บทที่ 633 เขาจำได้
ถ้าเฉียวเทียนช่างและคนอื่นๆ ยังไม่ทันสังเกตเห็นในตอนแรกนั้น ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด แต่ถ้าเวลาผ่านไปแล้วพวกเขายังไม่รู้สึกผิดสังเกตก็คงจะแปลกยิ่งนัก แน่นอนว่าในไม่ช้าพวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเฉียวโม่เฟิง
เด็กชายเคยมีรอยยิ้มอันไร้ซึ่งความกังวลใดๆ อยู่บนใบหน้า ทว่าตลอดช่วงสองสามวันที่ผ่านมา แม้เขาจะยิ้ม แต่รอยยิ้มพวกนั้นก็ไม่ได้ใสบริสุทธิ์เหมือนในอดีต บางครั้งบางคราเขาก็เผยความเกลียดชังอันรุนแรงจนสัมผัสได้ออกมา
เฉียวเทียนช่างกับหนิงเมิ่งเหยามองท่าทางที่เด็กชายแสดงออกมาและลงความเห็นกันว่าควรจะหาโอกาสคุยกับเขา
คืนนั้น หลังจากกล่อมเฉียวโม่ซางนอนและบอกให้ชิงซวงช่วยดูแลเขาแทน หนิงเมิ่งเหยากับเฉียวเทียนช่างจึงเข้าไปในห้องของเฉียวโม่เฟิงพร้อมกัน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ มีอะไรหรือขอรับ” เมื่อเขาเห็นคนทั้งสอง เฉียวโม่เฟิงมีท่าทีตกอกตกใจอย่างเห็นได้ชัด ในดวงตาของเขามีความแคลงใจอยู่ ราวกับเขากำลังรู้สึกว่าการที่คนทั้งสองเข้ามาในห้องของเขานั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
เฉียวเทียนช่างสังเกตเห็นว่าเฉียวโม่เฟิงกำลังมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าจำทุกอย่างได้แล้วใช่หรือไม่”
เฉียวโม่เฟิงเกร็งตัว แม้แต่สีหน้าของเขาก็พลอยแข็งกระด้างขึ้นด้วย “ใช่ขอรับ”
“ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไหร่ เหตุใดตลอดหลายวันที่ผ่านมาเจ้าจึงเอาแต่นึกถึงการล้างแค้น” เฉียวเทียนช่างโมโห ไม่ใช่เพราะเฉียวโม่เฟิงจำทุกอย่างได้ แต่เพราะเด็กชายแอบกระทำการบางอย่างลับหลังพวกเขา
เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่กันเชียว เขาน่าจะอายุได้แค่สิบกว่าขวบเท่านั้น ถึงเขาจะเป็นผู้ใหญ่ก่อนวัยอันควร ถึงเขาจะมีความสามารถ แต่เรื่องพวกนั้นมันเป็นสิ่งที่คนอายุเท่าเขาควรทำหรือ
“ท่านพ่อ ข้า…”
“เฉียวโม่เฟิง เจ้าทำให้พวกข้าผิดหวัง” เฉียวเทียนช่างเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ ขัดคำพูดของเฉียวโม่เฟิง
ใบหน้าของเฉียวโม่เฟิงซีดลงในพริบตา เขาอ้าปากพะงาบๆ ขณะมองเฉียวเทียนช่าง สุดท้ายจึงเม้มริมฝีปากของตนเข้าหากันอย่างเชื่อฟัง เขาก้มหน้าลง ความหวาดกลัวฉายขึ้นในดวงตา เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนทั้งสองกำลังจะทอดทิ้งเขา
ความคิดเช่นนั้นวนเวียนอยู่ภายในใจของเฉียวโม่เฟิง หนิงเมิ่งเหยาทนไม่ไหวจึงเอ่ยขึ้นว่า “เฟิงเอ๋อร์ หน้าที่ของเจ้าในเวลานี้คือการเพิ่มพูนความรู้ ไม่ใช่การหาวิธีแก้แค้น การแก้แค้นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ มันไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“ท่านแม่ ข้าแค่…” ส่วนสาเหตุนั้นคืออะไร เฉียวโม่เฟิงไม่ได้เอ่ยถึงมัน ไม่สิ เขาไม่สามารถพูดมันออกมาได้มากกว่า
เฉียวเทียนช่างมองเฉียวโม่เฟิงอย่างเย็นชา “อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าทำอะไรลับหลังพวกข้า” จากนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับไป โดยไม่สนใจเฉียวโม่เฟิงที่ลังเลอยากจะพูดอะไรอยู่
หนิงเมิ่งเหยายกมือขึ้นวางลงบนไหล่ของเฉียวโม่เฟิง “ลองคิดเรื่องที่พวกเราพูดดู เฟิงเอ๋อร์ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องเข้าใจแน่”
หนิงเมิ่งเหยาไม่อยากคุยต่อ ในเมื่อเขาจำทุกอย่างได้แล้วก็นับว่าไม่เลวนัก แต่นางกำลังกังวลกับสภาพปัจจุบันของเขามากกว่า
หากสุดท้ายเขายังไม่เข้าใจ นางคงต้องให้ใครสักคนพาตัวเด็กชายกลับบ้านเสีย ไม่ว่าเขาจะขัดขืนอย่างไรก็ตาม
ในไม่ช้าภายในห้องก็เหลือแค่เฉียวโม่เฟิงอยู่เพียงผู้เดียว
เขากุมจี้หยกที่สวมอยู่บนคอแน่น เด็กชายรู้ดีว่ามารดาของตนคงต้องการให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปจึงทิ้งของสิ่งนี้ไว้ให้ ก่อนนี้เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยแม้แต่เรื่องเดียว แต่ดูเหมือนเขาจะเลือกทางผิด
เด็กชายขมวดคิ้วแน่น ช่วงเวลานี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตตั้งแต่จำความได้ ทั้งความรักที่หนิงเมิ่งเหยากับเฉียวเทียนช่างมีให้ ทั้งความน่ารักของน้องชาย เขาไม่อยากจะทิ้งพวกมันไป
เขารู้ว่ากิริยาท่าทางของเขาในตอนนี้ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องผิดหวัง หากเขายังคงทำให้ท่านทั้งสองผิดหวังต่อไป สุดท้ายท่านพ่อกับท่านแม่จะต้องทอดทิ้งเขาไปแน่
เขายกมือขึ้นกอดเข่า งอตัวเป็นก้อนกลมอยู่บนเตียง เด็กชายตัวสั่นเทิ้มราวกับกำลังร่ำไห้
หนิงเมิ่งเหยายกมือขึ้นลูบหน้าผากด้วยความปวดหัว แล้วจึงหันไปหาเฉียวเทียนช่าง “เทียนช่าง เจ้าคิดว่าเด็กคนนั้นจะเข้าใจไหม”
“อย่าห่วงเลย เขาต้องเข้าใจแน่”
แม้จะพูดออกมาอย่างหนักแน่น แต่ภายในใจของเขาเองก็ยังลังเลอยู่ หากสุดท้ายเฟิงเอ๋อร์ยังดื้อด้าน เขาคงรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
เขาฝึกฝนเฉียวโม่เฟิงมาอย่างเข้มงวด เขาไม่หวังอยากให้เด็กคนนั้นต้องหน้ามืดตาบอดไปกับความเกลียดชังจนเอาแต่นึกถึงการแก้แค้นโดยไม่สนใจสิ่งอื่น
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว “ข้ารู้สึกห่วงอยู่เล็กน้อย”
“ถ้าหากเขาเลือกที่จะทำตามความต้องการของเขาจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ไม่คู่ควรให้พวกเราต้องเลี้ยงดูอีกต่อไป”
บทที่ 634 รู้ดีแก่ใจ
หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่างอย่างหมดหนทาง นางเข้าใจดีว่าที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง “แต่เทียนช่าง…”
“ข้าไม่อยากให้สุดท้ายเจ้าต้องมาทนแบกรับความเกลียดชังทั้งของแม่และลูกเช่นนี้” เมื่อหนิงเมิ่งเหยาทำท่าจะอ้าปากพูด เฉียวเทียนช่างจึงมองนางด้วยสายตาเคร่งขรึม
หนิงเมิ่งเหยาตัวแข็งทื่อ นางอยากบอกว่านางไม่ได้จะทำเช่นนั้น แต่ก็ไม่สามารถโต้ตอบได้
เขายกแขนขึ้นมาดึงนางเข้าไปในอ้อมกอด “ข้ารู้ว่าเจ้ารักเด็กคนนั้น ในเมื่อเขาเป็นลูกของเรา ข้าก็จะไม่คัดค้านหากเขาคิดจะแก้แค้น แต่จะต้องเป็นตอนที่เขาพร้อมแล้วเท่านั้น หากเขาไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นได้และหวังจะพึ่งสิ่งที่อยู่ในมือเจ้าเพื่อแก้แค้น เช่นนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะไม่ยอมเป็นอันขาด”
สำหรับเฉียวเทียนช่าง การแก้แค้นที่ใช้ความรักของหนิงเมิ่งเหยามาเป็นเครื่องมือ ทุกการกระทำที่เกิดจากมันล้วนไร้ค่า
หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่าง นางรู้ดีว่านางไม่มีทางค้านเฉียวเทียนช่างได้ จึงทำได้เพียงพยักหน้า “เอาล่ะ ข้าสัญญา”
เฉียวเทียนช่างก้มหน้าลงจูบหน้าผากของหนิงเมิ่งเหยา
เขามองไปทางประตูตอนที่หนิงเมิ่งเหยายังไม่ทันได้สังเกต
เฉียวโม่เฟิงยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น เดิมทีเขาตั้งใจจะมาขอโทษทั้งสอง เขารู้ดีว่าตนนั้นทำผิดไป
เด็กชายคาดไม่ถึงว่าเฉียวเทียนช่างจะพูดเช่นนั้นออกมา แต่ก็เข้าใจได้ ในเมื่อตนก็มีความคิดเช่นนั้นอยู่ สำหรับคนที่สามารถควักเงินกว่าล้านตำลึงเงินออกมาได้อย่างสบายๆ เช่นหนิงเมิ่งเหยา แน่นอนว่านางคงมีอำนาจมากมายอยู่ในกำมือเป็นแน่
เขาเคยคิดที่จะใช้ความรักของหนิงเมิ่งเหยาช่วยมารดาของตนแก้แค้นไปพร้อมกัน แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเฉียวเทียนช่าง เขาก็รู้สึกขนลุก ร่างกายของเขาแข็งค้าง เด็กชายรู้ว่าตนคิดผิด
เป็นเช่นนั้นจริง ทั้งสองจะมาช่วยเขาแก้แค้นด้วยเหตุผลอันใดกันเล่า
อีกอย่าง ที่นี่ยังมีเด็กเล็กอยู่ด้วย จะเกิดอะไรขึ้นหากทั้งสองเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้แล้วน้องชายของเขาต้องบาดเจ็บขึ้นมา
เฉียวโม่เฟิงพลันรู้สึกว่าตัวเองช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน เขาคิดถึงแต่ตัวเองและไม่คิดจะพิจารณาเลยเสียด้วยซ้ำว่าคนรอบข้างจะคิดเช่นเดียวกันกับตนหรือไม่
เด็กชายมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิท ก่อนเดินออกจากตรงนั้นไปด้วยความเปล่าเปลี่ยว บางทีเขาควรเอาคำพูดของท่านพ่อมาตรองดูให้ดี
หลังเฉียวโม่เฟิงกลับไป หนิงเมิ่งเหยาจึงผละออกจากอ้อมกอดของเฉียวเทียนช่าง “เทียนช่าง จะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ”
ชายหนุ่มเหลือบมองประตูห้อง “ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าจะมีวิธีอื่นอีกหรือ ว่าอย่างไร เจ้าอยากปล่อยให้เขาเป็นเช่นนี้ต่อไปจริงๆ หรือ”
“แน่นอนว่าไม่”
เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของหนิงเมิ่งเหยา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ควรเลิกคิดมากได้แล้ว”
“ก็ได้”
เฉียวโม่เฟิงกลับไปที่ห้องของตัวเอง เขานั่งลงบนเตียงแล้วนึกถึงช่วงเวลาก่อนที่เขาจะได้พบกับหนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ
ในเวลานั้นแม้ผู้เป็นมารดาที่แท้จริงจะรักเขาอย่างสุดหัวใจ แต่นางก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจนนัก ในตอนนั้นเขามีหลายสิ่งที่ต้องร่ำเรียน และผู้เป็นมารดาก็ไม่ได้มีเวลามากพอที่จะมานั่งทานอาหารเที่ยงร่วมกับเขาได้ทุกวัน
แต่หลังจากเขาได้พบกับท่านพ่อและท่านแม่ในปัจจุบัน เขาจำได้ดีว่าทั้งสองดูแลเขาดีเพียงใด
แม้ที่นี่จะมีหลายอย่างที่เขาจำเป็นต้องเรียนรู้ไม่ต่างจากที่นั่น แต่การเรียนส่วนมากก็ไม่ต่างกับการเล่นสนุก ไม่มีทั้งข้อบังคับอันเข้มงวด ทั้งยังไม่มีจุดประสงค์อันใดที่เขาจำต้องทำให้บรรลุ ท่านพ่อกับท่านแม่เองก็จะมาร่วมมื้ออาหารกับเขาทุกวัน
เขาไม่อยากเสียชีวิตอันแสนสุขสบายนี้ไป เขาไม่ยอมเสียมันไปแน่
เฉียวโม่เฟิงหายใจเข้าลึกๆ บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอันอบอุ่น
เฉียวโม่เฟิงเหม่ออยู่ในห้องของตนร่วมวัน ตอนที่เด็กชายเดินออกมา เขาไม่มีกระแสแห่งความมุ่งร้ายอยู่อีกแล้ว ในเวลานี้เด็กชายกลับดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
บางทีนั่นอาจจะเรียกว่าการเติบโต และชีวิตก็เป็นเช่นนี้
เฉียวโม่เฟิงไม่ได้พูดสิ่งที่ตนคิดอยู่ให้ทั้งสองฟัง แต่พวกหนิงเมิ่งเหยาก็ไม่ได้ถามเฉียวโม่เฟิงเหมือนกันว่าเขามีความคิดเช่นใด พวกเขาต่างทำราวกับว่าเหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้น
แน่นอนว่าราชครูรู้เรื่องที่หนิงเมิ่งเหยาและพวกเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว
“พวกเขามาถึงแล้ว ช่างรวดเร็วยิ่งนัก แต่เด็กคนนั้นทำให้ข้าประหลาดใจเสียจริง” เขานึกว่าหลังจากจดจำทุกสิ่งขึ้นมาได้ เด็กชายคงถูกความเกลียดชังบังตาไปเสียแล้ว เขานึกว่าเด็กคนนั้นจะใช้ความรักที่หญิงสาวมีให้ล้างแค้นโดยไม่สนใจว่าจะใช้วิธีการใดอีกแล้วเสียอีก
แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าเด็กชายจะล้มเลิกความคิดนั้นลง
“นายท่าน ตอนนี้…”
“พระชายาเสด็จมาถึงแล้วขอรับ”
ราชครูขมวดคิ้ว เขามองไปทางประตูและเห็นซ่งลี่ในชุดหรูหรากำลังเดินตรงเข้ามา