ชุยอินหลัวอึ้งไปทีเดียว เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างงดงามเป็นธรรมชาติเดินเข้ามาพร้อมกับบ่าวใช้ พอเข้ามาถึงก็มองอาหารบนโต๊ะที่ยังไม่ได้แตะ และนั่งลงที่เก้าอี้กลม
เหอมอมอเองก็ตกใจ พอเห็นพระชายาก็รีบแสดงความเคารพพร้อมกับบ่าวใช้คนอื่นๆ “พระชายามาแล้ว” นางหันไปดึงชายเสื้อของคุณหนูเปี่ยว “…ต้องแสดงความเคารพพระชายาเพคะ”
ชุยอินหลัวแลบลิ้น ทำหน้าทะเล้น และส่งเสียงฮึ่มใส่อวิ๋นหว่านชิ่น จากนั้นหันหน้าไปทางอื่น
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้ถือสาอะไรแต่ส่งสัญญาณบางอย่างให้เหอมอมอ เหอมอมอถอยไปอยู่ด้านข้าง เผือกร้อนที่ลวกมือต้องมีคนคอยรับ
ชุยอินหลัวเหล่ตามองอวิ๋นหว่านชิ่นหนึ่งที แก้มยุ้ยสองข้างป่องราวกับอึ่งอ่าง “อย่าคิดว่าเด็กอย่างข้าไม่เคยเรียนหนังสือ! เจ้ากำลังใช้วิธียั่วยุ! ไม่มีใครเอาก็ไม่มีใครเอาสิ! เสด็จน้าจะเลี้ยงข้าเอง!”
“หืม รู้จักวิธียั่วยุด้วยรึ แต่ทำไมถึงแยกแยะชายกับหญิงไม่ออกเล่า” อวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวด้วยเสียงนิ่งเรียบ
เหอมอมอคิดว่าพระชายาจะมาง้อคุณหนูเปี่ยวซะอีก ไม่คิดเลยว่าทุกประโยคที่กล่าวออกไป ล้วนแต่เป็นการยั่วยุทั้งนั้น ไม่เคยมีใครกล้าปฏิบัติต่อคุณหนูเปี่ยวแบบนี้มาก่อน หน้าของคุณหนูป่องจนเป็นสีแดงระรื่อ โดยเฉพาะประโยคหลัง ที่ทิ่มแทงถึงเรื่องที่ไม่ควรแม้แต่จะเอ่ยถึง “เจ้า เจ้า——”
“ทำไม ยังไม่กินอีกรึ” อวิ๋นหว่านชิ่นยักคิ้ว เผยให้เห็นท่าทีของความเจ้าเล่ห์ เมื่อเทียบกับชายหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามที่ชุยอินหลัวพบเจอครั้งแรก ยิ่งมองก็ยิ่งอัดอั้น แม้ว่าจะหิวจนท้องร้องเสียงดัง แต่ก็ห้ามถอยโดยที่ยังไม่ได้สู้ โชคดีที่ก่อนหน้านี้กัดถังหูลู่[1]ที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ตู้ไปสองคำ อย่างน้อยก็รองท้องได้หน่อยนึง หมัดที่เต็มไปด้วยความโกรธชกลงไปที่โต๊ะ “นี่อะไร ข้าไม่อยากกิน”
“ไม่กินก็ไม่กิน เอาออกไปให้หมด อย่าเอาไว้ให้ขวางตาคุณหนู” อวิ๋นหว่านชิ่นออกคำสั่ง และไม่มีทีท่าว่าจะเกลี้ยกล่อมเลยสักนิด อาหารทั้งโต๊ะของของคุณหนูเปี่ยว คิดคำนวณแบบหยาบๆ ไม่รวมค่าแรงคนและเครื่องปรุงรสต่างๆ อย่างน้อยก็ต้องใช้สี่ห้าตำลึงได้กระมัง มันมากพอที่จะเป็นค่าอาหารของชาวบ้านทั่วไปถึงสองสามวัน คุณหนูเปี่ยวไม่กิน ไม่รู้เลยว่ามีคนอีกตั้งเท่าไหร่ที่อยากกินแต่ก็ไม่ได้กิน ทำได้เพียงยกออกไปให้พวกจับกังที่อยู่ทิศตะวันตกของจวนกิน
บ่าวใช้ที่อยู่ทิศตะวันตกของจวนล้วนแต่เป็นพวกจับกัง งานที่ทำอย่างเช่น เฝ้าประตู ดูแลสัตว์เลี้ยง ทำความสะอาดส้วม ทำความสะอาดเรือน ล้วนแต่เป็นงานระดับล่างที่ยากลำบาก และก็เป็นบ่าวใช้ที่มีระดับต่ำที่สุดของจวน
เจินจูกับฉิงเสวี่ยทำตามคำสั่งของเจ้านายทันที พวกนางนำเนื้อแกะหั่นเต๋าผัดซอส ไก่เส้นผัดผักกูด แกงจืดลูกชิ้นและอื่นๆ ยกออกไปทีละอย่าง แม้แต่ข้าวสวยก็ไม่เหลือเอาไว้
ชุยอินหลัวเห็นว่าอาหารเย็นของนางถูกยกออกไปจนบนโต๊ะว่างเปล่า เริ่มทำตัวเกร็ง เสียงท้องร้องดังขึ้นโครกคราก บ่าวใช้ที่ได้ยินถึงกับแอบยิ้ม
“ไงล่ะ ยังไม่กินอีกรึ” อวิ่นหว่านชิ่นยังคงถามต่อ
ชุยอินหลัวถูกบีบคั้นจนขนาดนี้แล้ว แต่เพื่อรักษาหน้าเอาไว้ แม้ว่าจะหิวแล้วจริงๆ แต่ก็ต้องอดทนไว้ นางมองอาหารยกออกไปทีละจาน ความหิวก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ไม่กิน อยากจะยกออกไป ก็ยกออกไปเลย!” นางไม่คิดว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะใจแข็งได้ถึงเพียงนี้ เดิมทีนึกว่านางจะมาปลอบใจตน แต่ไม่คิดเลยว่าจะ——เอาอาหารของตนออกไปด้วย!
เสียดายที่หลายวันนี้ตนนั้นคิดถึงนางทุกวัน แต่งเป็นชายหนุ่มมาหลอกนางก็แล้ว แต่งงานกับพี่ชายของตนก็แล้ว วันนี้จะพูดจาอ่อนหวานกับนางสักหน่อยก็ไม่ได้ ช่างใจร้ายเสียจริง!
พอคิดถึงตรงนี้ ชุยอินหลัวยิ่งเศร้ากว่าเดิม นางเริ่มกลืนน้ำลาย สายตาสองคู่จ้องมองจานสุดท้ายที่กำลังถูกเจินจูยกออกไป “เมื่อคืนข้าไม่น่าเอาอาหารไปให้เจ้าเลย——”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่งสายตาให้ชูซย่า ชูซย่ายกขนมเค้กเข้ามา กลิ่นหอมหวานอบอวลไปทั่วห้องในทันทีทันใด
ชุยอินหลัวหยุดกลืนน้ำลายทันที จมูกเริ่มสูดดมกลิ่นและมองไปรอบๆ จนหยุดอยู่ตรงอาหารที่ชูซย่ากำลังถือเอาไว้ จากนั้นนัยน์ตาของนางก็เปล่งประกาย
“ไม่กินอาหารเหล่านั้น เช่นนั้นเจ้าลองกินนี่ดูไหม” อวิ๋นหว่านชิ่นยื่นขนมเค้กให้นาง
สายตาของชุยอินหลัวเต็มไปด้วยขนมเค้กอันสวยงามก้อนนี้ นางกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ แต่มือเล็กๆ กลับกำหมัดเอาไว้แน่น “ข้าบอกว่าข้าไม่กิน…” น้ำเสียงอ่อนกว่าเมื่อครู่นี้มาก
“ก็เจ้าบอกว่าไม่กินอาหารบนโต๊ะ ไม่ได้บอกว่าจะไม่กินอย่างอื่นเสียหน่อย” อวิ๋นหว่านชิ่นดูออกว่านางเริ่มใจอ่อน นางจึงช่วยเด็กอ้วนตุ้ยนุ้ยหาเหตุผล
เหอมอมอเองก็รีบยื่นช้อนเงินให้นาง
หึ อดตายเพราะคนไร้จิตใจอย่างนางไม่คุ้มค่าหรอก! ชุยอินหลัวเดินเข้าใกล้ขนมเค้กที่หุ้มด้วยครีมหนึ่งชั้น จับช้อนขึ้นมาแต่ไม่รู้จะเริ่มกินจากตรงไหนดี มองอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะกล้าตักขึ้นและกินเข้าไป ครีมหวานๆ คู่ขนมเค้กนุ่มนิ่ม ซึมเข้าต่อมรับรสอย่างช้าๆ เต็มไปด้วยความหอมกรุ่น เวลาเคี้ยวก็รู้สึกเนื้อเค้กนุ่มกว่าเค้กที่เคยกินมาก ฟันของนางเพิ่งเปลี่ยนเป็นฟันแท้ ฟันน้ำนมหลุดออกไปแล้วสองซี่ เค้กนุ่มพอดีมาก
ชุยอินหลัวเริ่มกินคำที่สอง คำที่สาม ครีมเลอะปากบนของนางราวกับเป็นหนวดสีขาว แต่นางไม่มีเวลาเช็ดออก
เป็นแมวเหมียวจอมตะกละ ยังจะอดอาหารอีก? อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางกำลังกินอย่าเอร็ดอร่อย จู่ๆ ก็พูดว่า “เอาล่ะ ขนมหวานกินมากๆ ไม่ดี ชูซย่า เอาออกไป”
“เพคะ พระชายา” ชูซย่ายกจานขนมเค้กขึ้นมา และเดินออกไป
“นี่ นี่ นี่…” ครั้งนี้ ชุยอินหลัวกลั้นความโมโหไม่อยู่ ขาอ้วนๆ สองขากระโดดขึ้นบนเก้าอี้ “ข้าเพิ่งกินได้สี่คำเอง!” เพิ่งล่อหนอนตะกละออกมา แล้วมายกออกไปแบบนี้ ไม่มีความเป็นคนเลย
“อยากกินอีกรึ” อวิ๋นหว่านชิ่นถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับแค่ไหน แต่ชุยอินหลัวก็สู้ความเย้ายวนน่ากินของขนมเค้กไม่ไหว นางจึงต้องทำตามความต้องการภายในใจ ขยับปากและมองแผ่นหลังของชูซย่าที่เดินออกไปแล้ว
“ได้สิ ถ้าอยากกิน ต้องกินข้าวก่อน” อวิ๋นหว่านชิ่นส่งสัญญาณมือให้เจินจูกับฉิงเสวี่ยไปยกอาหารเย็นที่ยกออกไปเมื่อครู่กลับมา แต่ครั้งนี้พวกนางยกกลับมาแค่กับข้าวสามอย่างกับน้ำแกงหนึ่งถ้วย มีปลาไหลเส้นผัดรวม คะน้าผัดไก่ เต้าหู้นึ่ง และต้มฟักปลา
เหอมอมอและบ่าวใช้คนอื่นๆ เห็นอาหารถึงกับอึ้งไปทีเดียว “เอ่อ…”
อวิ๋นหว่านชิ่นอธิบาย “เด็กอายุหกขวบ กินเนื้อสัตว์ กินปลาชุดใหญ่ทุกมื้อ จะทำให้อ้วนไม่ดีต่อสุขภาพ ต่อไปนี้ให้ลดอาหารลงครึ่งหนึ่ง”
“คุณหนูเปี่ยวชอบกินเนื้อสัตว์ ท่านอ๋องเห็นว่านางชอบก็เลยยอมให้นางกินทุกอย่าง…” เหอมอมออธิบายออกไปอย่างขมขื่น
ถึงได้บอกว่าเขาสอนเด็กไม่เป็น อะไรๆ ก็ตามใจเด็กทุกอย่าง อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้วและพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็กินเนื้อสีขาวให้มาก กินเนื้อสีแดงเสริมพอประมาณก็พอแล้ว”
พวกบ่าวใช้ขานตอบรับทราบกันทุกคน
เพื่อที่จะได้กินขนมเค้ก ชุยอินหลัวจำเป็นต้องยอมมานั่งลงที่โต๊ะอย่างอิดๆ ออดๆ เหอมอมอเห็นว่าคุณหนูเปี่ยวยอมกินข้าวสักที นางถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่แล้วชุยอินหลัวก็ถามคำถามด้วยความไม่ไว้ใจ กลัวอวิ๋นหว่านชิ่นจะคืนคำ นางจึงพูดด้วยเสียงหงุงหงิงว่า “กินข้าวเสร็จแล้ว ก็จะกินขนมเค้กนั่นได้ใช่หรือไม่!”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปบอกเหอมอมอว่า “เหอมอมอคอยดูคุณหนูเอาไว้นะ ถ้าคุณหนูเปี่ยวยอมกินข้าว หลังจากกินข้าวเสร็จ หั่นขนมเค้กให้คุณหนู ถือซะว่าเป็นของหวานหลังจากทานอาหารคาวเสร็จก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่ยอมกินข้าว ยังดื้อรั้นอีก ต่อจากนี้ไปก็จะไม่ได้กินของอร่อยอีก”
ยังมีของอร่อยอีกอย่างนั้นรึ หนอนตะกละในตัวของชุยอินหลัวเริ่มทำงานเต็มที่ นางกินกับข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ที่แท้ความโมโหของนางหายไปหมดแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางเป็นเด็กดียอมกินข้าว จึงหันหลังกลับ แต่นางกลับได้ยินเสียงเรียกพร้อมเสียงเคี้ยวตะโกนขึ้นว่า “นี่”
——
[1] ถังหูลู่ มีความหมายว่า น้ำเต้าเคลือบน้ำตาล เพราะแต่เดิมใช้ผลซานจา (พุทราป่า) 2 ลูก เสียบไม้ไผ่ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่เป็นแท่งเหมือนลูกชิ้น โดยผลใหญ่อยู่ด้านล่างและผลเล็กจะอยู่ด้านบนจึงมีรูปร่างที่คล้ายกับผลน้ำเต้า แล้วจุ่มลงในน้ำเชื่อมให้ผิวนอกแข็งตัวเป็นเงาวาว รสชาติเปรี้ยวอมหวาน