บทที่ 635 ในนามแห่งความร่วมมือ
หลังจากซ่งลี่เดินเข้ามา นางคุกเข่าลงแล้วจึงคำนับราชครู “ซ่งลี่คารวะท่านราชครู”
ราชครูมองซ่งลี่อย่างเย็นชา “เขาไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าเจ้าไม่สามารถมาที่จวนราชครูได้ง่ายๆ เช่นนี้”
ซ่งลี่ตากระตุก จากนั้นนางจึงยิ้มอย่างมั่นใจในตัวเอง “ท่านราชครู ข้ามาที่นี่เพื่อหารือบางสิ่งกับท่านเจ้าค่ะ”
ในสายตาของราชครู วิธีการพูดเอาแต่ใจของนางนั้นช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
“เช่นนั้นก็ว่ามา” ราชครูมองซ่งลี่ด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม
ซ่งลี่ถอนหายใจอย่างโล่งอกในใจ แต่บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความมั่นใจอยู่ “ท่านราชครูรู้หรือยังเจ้าคะว่าหนิงเมิ่งเหยากับสามีของนางเดินทางมาถึงที่แห่งนี้แล้ว”
“เจ้าต้องการจะบอกอะไร”
“ฮ่องเต้กับข้าต้องการร่วมมือกับท่านราชครูเจ้าค่ะ”
ราชครูยิ้มเยาะขณะมองซ่งลี่ ในดวงตามีแววเย้ยหยันอย่างรุนแรง “ร่วมมือหรือ”
ทั้งเหมียวเจียงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา หากเขาต้องการ เขาสามารถทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าสูญเสียทุกอย่างได้เลยด้วยซ้ำ นางมีคุณสมบัติอันใดจึงจะมาเจรจาเรื่องความร่วมมือหรือ
สายตาของเขาทำให้ซ่งลี่เสียวสันหลังวาบ นางแทบไม่สามารถฝืนปั้นรอยยิ้มแห่งความมั่นใจให้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของตนได้อีก “ท่านราชครูคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ราชครูดีดนิ้วข้างซ้ายของตนจนเกิดเสียงดังเป๊าะ “ข้าคิดอย่างไรน่ะหรือ ซ่งลี่ ดูเหมือนเจ้าจะยังตระหนักไม่ได้ว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นนายแห่งเหมียวเจียง”
ซ่งลี่มองไปที่ราชครู หัวใจของนางกลายเป็นน้ำแข็งอันเย็นเฉียบในพริบตา เขาหมายความว่าอย่างไร เขากำลังจะบอกว่าเหมียวเจียงเป็นของเขาหรือ
“ดูเหมือนสามีของเจ้าจะไม่ได้บอกอะไรเจ้าเลยสักอย่างสิท่า ข้ามีความสามารถพอที่จะทำให้เขาต้องลงจากตำแหน่งฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงได้ และนั่นหมายความว่าข้าสามารถกำจัดเขาทิ้งได้แน่นอน อย่าพยายามแสดงมารยากระจอกๆ ต่อหน้าข้าเลย” ราชครูหุบยิ้มบนใบหน้าของตนในทันที เขามองหญิงตรงหน้าตนอย่างเย็นชา ในดวงตามีความดูถูกดูแคลน
“ท่าน…. กล้าดีอย่างไร”
“พานางออกไป หลิงหวัง บอกซางเฟยให้จัดการหญิงผู้นี้ให้ดี” ราชครูหรี่ตาลง ร่องรอยแห่งความเย็นชาปรากฏขึ้น
เขาเกลียดคนที่ตั้งคำถามกับตนเป็นที่สุด
ส่วนเรื่องของซ่งลี่ เขารู้ว่าซ่งลี่ในตอนนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตอีกแล้ว พิษที่คนพวกนั้นวางไว้ในร่างของนางเพียงพอที่จะทำให้นางรู้สึกว่าตายเสียยังดีกว่าอยู่ เขาไม่อยากทำอะไรที่ช่วยให้นางได้หลุดพ้นจากบาปที่นางกระทำลงไป เขาอยากเห็นหญิงผู้นั้นตายลงอย่างช้าๆ และทรมาน
ซ่งลี่ตะเบ็งเสียงขณะที่ถูกลากตัวออกไป
“ท่านราชครู พวกมันช่างกล้านัก”
“ใช่ แต่เป็นแบบนั้นก็ยิ่งน่าสนใจ” เมื่อเห็นหมากในมือพยายามกระเสือกกระสนออกจากมือของตน เขาช่างรู้สึกดีเสียนี่กระไร
คงจะน่าเบื่อยิ่งนักถ้าพวกมันทำตัวราวกับหุ่นเชิด
“ไปบอกตระกูลเว่ยว่าบุตรชายของเว่ยลั่วกลับมาแล้ว” เขาอยากรู้ว่าตระกูลเว่ยจะมีปฏิกิริยาเช่นไรหลังจากที่รู้ว่าเด็กปีศาจผู้นั้นกลับมาแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น คนที่คิดจะตีตัวออกห่างจากเรื่องนี้จะทำอย่างไร
บางทีละครฉากนี้อาจจะตื่นเต้นและน่าชมมากกว่าที่คิด
คนในชุดดำที่ยืนอยู่ด้านข้างเผลอตัวสั่นขึ้นมา หนังตาของเขากระตุก เจ้านายของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
“นายท่านขอรับ สิ่งนี้จะทำให้ทงเป่าไจไม่พอใจหรือไม่ขอรับ” นั่นเป็นสิ่งที่เขากังวล
ริมฝีปากของราชครูหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วยหรือ”
ชายในชุดดำตัวแข็ง เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าราชครูต้องการสื่ออะไร
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปจัดการเสีย”
ราชครูมองดอกไม้ที่บานอยู่นอกหน้าต่าง มีเงาสะท้อนอันลึกล้ำอยู่ภายในดวงตาของเขา พวกมันจะรู้สึกอย่างไรที่ได้รับของขวัญเช่นนั้นจากเขากัน
หลังจากที่เว่ยลั่วหนีไป ตระกูลเว่ยก็ระแวดระวังตัวมากขึ้น ยิ่งรู้เรื่องที่มีคนช่วยนางเอาไว้จากการตามล่าตัวครั้งก่อน พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจ
พวกเขาต่างหวาดกลัวว่าเว่ยลั่วจะปรากฏตัวขึ้นและสังหารพวกตนอย่างโหดเหี้ยมได้ทุกเวลา
สำหรับพวกเขาแล้ว เรื่องนี้นับว่าอันตรายถึงชีวิต ทุกคนรู้จักฝีมือของเว่ยลั่วดี สาเหตุที่ครั้งก่อนพวกเขาสามารถทำให้นางบาดเจ็บสาหัสได้ก็เพราะใช้บุตรชายมารบกวนจิตใจของนาง
แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าจะสามารถโค่นเว่ยลั่วลงได้อีก
ทว่าเมื่อฝนตก ฟ้าก็รั่ว ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้มาจากที่ใด แต่ข่าวบอกว่าปีศาจตนนั้นกลับมาแล้วจริงๆ
“ท่านพ่อ ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องฆ่าปีศาจตนนั้นให้จงได้”
บทที่ 636 คิดถึงเขาในทันทีแม้เพิ่งแยกจาก
ชายหนุ่มรูปร่างอ้วนเบิกตากว้างด้วยความกลัว
คนที่อยู่ด้านบนขมวดคิ้วขณะมองบุตรชายของตน “เว่ยเซิน เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ใช่ว่านางเป็นแค่หญิงสาวหรอกหรือ นางจะทำอะไรได้”
เว่ยเซินมองบิดาของตนด้วยดวงตาตื่นตระหนก “ท่านพ่อ ท่านควรจะรู้นะว่าการมีอยู่ของนางจะทำให้ตระกูลเว่ยของเราต้องสั่นคลอน”
หากไม่ใช่เพราะคนที่อยู่ที่นี่มีมากเกินไป เว่ยเซินก็คงพูดเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับตระกูลเว่ยขึ้นมา
เว่ยเหยียนมองเว่ยเซิน “พอแล้ว ข้ามีความคิดของตัวเองในเรื่องนี้”
เว่ยเซินต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาถูกเว่ยเหยียนจ้องเขม็ง จึงทำได้เพียงกลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงไป
“ไม่ว่าข่าวลือจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม ให้ส่งคนออกไปตรวจสอบทันที หลังจากพบแล้วให้นำตัวคนกลับมาทันที ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม”
คำสั่งที่โหดร้ายและเย็นชาทำให้เว่ยเซินรู้สึกโล่งใจ แต่หัวใจของเขาที่เต้นไม่เป็นจังหวะเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
ขณะที่ตระกูลเว่ยกำลังสืบเรื่องของเว่ยลั่วอยู่ หนิงเมิ่งเหยาก็ช่วยเฉียวโม่เฟิงปลอมตัว หากไม่ใช่เพราะเว่ยลั่วเพิ่งเจอบุตรชายของตนมาเมื่อไม่นานมานี้ นางก็คงไม่กล้ายอมรับว่าเฉียวโม่เฟิงในปัจจุบันคือเด็กที่ตนคลอดออกมา
หลังจากเข้าเมือง เฉียวเทียนช่างจึงปลอมตัวออกไป มีหลายสิ่งที่เขาจำเป็นต้องจัดการที่นี่ แต่สิ่งที่เขาจำต้องทำในตอนนี้คือการตรวจสอบเรื่องบางอย่างให้แน่ชัดเสียก่อน
“ชิงซวง ติดต่อหงอิงและคนอื่นๆ ตรวจสอบดูว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน” คนจากทงเป่าไจมีช่องทางพิเศษสำหรับใช้ติดต่อสื่อาร ดังนั้นนางจึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องที่จะถูกพบเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนู อย่าห่วงเลยเจ้าค่ะ ข้าจะรีบดำเนินการให้”
หลังจากรู้ข่าวที่เฉียวเทียนช่างนำกลับมา หนิงเมิ่งเหยาก็รู้สึกดีใจที่ตนมอบหน้ากากไว้ให้เว่ยลั่วใช้ปลอมตัวเพื่อปิดบังใบหน้าอันงดงามราวกับเทพเซียนของนาง
เป็นเวลากว่าสองวันที่เฉียวเทียนช่างไม่ได้กลับมา แต่กระนั้นเขาก็ยังสามารถหาข่าวที่มีประโยชน์มาได้
เฉียวเทียนช่างออกไปสืบหาความจริงเรื่องของตระกูลเว่ย เขาเตรียมใจเจอกับสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เอาไว้แล้ว แต่กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาตรวจสอบข่าวเรื่องนี้แทน
“ในเมื่อตระกูลเว่ยรู้แล้วว่าเฟิงเอ๋อร์กลับมา เช่นนั้นเขาต้องปลอมตัวต่อ จนกว่าเราจะจัดการเรื่องนี้เสร็จ ห้ามให้เขากลับไปเป็นตัวเองเด็ดขาด”
“แน่นอนอยู่แล้ว เหยาเหยา ข้าได้ข่าวเรื่องอื่นมาด้วย เกรงว่าข้าต้องแยกตัวออกไปสักระยะ เจ้า… อยู่คนเดียวคงไม่เป็นไรใช่ไหม” หากเป็นไปได้เฉียวเทียนช่างก็ไม่อยากแยกจากนางเลยแม้แต่น้อย แต่ตลอดสองวันที่ผ่านมานี้เขาได้ข่าวเรื่องอื่นมา เป็นข่าวเกี่ยวกับหลุมฝังศพของฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียง
เขาอยากไปดูให้เห็นกับตา สถานที่แห่งนั้นดูไม่ชอบมาพากล
“ไปเถิด ข้ายังมีพวกชิงซวงอยู่ที่นี่ด้วย ถึงการมีเจ้าลิงน้อยอยู่ด้วยออกจะลำบากสักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ อีกอย่างเจ้าต้องระวังตัวให้ดี เจ้าควรพาหนานอวี่หรือไม่ก็เสี่ยวชีไปด้วย” ทั้งสองต่างมีพรสววรค์ในการใช้กู่พิษ หากมีพวกเขาอยู่ข้างกาย นางก็รู้สึกวางใจ
เฉียวเทียนช่างอยากบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องพาใครไป แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นเช่นนั้น
“เอาล่ะ ข้าจะพาเสี่ยวชีไปด้วย” เฉียวเทียนช่างเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าตกลง
นางยื่นมือไปกอดรอบเอวของเฉียวเทียนช่างก่อนจะนิ่วหน้า “เจ้าต้องระวังตัวให้ดี”
“อย่าห่วงเลย ข้าจะระวังตัว หากเรื่องราวกระจ่างแล้วข้าจะกลับมาทันที” ด้วยเพราะพวกเขาเคยพบหญิงผู้นั้นในห้องลับมาก่อน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะแยกตัวออกไปสืบ
หญิงผู้นั้นต้องเป็นองค์หญิงใหญ่แห่งเมืองเซียวไม่ผิดแน่ เซียวเฉิงหย่า มีเพียงนางผู้เดียวที่ตรงกับความเป็นไปได้นี้ และข่าวที่พวกเขาได้รับมาก็คือนางอยู่ในเหมียวเจียง
เขาตั้งใจจะสำรวจทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน ทุกอย่างจะได้สะดวกขึ้นในยามที่ช่วยนางออกมา
หนิงเมิ่งเหยาวางกระบี่ไร้ราชาลงในมือของเฉียวเทียนช่าง “นำมันไปด้วย”
ทั้งสองจะฝึกกระบี่ด้วยกันในยามที่มีเวลา ฝีมือกระบี่ของพวกนางนับว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว หากมีกระบี่เล่มนี้อยู่ด้วยก็เหมือนมีการป้องกันเพิ่มขึ้นอีกชั้น
“ตกลง”
หลังเฉียวเทียนช่างเดินทางออกไปพร้อมกับหนานชี เฉียวโม่เฟิงมองหนิงเมิ่งเหยาที่อยู่ในสภาพไร้ชีวิตชีวา เขารู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านแม่ ไม่สบายหรือขอรับ”
“แม่สบายดี แค่คิดถึงพ่อของเจ้าเท่านั้น” ทั้งสองเพิ่งแยกกันเมื่อครู่ แต่นางกลับคิดถึงเขาเสียแล้ว นางจะผ่านแต่ละวันไปได้อย่างไร
เฉียวโม่เฟิงมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาว่างเปล่า ราวกับคาดไม่ถึงว่านางจะเอ่ยเช่นนั้นออกมา
“ท่านแม่ อย่าห่วงไปเลยขอรับ ท่านพ่อแข็งแกร่งยิ่งนัก เขาจะต้องกลับมาในเร็ววันแน่” เฉียวโม่เฟิงทำได้เพียงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งเพราะไม่รู้ว่าจะปลอบใจหนิงเมิ่งเหยาอย่างไรดี