ครั้งนี้ ไม่ได้เคืองโกรธเหมือนครั้งก่อน แม้ว่าจะมีความลังเลอยู่บ้าง แต่ก็จิตใจก็สงบลงไม่น้อยแล้ว
“ต้องเรียกพระชายาสิ มานี่เน่อได้อย่างไรกันเจ้าคะ” มามาเหอเช็ดปากให้ชุยอินหลัว พลางพูดเตือน
อวิ๋นหว่านชิ่นหันตัวกลับมา เห็นแต่เพียงชุยอินหลัวที่เบิกตาโตมองตัวเอง คำพูดที่อยากจะพูดแต่ก็ชะงักไป แล้วหัวเราะขึ้นมาแทน
การหัวเราะครั้งนี้ราวกับลมใบไม้ผลิหลังฝนซา ความดุร้ายเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว ในใจของชุยอินหลัวก็อ่อนลง และอารมณ์ก็ผ่อนคลายลงมากเช่นกัน แม้ว่ายังคงถือสาที่อวิ๋นหว่านชิ่นแต่งตัวเป็นชายจนทำให้ใจของตัวเองล่องลอยหายไป แต่ก็ไม่ได้โทษนางแล้ว ความรู้สึกนั้นกลายเป็นเพียงความเสียดายที่พูดยาก
หลังจากที่นางจากไปวันนั้น นางก็ถวิลหาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าพี่ชายจะไม่บอกว่าชายวันนั้นคือผู้ใด และยิ่งไม่ยอมให้ตัวเองออกไปตามหา แต่นางกลับปักใจเชื่อว่า จะต้องมีวันหนึ่งที่ได้พบเจอ นึกไม่ถึงว่าหลังจากพบเจอกันอีกครั้ง ความฝันก็แตกสลายดังเงาของฟองอากาศ
ชุยอินหลัวไม่เคยเลยรู้ว่าความรู้สึกของคนวัยเยาว์นั้นเป็นอย่างไรจนกระทั่งวันหนึ่งที่นางออกไปเล่นในเรือนของพี่ชาย และเห็นพี่ชายกำลังจับจ้องขวดเซรามิคลายดอกไม้สีน้ำเงินใบหนึ่งที่ถืออยู่ในมือ นิ้วหัวแม่มือลูบคลำเบาๆ บนขวดเซรามิคนั้น ราวกับกำลังเล่นสมบัติล้ำค่าที่หายากในโลกอะไรอย่างนั้น ใบหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอดก็ลอบเผยยิ้มบางๆ ออกมา
นางรู้สึกสงสัยใคร่รู้ จึงถือโอกาสที่พี่ชายกำลังสติเลื่อนลอย แย่งขวดเซรามิคแล้วดึงฝาออกมา ครั้นดมดูก็ได้กลิ่นแรงของยาสมุนไพรจีน หลังจากนั้นถึงจะได้ยินบ่าวใช้บอกว่าสิ่งนี้เป็นน้ำมันสมุนไพรผักแพวแดงที่คุณหนูตระกูลอวิ๋นให้คนนำมามอบให้ถึงบ้าน เพื่อทำให้รอยแผลเป็นของพี่ชายจางลง
ครานั้นนางถึงจะรู้ว่า ความรู้สึกของพี่ชายกับตัวเองละม้ายคล้ายว่าจะเหมือนกัน ต่างก็กำลังคิดคะนึงถึงคนๆ หนึ่ง
ทว่า สิ่งที่นางไม่รู้คือ คนที่ตัวเองและพี่ชายคิดถึงนั้นกลับเป็นคนๆ เดียวกัน ทั้งน่าขันและน่ากระอักกระอ่วนในเวลาเดียวกันจริงๆ
ผ่านไปนาน เด็กน้อยตัวอ้วนก็คลายหว่างนิ้วออก แล้วโห่ร้อง “เห็นแก่ที่เจ้าทำอาหารอร่อยขนาดนี้มาให้ข้า ข้าก็จะให้อภัยเจ้ากับพี่ชายครั้งนี้ไปชั่วคราวก่อนก็แล้วกัน” พูดแล้ว ก็ถอนหายใจด้วยความหดหู่ระทมใจอย่างมาก
มีคนกล่าวว่า ถ้ากุมกระเพาะของผู้ชายคนใดได้ ก็เท่ากับกุมหัวใจของผู้ชายคนนี้ได้แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าเหตุผลเดียวกันจะสามารถใช้กับเด็กได้ด้วย อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินนางพูดอย่างซื่อตรง ก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ขณะที่กลับห้อง ห้องครัวของจวนอ๋องด้านนั้นเห็นพระชายากลับมา ก็ได้ยกอาหารเย็นเข้ามาแล้ว
ครั้นรับประทานอาหารเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว จึงเรียกเจินจูให้ไปเรียกหมออิงที่พักอาศัยอยู่แถบทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจวนอ๋องมา
ขณะรอให้หมออิงมาในเวลาเดียวกัน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ฟังชิงเสวี่ยแนะนำสมาชิกและฝ่ายต่างๆ ในอ๋องฉินปัจจุบันคร่าวๆ
คนทั้งหมดทั้งมวลที่อยู่ภายในจวนมีสี่สิบแปดคน จำนวนคนเท่านี้ เมื่อเทียบกับจวนขององค์ชายองค์อื่นนับว่าน้อยมากจนน่าเห็นใจ แม้แต่จวนของขุนนางในราชสำนักที่มีศักดิ์ค่อนข้างสูงหน่อยก็ยังเทียบไม่ได้ ประการแรกเป็นเพราะอ๋องฉินไม่เคยมีสนมหรืออนุภรรยาเลย นี่ก็ทำให้ลดจำนวนสมาชิกไปได้มากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสนมหรืออนุภรรยา แม้แต่นางบำเรอประจำบ้านที่โดยปกติคนชั้นสูงมักจะเลี้ยงเก็บไว้ก็มีแค่ไม่กี่คน ที่มีก็เป็นเพียงนางบำเรอขับร้องสองนาง ซึ่งฮ่องเต้หนิงซีรับฟังข้อเสนอแนะจากเหล่าขันที จึงพระราชทานให้มาที่จวนอ๋องหลังจากเข้าสู่วัยเยาว์แล้ว องค์ชายสามที่ไร้หนทางไม่ได้เป็นผู้ที่รักการฟังละคร หรือบทเพลงพื้นบ้านมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ที่เข้ามาในจวนอ๋องก็ไม่เคยถูกเขาเรียกหาเลยจนราวกับเป็นปลาที่ถูกตากจนแห้ง แต่เพราะว่าเบื้องบนประทานให้ จึงไม่อาจเมินเฉยได้ จึงต้องเลี้ยงดูทั้งสองคนโดยให้พักอยู่ห้องเล็กๆ ด้านหลังเรือนมาโดยตลอด
ตอนนี้ ผู้อาวุโสในจวนอ๋องมีสามคน ตั้งแต่ที่เปิดจวนก็อยู่ข้างกายฉินอ๋องพูดว่าเป็นมือซ้ายมือขวาก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อยิ่ง คนหนึ่งเป็นพ่อบ้านเกาผู้ดูแลจวน อีกคนคือซือเหยาอัน และอีกคนก็คือหรุ่ยจือที่มีท่าทางไม่พอใจ ไม่เป็นอันสงบตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้
พ่อบ้านเกาเกิดในครอบครัวที่จวนทำด้านกิจการภายใน หลังจากถูกส่งมาเป็นพ่อบ้านที่จวนฉินอ๋องก็จัดการงานทั้งภายนอกและภายในที่สำคัญกับเรื่องคลังทรัพย์สมบัติในจวนฉินอ๋องเป็นตำแหน่งในจวนอ๋องที่ไม่อาจดูแคลนได้
ซือเหยาอันทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยการเข้าออกของฉินอ๋องส่วนหรุ่ยจือก็เป็นผู้ดูแลการกินอยู่หลายปีข้างกายของฉินอ๋องซึ่งเล็กน้อยตั้งแต่ช่วยสวมใส่เสื้อผ้า ถอดถุงเท้า ไปจนถึงอาบน้ำและลองชิมอาหารเพื่อตรวจสอบยาพิษ
โดยปกติแล้ว อาวุธและเกราะส่วนตัวขององค์ชายจะเก็บรักษาไว้ที่ค่ายทหารแถบชานเมือง โดยได้รับการดูแลจากกองทหาร ถ้าหากองค์ชายมีความต้องการ ก็ไปยื่นคำร้องขอต่อราชสำนัก หลังจากที่รอให้ได้รับอนุญาตแล้ว ถึงจะโยกย้ายใช้งานได้ นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกองค์ชายวางแผนทำอะไรนอกกฎหมายหรือมีใจที่ไม่จงรักภักดี อ๋องฉินก็มิใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน วันปกติก็ไม่ได้ใช้งาน เพียงแต่ไปตรวจดูเป็นบางครั้งบางคราว
ได้ยินถึงตรงนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ที่แท้อาวุธและเกราะต่างๆ ขององค์ชายก็ไม่ได้ใช้งานได้ง่ายปานนั้น แล้วจะมี “ทันทีที่ร้องเรียก ผู้คนเป็นร้อยก็ต่างน้อมรับ” หรือ “ออกสั่งการแล้ว ก็จะมีกลุ่มทหารจำนวนมากตกลงมาจากฟ้า” ที่ไหนได้ ไร้สาระทั้งเพน่ะสิ! ราชสำนักและฮ่องเต้มิใช่คนโง่เขลาเสียหน่อย
ดูแล้ว การจะใช้งานก็ต้องเจออุปสรรคและขั้นตอนที่ยากลำบากต่างๆ มากมาย การสร้างระบบอาวุธและเกราะกับองค์ชาย ทำให้มีระยะห่างขึ้น แม้ว่าองค์ชายจะสามารถใช้งานได้โดยส่วนตัว แต่ถ้าไม่ได้สัมผัสกับอาวุธและเกราะเป็นเวลาหลายปี เกรงว่าจะทำให้ใกล้ชิดกับราชสำนักมากกว่า และจะไม่เป็นองค์ชายที่เข้าข้างกับกองทัพทหาร
ไม่น่าแปลกใจที่อ๋องฉินจะแอบเลี้ยงดูผู้มีความสามารถอื่นๆ ไว้ส่วนตัวอีก
และหมออิงก็คือหมอประจำของจวนอ๋อง หลังจากที่องค์ชายสร้างจวนอ๋องแล้ว ภายในจวนจำเป็นต้องเตรียมหมอโดยเฉพาะ จวนอ๋องฉินก็ไม่ได้มีข้อยกเว้นเช่นกัน หมออิงเป็นหมอที่มีตำแหน่งอยู่ในระดับห้า[1] มาจากสำนักหมอหลวง แม้ว่าอายุจะไม่แก่เท่ากับพวกพ่อบ้านเกาอีกสามคนนั้น กลับดูแลอาการป่วยของอ๋องฉินมาหลายปี ดูเหมือนว่าก็น่าจะได้รับความเชื่อใจจากอ๋องฉินอย่างมาก มิฉะนั้น หลังจากนั้นคงจะไม่เลือกน้องสาวของเขาจากหญิงสาวสี่คนให้ไปรับใช้สนมเอกเฮ่อเหลียนในวังหลวง
ขณะกำลังพูด หมออิงก็เข้ามาแล้ว และโค้งตัวลงที่นอกม่าน “พระชายาขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นพูดผ่านม่าน “หมออิงเข้ามานั่งเถิด”
หมออิงรู้ว่าพระชายาองค์ใหม่น่าจะอยากเข้าใจสภาพร่างกายขององค์ชายสาม แม้ว่านางไม่เรียกตัวเอง เขาก็อยากจะหาโอกาสพบนางให้เร็วที่สุด เวลานี้เป็นไปตามที่คิด เมื่อเข้ามานั่งลงแล้ว ก็ได้ยินอวิ๋นหว่านชิ่นพูดขึ้นอย่างเบาๆ “พวกเจ้าทั้งหมดออกไปรับใช้อยู่ด้านนอกเถิด”
ชูซย่า ชิงเสวี่ยและเจินจูทั้งสามคนเปิดม่านและเดินออกไป
ภายในห้องเงียบสนิท หมออิงเห็นหญิงสาวตรงหน้างอนิ้วชี้ที่เรียวบาง และเคาะเบาๆ บนโต๊ะ น้ำเสียงฟังดูราวกับเบาและอ่อนโยน กลับปนด้วยไอเย็นที่บอกไม่ถูกแผ่ออกมา ทำให้อุณหภูมิในห้องลดต่ำลงไปมากโดยฉับพลัน “ร่างกายขององค์ชายสามเป็นอย่างไรกันแน่ รบกวนหมออิงบอกทั้งหมดที่ท่านรู้แก่ข้าด้วยเถิด ข้าต้องการเข้าใจอย่างละเอียด”
หมออิงมองพระชายา และพูดอย่างเชื่องช้า “องค์ชายสามโดนวางยาในสถานเลี้ยงดูองค์ชายตอนที่พระองค์ยังเป็นทารกขอรับ พระชายาคงจะทราบว่า ก่อนที่เหล่าองค์ชายจะหย่านม ต่างอาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงดูองค์ชายทั้งสิ้น และมีแม่นมของแต่ละองค์โดยเฉพาะเข้ามาให้นม ในตอนนั้น ขณะที่แม่นมกำลังอุ้มให้นมเขาในสถานเลี้ยงดูองค์ชายอยู่ ทุกคนที่เฝ้าอยู่ก็พลันได้ยินเสียงกรีดร้องตกใจของแม่นม ถึงจะเห็นว่าองค์ชายหมดสติไปที่อ้อมอกของแม่นม ทั้งกายเป็นสีม่วงคล้ำ โชคดีที่เวลานั้นเหยาหยวนพั่นเพิ่งจะมาดูอาการป่วยให้แก่คนชั้นสูงในวังหลวงเสร็จ และเดินผ่านสถานเลี้ยงดูองค์ชายพอดี พอเห็นสถานการณ์ก็รีบเข้ามาฝังเข็มและกรอกยา จึงห้ามการกระจายของสารพิษไว้ได้ทันท่วงที องค์ชายสามถึงจะมีชีวิตรอดได้ หลังจากเรื่องนั้นฝ่าบาทก็ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ที่มาของพิษนั้นก็คือ…”
——
[1] ตำแหน่งระดับห้า เป็นระดับตำแหน่งที่สูงที่สุด โดยตำแหน่งต่างๆ ของจีนสมัยโบราณมักจะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ