ตอนที่ 141-1 ความลับเมื่อครั้นถูกพิษในวัยเด็ก

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ชุยอินหลัว?

 

 

เด็กน้อยนั่นร้องไห้ฟูมฟายวิ่งกลับเรือนกลางดึก เช้านี้วุ่นวายเรื่องเข้าวังจนลืมถามถึง อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมอมอและถามว่า “คุณหนูเปี่ยวเป็นอะไร เจ้าเป็นคนของคุณหนูเปี่ยวหรือ”

 

 

คนที่พาเข้ามาคือเจินจูกับฉิงเสวี่ย พวกนางตอบกลับทันทีว่า “ท่านนี้คือเหอมอมอเป็นคนของคุณหนูเปี่ยว เป็นแม่นมของคุณหนูเปี่ยวตั้งแต่เป็นทารกที่ยังห่อผ้าจนถึงตอนนี้นางเป็นคนดูแลทั้งหมดเพคะ”

 

 

เหอมอมอกล่าวด้วยหน้าดำคล้ำเครียดว่า “คุณหนูเปี่ยวไม่ยอมกินข้าว ข้าและบ่าวใช้อีกหลายคนเกลี้ยกล่อมจนน้ำลายเหือดแห้งแล้วก็ยังไม่ยอมกิน ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วเพคะ กลัวก็แต่คุณหนูจะเป็นอะไรไป ข้าได้ยินว่าองค์ชายสามยังทำงานอยู่ในห้องอ่านหนังสือ ข้าจึงมาหาพระชายาเพคะ”

 

 

คุณหนูเปี่ยวเข้ามาอยู่จวนอ๋องตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ที่อยู่อาศัย หรือเรียกใช้พวกบ่าว ก็ล้วนแต่เป็นระดับเดียวกันกับเจ้านาย อยากกินอะไร ใช้ของอะไร เพียงชี้นิ้วก็มีคนประเคนมาให้ถึงที่

 

 

อย่างเหอมอมอก็ด้วยเช่นกัน พระสนมเอกเฮ่อเหลียนเป็นคนเลือกมาให้จากกรมวังโดยเฉพาะ ซึ่งเดิมทีนั้นนางเป็นแม่นมคอยดูแลองค์หญิงน้อยในวัง พระสนมเอกเฮ่อเหลียนมักจะส่งคนมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของหลานสาวเป็นระยะๆ ความรักใคร่เอ็นดูนี้ สุดที่จะพรรณนา

 

 

ลูกรักในจวนอ๋องงอแงไม่ยอมกินข้าว บ่าวรับใช้ใกล้ตัวกลัวว่าจะถูกลงโทษจึงต้องวิ่งแจ้นมารายงานก่อน

 

 

อดอาหาร? อวิ๋นหว่านช่านรู้สึกขำกับสิ่งที่ได้ยิน ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่นาน นางยกมือขึ้นและกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด ไม่กินข้าวหนึ่งวันไม่ทำให้คนตายหรอก ในเมื่อนางไม่ยอมกินก็คงไม่เคยพบเจอกับความอดอยากมาก่อน ประเดี๋ยวนางหิว แม้พวกเจ้าไม่ขอร้อง นางก็ไปหากินเอง”

 

 

เหอมอมอคิดไม่ถึงว่าพระชายาเอกจะตอบด้วยน้ำเสียงแน่วนิ่งถึงเพียงนี้ นางยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “แต่…แต่ ถ้าองค์ชายสามรู้ ว่าพวกบ่าวปล่อยให้คุณหนูเปี่ยวหิว พวกบ่าวอาจถูกลงโทษได้นะเจ้าคะ…พระสนมก็ส่งจางเต๋อไห่มาเยี่ยมทุกๆ เจ็ดแปดวัน ถ้าเกิดเห็นคุณหนูเปี่ยวเป็นแบบนี้…จะยิ่งแย่นะเจ้าคะ”

 

 

“คุณหนูเปี่ยวท่านนี้ ได้รับความเอ็นดูถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ปากของชูซย่าขยับบ่นพึมพำ

 

 

เหอมอมอถอนหายใจยาวเฮือก “ก็ใช่นะสิ พระสนมเอกเฮ่อเหลียนเอ็นดูคุณหนูเปี่ยวราวกับไข่ในหิน แล้วท่านอ๋องได้รับคำสั่งจากพระสนม หลายปีที่ผ่านมาท่านก็ทำตามคำขอของคุณหนูเปี่ยวทุกประการ ตอนคุณหนูอายุสี่ขวบ ในปีนั้นคุณหนูวิ่งไปเล่นกับหมาเฝ้าจวน มันเห่าบ๊อกๆ เสียงดังจนคุณหนูตกใจร้องไห้ ทันทีที่พระสนมทราบข่าว ก็รู้สึกสงสารจับใจ ถึงกับสั่งให้ท่านอ๋องไล่บ่าวใช้ที่ดูแลสุนัขและสุนัขตัวนั้นออกจากจวน ปีที่แล้วคุณหนูพลัดตกลงมาจากต้นไม้จนขาพลิก บ่าวใช้ที่อยู่รับใช้ก็โดนไม้หน้าสามฟาดไปหลายสิบที กว่ารอยแผลจะหายก็ใช้เวลาอยู่พอควร… พวกบ่าวจะไม่ใส่ใจได้รึเพคะ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน”

 

 

เหอมอมอรู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินอวิ๋นหว่านชิ่นพูดแบบนั้น นางคงไปเกลี้ยกล่อมคุณหนูเปี่ยวให้แน่นอน จึงเดินออกไปพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจ

 

 

ชูซย่าได้ยินเรื่องที่คุณหนูเปี่ยวก่อความวุ่นวายในคืนอภิเษกแล้ว พอได้ยินเหอมอมอพูดแบบนั้นอีก ก็ฟังออกแล้วว่าชุยอินหลัวไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่าย นางพูดด้วยเสียงเบาว่า “พระชายาเจ้าคะ ให้ท่านอ๋องไปเกลี้ยกล่อมเถิดเพคะ คุณหนูผู้สูงศักดิ์ท่านนี้เป็นญาติที่เหลือเพียงคนเดียวของพระสนมท่านนั้น จะต้องเป็นที่รักเอ็นดูของพระสนมแน่ๆ ไม่ว่าท่านจะดูแลให้ดีอย่างไร ก็คงไม่ได้คำชมอะไรหรอกเพคะ แล้วยัยคุณหนูนั่นก็ไม่ชอบท่านอยู่แล้วด้วย…”

 

 

ก็ใช่ว่าไม่เคยอยู่กับเด็กน้อยเสียหน่อย น้องชายก็ไม่ได้โตไปกว่าชุยอินหลัวเท่าไหร่ ตอนนี้ก็เชื่อฟังคำสั่งของตนทุกอย่าง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการเจ้าเด็กอ้วนคนนี้ไม่ได้ จึงถามเพียงว่า “ว่าแต่ ห้องครัวของเรือนเราอยู่ตรงไหนรึ”

 

 

เจินจูตอบว่า “พระชายาจะรับอาหารหรือเจ้าคะ เดี๋ยวข้าสั่งให้คนยกมาให้ ห้องครัวที่ปรุงอาหารสำหรับเจ้านายอยู่ด้านนอกเพคะ”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายหัว “พวกเจ้าพาข้าไปหน่อย ข้าจะเข้าครัวเสียหน่อย” เจินจูตกตะลึง ฉิงเสวี่ยเข้าใจเร็วกว่า จึงรีบตอบกลับและนำทางไป “พระชายาตามข้ามาเพคะ”

 

 

ท้ายเรือนของเจ้านายของจวนจะมีห้องครัวพร้อมหลังคาอยู่หนึ่งห้อง ไม่เคยก่อไฟทำอาหาร ส่วนใหญ่จะใช้แค่ต้มน้ำร้อน เพื่อให้เจ้านายได้ใช้น้ำอย่างสะดวก แต่ภายในห้องครัวมีเตาไฟถ้วยชามครบถ้วน

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพูดกระซิบกับชูซย่า ชูซย่าเข้าใจทันที จากนั้นก็พาเจินจู ฉิงเสวี่ยไปหาวัตถุดิบทำอาหาร หยิบหม้อนึ่งออกมา และก่อไฟจนเสร็จเรียบร้อย

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเริ่มตอกไข่ แยกไข่ขาวออก เติมนมและน้ำมันลงในไข่แดง หลังจากตีทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วก็เติมน้ำตาลเล็กน้อยและแป้งที่ร่อนไว้แล้ว จากนั้นคนให้เข้าด้วยกันอีกครั้งจนเป็นก้อนสีขาวขุ่นๆ

 

 

ขั้นตอนต่างๆ คล้ายคลึงกับขั้นตอนก่อนนึ่งซาลาเปา ฉิงเสวี่ยกับเจินจูยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างเพลิดเพลิน แล้วพวกนางก็ไปหยิบภาชนะสะอาดมาให้ตามคำสั่งของพระชายา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเทไข่ผสมแป้งลงบนภาชนะ ห่อด้วยกระดาษ และใส่เข้าไปในหม้อนึ่ง รอบๆ หม้อหนึ่งเติมน้ำไว้จนเต็ม เจินจูยกตะแกรงนึ่งใส่เข้าไปในเตาดินซึ่งเดิมทีเอาไว้ย่างเนื้อสัตว์ และเติมน้ำเป็นครั้งคราวตามคำสั่ง

 

 

หลังเอาออกจากเตา อวิ๋นหว่านชิ่นตีไข่ขาวที่เติมนม น้ำตาล น้ำมันและส่วนผสมอื่นๆ จนเป็นฟองและแข็งตัวเป็นเนื้อครีม ละลายสารสกัดดอกไม้แข็งตัวที่เอามาจากเรือนตัวเองบนเตาด้วยไฟอ่อนๆ แล้วก็สั่งให้ชูซย่าและคนอื่นๆ หั่นผลไม้ตามฤดูกาลเป็นแผ่นๆ

 

 

ในเวลาเดียวกัน เจินจูกับฉิงเสวี่ยนำอาหารที่สุกพอดีแล้วออกมา ไข่ตุ๋นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างตามภาชนะรูปเหลี่ยม เนื้อแป้งมีสีเหลืองอ่อนๆ นุ่มนิ่มและสดใหม่ แค่ดมก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นฟุ้งไปทั่ว พอเสร็จจากตรงนี้ พระชายาก็เคลือบครีมไข่ขาวไว้ชั้นบน รอจนครีมไข่ขาวแข็งตัว แล้วก็ราดสารสกัดดอกไม้ที่ละลายแล้วทับอีกชั้น สุดท้ายตกแต่งด้วยแอปเปิ้ลแผ่น สาลี่แผ่นและกลีบส้ม

 

 

สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคน คือขนมเค้กสีเหลืองอ่อนทำจากไข่ไก่ ทับด้วยครีมนมสีขาว มีลวดลายของกลีบดอกไม้เฉดสีต่างๆ ประดับด้วยผลไม้อีกชั้น ขนมเค้กที่ฉิงเสวี่ยกับเจินจูเคยเห็นล้วนแต่เป็นเค้กหอมหมื่นลี้ที่เป็นขนมท้องถิ่นแห่งต้าซวน ขนาดของเค้กจะเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ แต่ขนมเค้กแบบนี้ เนื้อเค้กทำจากไข่แดงทับด้วยครีมสองชั้น ตกแต่งได้งดงามตระการตาเช่นนี้ ช่างมีความพิเศษเหนือขนมอื่นเสียจริง เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น หากจะบอกว่าเป็นอาหาร สู้บอกว่าเป็นงานศิลปะน่าจะเหมาะกว่า

 

 

อย่าว่าแต่เด็กที่เห็นแล้วรู้สึกน่าทึ่ง แม้แต่ผู้ใหญ่เห็นก็คงไม่กล้าวางมือเลยทีเดียว

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นนำขนมเค้กทำจากไข่ที่เย็นลงแล้ว ให้ชูซย่าถือไว้และส่งไปยังเรือนของชุยอินหลัว

 

 

เรือนที่ชุยอินหลัวพักอยู่ทางทิศตะวันตกของจวน กับจวนอ๋องที่เรียบง่ายสมถะ ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ แต่เรือนนั้นกลับตกแต่งไว้อย่างไม่ธรรมดา ดูก็รู้ว่าเป็นเจ้านายที่ได้รับความเอ็นดูเป็นอย่างมาก

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงโมโหของเด็กน้อยดังออกมาว่า “ข้าไม่กินไม่กิน เอาออกไป! ให้ข้าหิวตายไปเลย! ในเมื่อข้าอดอาหารแล้วพวกเขาก็ยังไม่สนใจ!”

 

 

จากนั้นเสียงขอร้องของเหอมอมอกับบ่าวใช้ก็ดังขึ้นว่า “คุณหนูเปี่ยวกินเสียหน่อยนะเจ้าคะ ท่านอ๋องยังทำงานอยู่ ไม่สามารถวางมือได้จริงๆ พระชายาบอกว่าเดี๋ยวจะมาเยี่ยมคุณหนูด้วยเพคะ!”

 

 

“นางมาทำไม” พอได้ยินว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะมาหา เสียงโมโหก็กลายเป็นเสียงที่แฝงไปด้วยความดีใจเล็กน้อย แต่นางซ่อนมันเอาไว้ และส่งเสียงที่โมโหกว่าเดิม “ข้าไม่ต้องการให้นางมาหา คิดว่ายังทำให้ข้าโกรธไม่พออีกหรือ!”

 

 

เหอมอมอจะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่เชิง อยากจะให้ผู้อื่นมาง้อ แต่พอเขาจะมาก็ไม่ยอมเจอ ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ เสียงก้าวเท้ากึกๆ ดังขึ้น ตามด้วยเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งกล่าวว่า “ไม่กินข้าวก็ดีเหมือนกัน อีกไม่นานก็ต้องหมั้นหมายแล้ว เนื้อตัวแน่นไปหมด ลดเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าบุตรหลานตระกูลไหนจะกล้าตบแต่งรับเจ้าไป”