาทิ่มแทงราวกับเป็นหนามเล็กๆ หลายพันหลายหมื่นเล่ม ข้างริมฝีปากสั่นระริก “บ่าวพูดด้วยหลักเหตุผล มิใช่จะทะเลาะเพคะ ตั้งแต่วันที่ซ่อมแซมจวนอ๋องฉินนี้ บ่าวก็เข้ามาแล้ว และดูแลรับใช้ข้างกายองค์ชายสามตลอด อย่าบอกนะว่าตอนนี้แม้แต่เป็นห่วงนายท่านก็ไม่ได้เสียแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ บ่าวอยู่ในจวนอ๋องจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า พระชายาอ๋องก็ขายบ่าวออกไปเสียเลยสิเจ้าคะ!”

 

 

เมื่อคำพูดนี้ออกไป สาวใช้จวนอ๋องที่ตามเป็นแถวอยู่ด้านหลังก็คุกเข่าลงโดยพร้อมกัน ทั้งดึงชายเสื้อของหรุ่ยจือและอ้อนว้อนต่อพระชายา

 

 

“พี่หรุ่ยจืออย่าได้วู่วามเลย จวนอ๋องจะขาดใครไปก็ได้ แต่ไม่อาจขาดท่านได้นะ”

 

 

“จริงสินะ โดยปกติเรื่องการกินอยู่ของจวนอ๋องล้วนมีหรุ่ยจือเป็นผู้จัดแจง หากท่านไปครานี้ จวนอ๋องก็ต้องไม่เหมือนเดิมแน่นอน”

 

 

“พระชายาอวิ๋นเจ้าคะ พี่หรุ่ยจือเพียงแต่เป็นห่วงท่านอ๋องจากใจจริงถึงหลุดปากออกไปเท่านั้นเพคะ ขอท่านโปรดใจกว้างเมตตา ให้อภัยแก่นางด้วยเถิดเพคะ”

 

 

นางหรุ่ยจือคนนี้ ความสามารถที่เก่งกาจก็คือการยกคุณงามความดีในอดีตมาเป็นเหตุผลในการกดผู้อื่น ดั่งคนแก่ที่ข่มเด็ก อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เคืองโกรธแต่กลับยิ้ม อ๋อ ไม่สิ ไม่ใช่ดั่งคนแก่ที่ข่มเด็ก เจ้าหญิงรับใช้นี่ ไม่แก่นี่ อายุยังเยาว์วัยนัก ยังมีรูปโฉมที่ออกจะสะสวย หนุ่มสาวในจวนอ๋อง ไม่ว่าแต่งกาย กิริยาท่าทาง ก็ยิ่งไม่ธรรมดา เปรียบกับหญิงงามที่ศักดิ์ต่ำก็ต้องเย่อหยิ่งทะนงตนยิ่งกว่า สภาพแวดล้อมที่ดีเช่นนี้ ในใจก็ต้องย่อมมีแผนการอะไรบ้าง

 

 

ขายออกไป? ไม่พูดถึงว่าอ๋องฉินจะยอมหรือไม่ยอมก่อน ก็ดูบ่าวใช้ทุกคนที่นอกจากเกาฉางสื่อกับชูซย่า ล้วนอ้อนวอนเพื่อนาง ก็รู้ได้ว่าหลายปีนี้นางไม่ได้อยู่จวนอ๋องโดยเสียเปล่าๆ ยังได้ใจของบ่าวใช้อย่างมาก ยามที่จำเป็น คนที่จะออกหน้ายอมตายด้วยชีวิตด้วยความจงรักภักดีเพื่อนาง ก็คงไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองคนแน่นอน

 

 

แล้วยังประโยค ‘จวนอ๋องจะขาดใครไปก็ได้ แต่ไม่อาจขาดท่านได้’ อะไรนั่น นางไม่ได้เป็นแม่นมของซย่าโหวซื่อถิงเสียหน่อย ถ้าไปแล้วจะต้องหิวโซอดตายเชียวหรือ

 

 

แม้ว่าเป็นแม่นม ก็ต้องมีวันที่หย่านมอยู่ดี!

 

 

แล้วยังใจกว้างเมตตาอะไรนั่น ตัวเองถูกบ่าวใช้บังอาจแผ่อำนาจเหนือหัวของนายตัวเอง หากลงโทษ ยังจะกลายเป็นว่านายหญิงที่ใจไม่กว้างไม่มากพอหรอกหรือ

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองพวกสาวใช้กลุ่มนี้ที่เอาตัวเองกับหรุ่ยจือเป็นศูนย์กลางมาเป็นเรื่องบันเทิง ช่างน่าขันนัก

 

 

ให้เหล่าสาวใช้ดูพระชายาที่เพิ่งแต่งตั้งใหม่ ทันทีที่ผ่านเข้าประตูยังไม่ถึงหนึ่งวันก็จะเอาสาวใช้ในดวงใจของอ๋องฉีที่สำคัญสุดในจวนไปขายเสียแล้ว และเป็นเพราะสาวใช้คนนี้เป็นห่วงท่านอ๋อง แล้วต่อไปจะคุมบ้านคุมเรือนได้อย่างไร

 

 

พวกบ่าวใช้ต่ำต้อยก็เอาไม่อยู่แล้ว