บทที่ 631 ฝันร้าย
หลังสอบถามเรื่องที่พักที่ดีที่สุดจากชาวบ้านข้างทางจนมาถึงที่พัก พวกเขาจึงส่งคนเข้าไปจองห้องพักเอาไว้สองสามห้อง จากนั้นวางเฉียวโม่เฟิงลงบนเตียง
แม้เฉียวเทียนช่างจะกดจุดที่มีผลต่อการนอนหลับของเฉียวโม่เฟิง แต่บนใบหน้าของเขาก็ยังมีความตื่นตระหนกปรากฏอยู่ ร่างของเด็กชายสั่นเทิ้มอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ราวกับเขาดิ้นรนต่อสู้กับบางสิ่งอยู่
หนิงเมิ่งเหยารู้สึกปวดหัวหลังจากเห็นเฉียวโม่เฟิงมีอาการเช่นนั้น “เทียนช่าง เจ้าคิดว่าตระกูลเว่ยทำอะไรกับเด็กคนนี้ ตระกูลซ่งไม่น่าจะทารุณเขาจนฝังใจได้ถึงเพียงนี้”
เด็กชายไม่ได้มีปฏิกิริยารุนแรงอันใดแม้เขาจะเจอคนที่มาจากตระกูลซ่ง แต่ครั้งนี้เขากลับแสดงปฏิกิริยารุนแรงออกมาทั้งที่เพิ่งจะเข้าเมือง นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตระกูลเว่ยจะต้องทำสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้ลงไปอย่างแน่นอน มิฉะนั้นเขาคงจะไม่หวาดกลัวถึงเพียงนี้
เฉียวเทียนช่างส่ายหน้า “ข้าก็ไม่แน่ใจ เฟิงเอ๋อร์จำอะไรไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว ข้าเกรงว่าคงมีแต่เว่ยลั่วกับตระกูลเว่ยเท่านั้นที่รู้”
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว สุดท้ายนางจึงพยักหน้าทั้งที่รู้สึกว่าตนเองช่างไร้กำลังยิ่งนัก “เช่นนั้นข้าจะให้พวกหนานอวี่ตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ตอนนั้นนางส่งคนออกไปตรวจสอบว่าเหตุใดเด็กชายจึงตกไปอยู่ในมือของซ่งรุ่ยได้ แต่ไม่ได้ตรวจสอบเรื่องอื่นอีก นางคาดไม่ถึงเลยว่านี่เป็นสิ่งแรกที่นางจะต้องทำหลังจากมาถึงที่นี่ในวันนี้ นางรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
“ข้าจะไปสั่งการก่อน จับตาดูเฟิงเอ๋อร์ให้ดี ซางเอ๋อร์กำลังหลับอยู่ อย่าให้เฟิงเอ๋อร์เตะถูกเขาได้” เฉียวเทียนช่างบอกหนิงเมิ่งเหยาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดก่อนเดินออกไป
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า แล้วบอกให้เฉียวเทียนช่างรีบไป
หลังจากคนอื่นๆ ออกไป หนิงเมิ่งเหยาจึงมองใบหน้าอันซีดเซียวของเฉียวโม่เฟิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียง หยาดเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มหน้าของเด็กชาย นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้เขาก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตาให้อย่างเบามือ
“อย่า ข้าไม่ใช่ปีศาจ… ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย ไม่” ขณะที่หนิงเมิ่งเหยาไม่รู้จะทำอะไร เฉียวโม่เฟิงก็เริ่มละเมอ ดูเหมือนว่าเด็กชายกำลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันเจ็บปวดอยู่ในความฝัน สีหน้าของเขาตึงเครียด
หนิงเมิ่งเหยานั่งลงข้างเตียงอย่างรวดเร็วแล้วคว้ามือของเขาขึ้นมา นางลูบแผ่นหลังของเขาอย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไร แม่อยู่นี่แล้ว พ่อกับแม่อยู่กับเจ้า ไม่มีใครกล้าทำร้ายเจ้าแน่ อย่ากลัวไปเลย”
ไม่รู้ว่าการปลอบประโลมของหนิงเมิ่งเหยานั้นมีผลมากน้อยเพียงใด แต่ปฏิกิริยาของเฉียวโม่เฟิงก็อ่อนลง ทว่าเขาก็ยังละเมอออกมาบ้างเป็นครั้งคราว หนิงเมิงเหยาจับใจความถ้อยคำที่เขากำลังพูดออกมาไม่ได้ นางบอกได้เพียงว่าเขากำลังฝันร้าย
เฉียวโม่เฟิงอยู่ในสภาพนั้นจนกระทั่งถึงกลางดึก จู่ๆ ไข้ของเขาก็ขึ้นสูง หนิงเมิ่งเหยาเผลอฟุบหลับลงบนเตียง แต่นางพลันรู้สึกถึงความร้อนราวกับน้ำเดือดจากตัวเขา นางจึงรีบลุกขึ้นนั่งในทันที
เมื่อนางลืมตาขึ้น นางเห็นเฉียวโม่เฟิงนอนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากของเขาแห้งผาก
นางหยิบเอาถ้วยน้ำขึ้นมาแล้วป้อนเขาด้วยความระมัดระวัง เอาน้ำลูบปากเพิ่มความชุ่มชื่น จากน้ันจึงวิ่งออกไปตามชิงซวง
เฉียวเทียนช่างพาบุตรชายกลับมาพอดี มือข้างหนึ่งของเขาอุ้มลูก ส่วนมืออีกข้างถือจานเอาไว้ อาหารร้อนๆ หอมกรุ่นอยู่ในจาน
“เกิดอะไรขึ้น”
“เฟิงเอ๋อร์ไข้ขึ้นสูง”
“รีบเข้าไป”
หลังชิงซวงช่วยลดไข้ให้เด็กชาย หนิงเมิ่งเหยาก็ขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆเขาถึงไข้ขึ้น”
ชิงซวงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยสิ่งที่นางคิดออกมา หนิงเมิ่งเหยานิ่วหน้าหลังจากฟังจบ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
นางมองเฉียวโม่เฟิงที่เพิ่งดื่มยาเสร็จและยังคงหลับอยู่ “หนานอวี่กลับมาหรือยัง”
“ยัง ข้าเกรงว่าจำต้องใช้เวลาอีกสักพัก” เฉียวเทียนช่างส่ายหน้า “อย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่ใช่ถิ่นเรา คงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ”
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า “อย่างไรเสียเราก็ต้องจัดคนมาดูแลเฟิงเอ๋อร์สักระยะ หากเขาเริ่มแสดงอาการอะไรออกมาอีก ก็ทำให้เขาสลบไปเสีย”
นางลังเลขึ้นมาเล็กน้อยว่าควรสั่งให้ใครสักคนพาตัวเขากลับไปยังเมืองเซียวดีหรือไม่ เพราะพวกนางคงต้องอยู่ที่นี่อีกนานแน่ หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นบ่อยๆ มันจะเป็นปัญหาเอาได้
บทที่ 632 มีปัญหาตามมาเสมอ
เฉียวเทียนช่างโอบไหล่หนิงเมิ่งเหยา “อย่าห่วงไปเลย เฟิงเอ๋อร์จะต้องไม่เป็นอะไร”
“ในเมื่อเราจำต้องอยู่ที่นี่อีกนาน ข้าคิดว่าหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก เราควรส่งเฟิงเอ๋อร์กลับเสีย” หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจ หากนางรับไม่ไหวจะเป็นอย่างไร นางจำต้องตัดสินใจ
เฉียวเทียนช่างส่ายหน้าน้อยๆ “เฟิงเอ๋อร์คงไม่อยากอยู่ห่างเรา”
“ข้ารู้ แต่ข้าเป็นห่วงสุขภาพของเขา” หนิงเมิ่งเหยาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเฉียวโม่เฟิงไม่มีทางยอมทิ้งพวกนางกลับไปคนเดียวแน่ แต่นางไม่มีทางยอมให้เขาต้องฝืนทนกับอาการเช่นนี้ได้ มันไม่เป็นผลดีต่อตัวเขาเลย
เฉียวเทียนช่างส่ายหน้า “นี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้เผชิญหน้ากับความกลัวภายในจิตใจ ทุกสิ่งมีแต่จะแย่ลงหากเขายังหลีกหนีมันอยู่เช่นนี้”
ไม่ใช่ว่าหนิงเมิ่งเหยาไม่เข้าใจตรรกะนี้ แต่นางรู้สึกปวดใจเมื่อเห็นเด็กชายที่นางรักต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนี้
“คุณหนู นายท่าน อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ นายน้อยจะต้องตื่นขึ้นมาในเร็วๆ นี้แน่”
“อืม ชิงซวง เจ้าควรไปหาอะไรกินแล้วพักผ่อนเสีย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
หลังชิงซวงออกไป สามคนพ่อแม่ลูกจึงเริ่มทานข้าวแล้วนั่งลงข้างเตียงพลางเฝ้าดูอาการของเฉียวโม่เฟิงที่หลับสนิท
ขณะที่พวกเขากำลังกังวลอยู่ว่าจะมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเฉียวโม่เฟิงหรือไม่ เด็กชายพลันลืมตาแล้วผุดลุกขึ้นจากเตียง บนใบหน้าของเขามีความหวาดกลัวอย่างรุนแรงปรากฏอยู่
เฉียวเทียนช่างรีบโอบไหล่เฉียวโม่เฟิง “เฟิงเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น”
น้ำเสียงอันคุ้นเคยทำให้ประสาทอันตึงเครียดของเฉียวโม่เฟิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขายกมือขึ้นคว้าชุดของเฉียวเทียนช่าง ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือ
“ท่านพ่อ ข้าฝันร้ายขอรับ มันน่ากลัวยิ่งนัก” ร่างของเฉียวโม่เฟิงสั่นเบาๆ ทำเอาเฉียวเทียนช่างต้องขมวดคิ้ว
“มันเป็นแค่ความฝัน มันไม่ใช่เรื่องจริง ดังนั้นเจ้าอย่ากลัวไปเลย”
“แต่… แต่ความฝันนั้นมันเหมือนจริงมากเลยขอรับ ราวกับข้าเคยพบเจอเรื่องนั้นมากับตัว” เฉียวโม่เฟิงเล่าสิ่งที่เขาเจอในฝันให้ทั้งสองฟัง
ความหวาดกลัวในฝันทำให้เขาปรารถนาที่จะจบชีวิตของตนลงเสีย เหตุใดความทรมานนั้นจึงยังคงอยู่อีก
ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่นางสัมผัสความหวาดกลัวอันรุนแรงและอาการสั่นที่อยู่ภายในดวงตาของเฉียวโม่เฟิงได้
เฉียวเทียนช่างลูบหลังเฉียวโม่เฟิงเบาๆ เขาตั้งใจจะใช้วิธีนี้เพื่อปลอบให้เด็กชายสงบลงและเพื่อบอกเขาว่าไม่ต้องกลัว
“เฟิงเอ๋อร์ อย่ากลัวไปเลย พ่อกับแม่อยู่กับเจ้า”
เฉียวโม่เฟิงเงยหน้ามองเฉียวเทียนช่างกับหนิงเมิ่งเหยาที่นั่งอยู่ข้างตัว เขาพยักหน้า “เฟิงเอ๋อร์ทราบขอรับท่านพ่อ”
เฉียวเทียนช่างทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงเคาะประตูจากด้านนอกหยุดเขาเอาไว้ก่อน หนิงเมิ่งเหยาเดินไปเปิดประตู คนที่อยู่ตรงนั้นคือเสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมแห่งนี้
นางเบี่ยงตัวเพื่อเปิดทางให้เขาเข้าไป หลังจากชายผู้นั้นวางถาดลง เขาก็กลับออกไป หนิงเมิ่งเหยาถือโจ๊กใส่เนื้อไว้ในมือ
“มากินข้าวสักหน่อยสิ”
เฉียวโม่เฟิงอยากบอกว่าเขาไม่หิว แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยาแล้ว เขาจึงปฏิเสธไม่ลง
เขารับถ้วยมาไว้ในมือก่อนตักกินทีละคำจนหมด
“เฟิงเอ๋อร์ เราจำต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสักระยะ พวกเราเป็นห่วงอาการของเจ้ายิ่งนัก หากเจ้าต้องการ พ่อกับแม่จะจัดคนพาเจ้ากลับบ้านก่อน ตกลงไหม” หนิงเมิ่งเหยารอให้เขากินเสร็จแล้วจึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา นางตั้งใจว่าจะถามความเห็นของเขาก่อน
เฉียวโม่เฟิงส่ายศีรษะในทันที “ท่านแม่ ข้าจะกลับไปพร้อมพวกท่านทุกคนขอรับ”
หนิงเมิ่งเหยาคาดไม่ถึงว่าเฉียวเทียนช่างจะพูดถูก ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างไร้ทางเลือก “ในเมื่อเจ้าว่าอย่างนั้น แม่ก็จะไม่หว่านล้อมเจ้า แต่ต่อไปอย่ามีอาการเช่นนี้อีก พ่อกับแม่เป็นห่วงเจ้ามาก เจ้าเข้าใจไหม”
“ขอรับ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
สามคนพ่อ แม่ ลูกพูดคุยกันต่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนคนเป็นพ่อและแม่จะพาเฉียวโม่ซางเดินออกไป
หลังพวกเขาออกจากห้อง จู่ๆ เฉียวโม่เฟิงก็หยิบเอาสร้อยหยกสีดำที่อยู่บนคอขึ้นมา ในดวงตาของเขามีทั้งความเกลียดชังและความเด็ดเดี่ยวปรากฏอยู่ “ท่านแม่…”
มีเพียงหนานอวี่ที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเฉียวโม่เฟิง เขารู้สึกว่านายน้อยแตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง แต่นายท่านกับพี่สะใภ้กลับดูเหมือนจะยังไม่สังเกตเห็น เขาอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ เขาควรปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเช่นนี้หรือไม่
หากเขาปล่อยไป แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเฉียวโม่เฟิงนำปัญหามาให้พวกเขา
แต่สิ่งที่หนานอวี่ไม่รู้ก็คือนับตั้งแต่วันที่หนิงเมิ่งเหยาช่วยเด็กชาย ปัญหาก็ตามพวกเขามาตลอด