ตอนที่ 140-4 ผู้สอดส่องในตงกง แสดงอำนาจข่ม

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นหันตัวกลับไป มุ่งตรงไปยังสาวใช้เหล่านั้น แม้ว่าสีหน้าจะผ่อนคลาย เสียงกลับเยือกเย็น “พวกเจ้าร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นนี้เพื่ออะไรกัน ใครเรียกให้แม่นางหรุ่ยจือไปแล้วหรือ ข้าพูดคำสั่งตลอดทางเมื่อครู่ พวกเจ้าไม่ฟังไม่สนใจ แต่คำพูดที่ออกมาด้วยอารมณ์ของแม่นางหรุ่ยจือ พวกเจ้ากลับฟังเข้าหูอย่างนั้นหรือ” 

 

 

สาวใช้หลายคนอึ้งไป คุกเข่าอยู่บนพื้นอิฐเป็นเวลานานไม่ได้สติ คำพูดนี้ใครจะรับได้กัน เพราะนี่คือกำลังบอกว่าพวกนางไม่เคารพต่อนาย และฟังแต่คำพูดของหรุ่ยจือ มิได้ใส่ใจคำพูดของพระชายาเลย 

 

 

แต่…พระชายานี้ ดูเหมือนว่าเมื่อครู่จะไม่ได้สั่งอะไรนี่? 

 

 

สาวใช้คนหนึ่งที่มีรูปร่างผอมแห้ง ปากแหลม หน้าตอบดูน่าเกลียด มีความกล้ากว่าใครเสียหน่อย จึงพูดอ้ำๆ อึ้งๆ “พระชายา…เมื่อครู่พูดอะไรหรือเจ้าคะ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มนั้นมีความยะเยือกไม่จาง “จริงด้วยสินะ! แม้แต่ข้าพูดอะไรก็ไม่ได้ยิน แล้วไม่นึกว่าจะกล้าย้อนถามนายตัวเองอีก! ที่แท้การเป็นนายของจวนอ๋องช่างน่าโศกเศร้าเช่นนี้ คำพูดนี้ต้องให้พูดอีกกี่รอบ บ่าวใช้ถึงจะฟังเข้าหูกันนะ” 

 

 

คำพูดนี้ออกไป สาวใช้หลายคนล้วนจ้องสาวใช้ร่างผอมคนนั้น ชัดเจนว่านี่คือหลุมพรางของพระชายา ครั้งนี้เข้าทางแล้ว ยังจะถลำลึกเข้าไปโดยตั้งใจอีก! ไม่ใช่ว่าหาเรื่องโดนลงโทษหรือ! 

 

 

เกาฉางสื่อฟังคำพูดของพระชายา ก็ตวาดเสียงดัง “ทหาร เอาสาวใช้ชั้นต่ำที่ไม่เคารพต่อนายเหล่านี้ลากไปขังที่ห้องเก็บฝืน แล้วรายงานให้ขุนนางฝ่ายในลงโทษและขายเสีย จวนอ๋องฉินของข้าจะไม่เอาบ่าวใช้สูงส่งเช่นนี้ไว้!” 

 

 

ทันทีที่พวกสาวใช้ได้ยิน เดิมทีที่มือที่กอดเท้าของหรุ่ยจือไว้ก็ล้วนคลายออก แล้วร้องไห้จนน้ำตาไหลดั่งสายธาร วิ่งมาตรงหน้านายหญิง “พระชายา บ่าวรู้ผิดแล้ว…”  

 

 

ชูชย่าผลักออกทีละคนๆ ชายฉกรรจ์หลายคนก็เข้ามาพอดี จึงลากสาวใช้เหล่านั้นไป 

 

 

สีหน้าหรุ่ยจือแดงก่ำ นี่มันกำลังแสดงอำนาจให้ตัวเองเห็นนี่ เห็นสาวใช้ที่ปกป้องตัวเองหายไปจนหมด เวลานี้ภายในเรือนเงียบสงัด เพียงแต่กำหมัดแน่น 

 

 

“อ้อ จริงสิ สนใจแต่เรื่องลงโทษบ่าวใช้ที่ไม่เคารพต่อนาย ลืมคำพูดที่แม่นางหรุ่ยจือพูดเมื่อครู่นี้เลย” อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้ม 

 

 

หรุ่ยจือกัดฟัน ไหนเลยยังจะสามารถตกหลุมพรางนางได้ “นี่พระชายาพูดอะไรเจ้าคะ บ่าว…เพียงแต่เป็นบ่าวใช้คนนึ่ง พระชายาจะตอบคำพูดของบ่าวใช้ได้อย่างไร พระชายาจะพูดอะไรก็พูดตรงๆ เถิดเพคะ” 

 

 

“แม่นางหรุ่ยจือ ร่างกายขององค์ชายสามไม่ดี และกังวลว่าองค์ชายสามรับตำแหน่งในอำเภอฉางชวนแล้วจะรับความยากลำบากไม่ได้ แม้จะพูดว่าเป็นห่วง ก็ไม่ผิดหรอก” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องนาง รอยยิ้มยังไม่จางหายไปและมีท่าทางเบิกบาน “แต่อาจจะดูถูกองค์ชายสามไปหน่อยเสียแล้ว แม่นางหรุ่ยจืออยู่ตรงนั้น อาจจะขวางองค์ชายสามรับงานราชการนี้ หากแต่ที่แม่นางหรุ่ยจือขวาง กลับเป็นอนาคตขององค์ชายสามต่างหากล่ะ” 

 

 

สีหน้าของหรุ่ยจือแดงขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละคำ เห็นหญิงตรงหน้าได้หันกายกลับไป และเดินมุ่งตรงไปยังเรือนหลักโดยมีชูซย่าตามด้วย 

 

 

เพิ่งจะเข้าจวนอ๋อง ยังมีเรื่องอีกเป็นกองพะเนิน อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีเวลาจะเสียไปกับนาง ที่หน้าประตูพระจันทร์ สาวใช้สองคนเห็นสภาพการณ์ที่พระชายาคนใหม่สั่งสอนสาวใช้ที่อยู่ไม่ไกลตั้งนานแล้ว การเคลื่อนไหวที่ว่องไว ผ่านไปสักพักเดียวก็บีบให้แม่นางหรุ่ยจือที่มีอำนาจสูงสุดภายในบ้านไม่อาจเคลื่อนไหวได้ และยังส่งสาวใช้กลับไปที่ขุนนางฝ่ายในจวน รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังไม่จางหายไป ไหนเลยจะกล้าลีลาแม้แต่น้อย จึงรีบโค้งตัวคำนับอย่างนอบน้อม ปัดฝุ่นบนกระโปรงของพระชายา แล้วก็เปิดทางเดินตามเข้าไปด้วยกัน 

 

 

เกาฉางสื่อเห็นพระชายาเข้าไปในเรือนหลักแล้ว หันศีรษะกลับไปมองหรุ่ยจือที่เงียบนิ่งไม่พูด ลากนางมาด้านหนึ่ง ฝั่งนั้นเป็นพระชายา ไม่อาจที่จะล่วงเกินได้ ฝั่งนี้คือพวกผู้อาวุโสที่ติดตามท่านอ๋องหลายปี ก็ไม่อาจไม่เคารพได้ แต่สิ่งที่ควรจะพูดก็ยังต้องพูด “หรุ่ยจือ หลายปีนี้ เรื่องหลังบ้านจำพวกการแต่งกายจัดสัมภาระและกินอยู่ขององค์ชายสาม ล้วนเป็นเจ้าที่จัดการทั้งสิ้น บางครั้งเรื่องส่วนตัวบางอย่างขององค์ชายสามก็จะถามความเห็นเจ้า นิสัยและความชอบทางด้านอาหารของเจ้าล้วนเจนจัดดีแล้ว ตอนนี้มีพระชายาขึ้นมาทันใด เจ้าต้องไม่คุ้นชินอยู่บ้างเป็นแน่ และอาจจะรู้สึกอ้างว้างได้ แต่อย่างไรพระชายาก็เป็นนาย องค์ชายสามกับพระชายาเป็นสามีภรรยาโดยแท้จริง ตรงนี้เจ้าต้องเข้าใจดี เรื่องพิธีดื่มจอกสุราในห้องหอเมื่อวานจนถึงเรื่องในวันนี้ เจ้าลองพูดสิ เจ้าระบายอารมณ์กับพระชายาแล้วใช่หรือไม่ โชคดีที่พระชายารู้จักรอมชอม และนับว่าเห็นแก่หน้าของท่านอ๋อง จึงอดทนการกระทำครั้งสองครั้งนี้ของเจ้า แต่เรื่องเฉกเช่นนี้ ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว มิฉะนั้น ต่อให้พระชายาจะอดทน ข้าก็จะไม่ช่วยเหลือเจ้าอีก! ได้ยินหรือไม่!” 

 

 

ตาของหรุ่ยจือจ้องไปที่พื้น พูดพึมพำ “เกาฉางสื่อ ข้าเพียงแค่เป็นห่วงองค์ชายสามเท่านั้นเองเพคะ ข้าผิดอะไรหรือเ” 

 

 

เกาฉางสื่อเห็นนางดีเลวไม่ฟัง หัวแข็งเหลือเกิน และยังคิดว่าตัวเองถูกอีก จึงคำพูดก็แรงขึ้นด้วยความโกรธเคือง “เป็นห่วง? เจ้าเป็นบ่าวใช้ จะมีสิทธิ์มาเป็นห่วงเทียบเท่าคนที่เป็นชายาได้หรือ ถ้ามีความสามารถ ก็ให้องค์ชายสามรับเจ้าเป็นภรรยาสิ เช่นนั้นถึงจะสามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นห่วง! แต่ถ้าให้ข้าพูดจาที่ไม่น่าฟังหน่อย เจ้าอยู่กับองค์ชายสามมาตั้งหลายปี หากท่านจะรับเจ้าก็รับไปนานแล้ว!” 

 

 

แววตาของหรุ่นจือเศร้าสลดยิ่งขึ้น 

 

 

 

 

ภายในห้อง 

 

 

ก่อนอวิ๋นหว่านชิ่นกลับมา ไส้เดือนมังกร ก็เผาจนร้อนเป็นควัน กำแพงก็ส่องแสงสว่างสีส้มชั้นหนึ่ง 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะเข้าไปในห้องไม่นาน ปลายจมูกก็มีเหงื่อซึมออกมา จึงเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงระบายเป็นคลื่น ปักลวดลายเป็นรูปนกยวนยางด้วยผ้าฝ้ายที่สบายๆ ล้างมือและเครื่องสำอาง ปล่อยผมที่มัดมวยทับซ้อนเป็นชั้นๆ แล้ววางพาดบนกับไหล่ แล้วใช้แต่เพียงปิ่นปักผมลายผีเสื้อสีมรกตเกล้าขึ้นอย่างหลวมๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกสบายขึ้นทั้งตัว แล้วค่อยเรียกชูซย่าต้มชาดอกไม้หนึ่งกา พอดื่มไปได้หลายคำ กำลังวังชาก็กลับคืนมา 

 

 

ยามใกล้พลบค่ำ อวิ๋นหว่านชิ่นให้ชูซย่าเรียกสาวใช้ที่เกาฉางสื่อมอบหมายมารับใช้ตนเองให้เข้ามาพิจารณา แล้วถามสองสามคำ 

 

 

นอกจากวันนี้เช้าที่มีเซียงจู๋มารับใช้ตัวเองยามลุกจากที่นอน สาวใช้ที่ชื่อว่าชิงเสวี่ยกับเจินจูอีกสองคน ก็มีหน้าตามาสะอาดสะอ้าน มือเท้าคล่องแคล่ว เห็นท่าทางก็ดูซื่อตรงและจริงใจเหมือนกับเซียงจู๋  

 

 

ชูซย่ามอบรางวัลให้เป็นเครื่องประดับเล็กน้อยแทนคุณหนูของตัวเอง แต่ก็เป็นแค่ต่างหูปะการัง เมล็ดแตงกวาทองเท่านั้น สาวใช้ทั้งสามคนกลับมองหน้าซึ่งกันและกัน ไม่กล้ารับ รอให้อวิ๋นหว่านชิ่นออกปากพูดโน้มน้าวด้วยตัวเอง ทั้งสามคนจึงรับมาในที่สุด ทว่า ก็ไม่กล้าที่จะเชื่อ และรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ท่าทางของพวกนางไม่เหมือนกับว่าเสแสร้งแกล้งทำ แต่กลับเหมือนว่าเป็นครั้งแรกที่ได้รับรางวัลอย่างนี้จริงๆ  

 

 

ก็ไม่แปลก ในบรรดาเหล่าองค์ชาย เงินเดือนของอ๋องฉินไม่ถือว่ามากมายนัก แม้ว่าเงินเดือนของขุนนางฝ่ายในที่มีงานน้อยนั่นคล้ายกับว่าจะดูไม่เลว กลับเทียบไม่ได้กับอ๋องเว่ยที่ใช้อำนาจทางหน้าที่การงานเปิดโรงงานเหมืองแร่ส่วนตัวที่มีน้ำมันอย่างฟุ้งเฟ้อ…อีกทั้ง อวิ๋นหว่านชิ่นนึกถึงสวนแอปริคอตที่มีสวนเพาะยาผืนใหญ่เช่นนั้น และยังมีครัวเรือนหลายสิบครัวเรือนนั่น เพียงแต่กลัวว่าเขาจะต้องออกเงินสักเล็กน้อยเพื่อเลี้ยงดู เมื่อคำนวณเช่นนี้แล้ว ค่าใช้จ่ายประจำวันกับค่าใช้จ่ายที่ต้องจัดการงานต่างๆ ของจวนอ๋องก็เกือบจะใช้ไปหมดแล้ว ไหนเลยจะสามารถให้รางวัลที่เป็นเครื่องประดับชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านี้ที่ไม่ได้มีราคาถูกๆ แก่บ่าวใช้อีกเล่า 

 

 

จริงด้วยสินะ ไม่แน่ว่าเขาจะต้องหมุนเวียนใช้ทุนทรัพย์มากยิ่งกว่าตัวเอง 

 

 

แม้ว่าจะรอให้ย้ายไปเป็นผู้ช่วยประจำเมืองที่อำเภอฉางชวนแล้ว เงินเดือนก็ยังเทียบเท่าไม่ได้กับงานราชการตำแหน่งขุนนางฝ่ายในเดิม อีกทั้ง งานราชการตำแหน่งใหม่ ก็ต้องคบค้าสมาคมกับผู้คนอีกไม่น้อย กลัวแต่เพียงต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น 

 

 

ไม่ได้การเสียแล้ว ดูท่าจะต้องหาเวลาว่าง ตรวจสอบทรัพย์สินภายในจวนอ๋องฉิน และจัดแจงคลังเก็บสมบัติให้ดีเสียหน่อย 

 

 

เมื่อจัดการส่งสาวใช้แต่ละคนให้ออกไปรับใช้ข้างนอก ท้องฟ้าก็มืดลงไปมากแล้ว 

 

 

ชูซย่าเข้ามาพูดด้วยรอยยิ้ม “ห้องครัวฝั่งนั้นได้ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ สามารถให้ยกเข้ามารับประทานได้ทุกเมื่อเพคะ” 

 

 

เจ็ดนาทีก่อน อ๋องฉินฝากมาบอกจากห้องหนังสือว่ายังมีงานที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย อีกสักพักจะเรียกให้คนยกอาหารเข้าไปในห้องหนังสือก็ได้ จึงให้นางกินคนเดียวไปก่อน แล้วตกกลางคืนค่อยมาหา อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินคำของชูซย่าแล้ว ขณะที่กำลังจะพยักหน้า กลับได้ยินเสียงรายงานที่ตามมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งมาอย่างรวดเร็วจากด้านนอก 

 

 

คนที่เดินเข้ามาคือมามาวัยกลางคนที่มีอายุราวสามสิบเจ็ด สามสิบแปดปี หน้าตาเต็มไปด้วยความบูดบึ้ง เมื่อได้รับอนุญาต ก็เข้ามาพบพระชายา และยิ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมกับคุกเข่าลงทันที “พระชายาเจ้าคะ ครั้งนี้บ่าวไม่รู้ว่าจะหาใครอีกแล้ว…ท่านไปดูคุณหนูของบ่าวให้ด้วยเถิดเพคะ”