บทที่ 637 สวนทางกับคนจากตระกูลเว่ย + บทที่ 638 สุนัขมารยาทดีไม่ขวางทาง

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 637 สวนทางกับคนจากตระกูลเว่ย

เฉียวเทียนช่างเพิ่งจากไป หนิงเมิ่งเหยาก็แทบไม่มีอารมณ์ทำอะไรเลยแม้แต่น้อย เวลาอื่นนอกเหนือจากเล่นกับสองพี่น้องแล้ว ตอนกินข้าวนางยังเผลอเห็นน้ำส้มสายชูเป็นน้ำชาไปเสียอีก ท้ายที่สุดแล้วนางจึงมองซิงซวงและคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าเจ็บปวด

เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเอาชิงซวงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี แต่อีกใจนางก็ยังรู้สึกอิจฉาด้วย

ความสัมพันธ์ของหนิงเมิ่งเหยากับเฉียวเทียนช่างดำเนินมาอย่างยาวนาน พวกเขาแทบจะไม่เคยแยกจากกันเลย ออกจะตัวติดกันเกินกว่าความจำเป็นเสียด้วยซ้ำ มีไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เขากับนางจะอยู่ห่างกัน

หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจออกมาดังๆ นางรู้สึกทรมานยิ่งนัก

“คุณหนู อย่าเป็นเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ เรายังมีหลายสิ่งที่ต้องทำอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ คุณหนูจะลืมเป้าหมายทุกอย่างไปเพียงเพราะนายท่านไม่อยู่ไม่ได้ จริงไหมเจ้าคะ” นี่ไม่ใช่หนิงเมิ่งเหยาที่พวกนางรู้จัก

หนิงเมิ่งเหยาเข้าใจเหตุผลข้อนั้นดี แต่ไม่รู้ทำไมในหัวใจนางจึงมีความรู้สึกแปลกๆ ราวกับนางไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรสักอย่าง

ราชครูส่งคนสะกดรอยตามเฉียวเทียนช่างไปหลังจากรู้ว่าเขาแยกตัวออกจากกลุ่ม แต่เขาคาดไม่ถึงเลยว่าแค่เพียงสองวัน คนของเขาจะคลาดสายตาจากเฉียวเทียนช่างไปได้

เขานึกถึงตอนที่คนของตนตามจับตัวหนานกงเยี่ยน เขาไม่ได้หัวเสีย แต่กลับส่งคนออกค้นหาต่อในทันที ทว่าก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ

“นายท่าน ในเมื่อชายผู้นั้นแยกตัวออกไปแล้ว พวกเราจัดการหนิงเมิ่งเหยาเลยดีไหมขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งของเขาเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ

ราชครูมองคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เจ้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคู่มือให้พวกนางได้หรือ”

เขาไม่แน่ใจว่าฝั่งของหนิงเมิ่งเหยามีกำลังคนมากเท่าใด เขาคงไม่ระมัดระวังตัวถึงเพียงนี้หากอีกฝ่ายเป็นคนอื่น ไม่ใช่หนิงเมิ่งเหยา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนจากทงเป่าไจจะปรากฏตัวขึ้นข้างกายหนิงเมิ่งเหยาเมื่อใด

ยิ่งกว่านั้น ละครจากทางฝั่งตระกูลเว่ยก็ยังไม่จบ เขาจะเข้าไปก้าวก่ายในละครฉากนั้นง่ายๆ ได้อย่างไร

“อย่าตื่นตูม รอให้ตระกูลเว่ยลงมือ” คนจากตระกูลออกตามหาพวกของหนิงเมิ่งเหยามาพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังหาไม่เจอ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรู้สึกนับถือในฝีมือการปลอมตัวของอีกฝ่ายยิ่งนัก

ลูกน้องคนสนิทของเขารู้สึกสงสัยในใจ “แต่คนจากตระกูลเว่ยอาจจะหาพวกเขาไม่พบนะขอรับ”

“โอกาสจะต้องมาถึงแน่”

หลังเอ่ยประโยคนั้นจบ ราชครูไม่ได้พูดอะไรต่อ การกระทำเช่นนั้นทำให้ลูกน้องของเขารู้สึกอยู่ไม่สุข เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เว่ยเซินพาคนของตนเดินเล่นอยู่บนถนน ตั้งแต่รู้ว่าเจ้าปีศาจตนนั้นกลับมา เว่ยเซินก็รู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก กังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตระกูลเว่ย ทำให้เขาไม่มีเวลาออกมาเดินเล่นเช่นนี้อยู่พักใหญ่

แม้จะผ่านไปแล้วหลายวัน แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไรอีก สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เว่ยเซินรู้สึกว่าข่าวที่เขาได้มานั้นมีบางสิ่งผิดปกติ

หากคนผู้นั้นกลับมาจริง พวกเขาต้องหาตัวมันเจอในถิ่นของตนแน่

ทว่าตอนนี้ ทั้งที่พวกเขาแทบจะพลิกเมืองหลวงเพื่อออกค้นหาแล้ว ก็ยังไม่เจอตัวเด็กชายผู้นั้นเสียที เขารู้สึกสงสัยยิ่งนัก หรือเขาจะเข้าใจผิดไป

หลังจากขลุกตัวอยู่ในบ้านมาหลายวัน หนิงเมิ่งเหยาจึงได้สติ นางเลิกอยู่แต่ในบ้าน แต่พาเด็กชายทั้งสองออกมาเดินเล่นข้างนอกแทน

ในตอนนแรกเฉียวโม่เฟิงมีท่าทีตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แต่หลังจากเห็นคนที่เดินอยู่ตรงข้าม ร่างกายของเขาพลันเกร็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในดวงตาของเขามีความเกลียดชังอันล้ำลึกปรากฏขึ้น

เมื่อเห็นว่ามีบางสิ่งผิดปกติ หนิงเมิ่งเหยาจึงมองไปทางฝั่งตรงข้าม ไม่ไกลจากพวกนางเท่าใดนัก เว่ยเซินกับลูกน้องของเขากำลังตอแยหญิงที่ขายของบนถนนอยู่

นางเหลือบมองเว่ยเซิน จากนั้นจึงก้มหน้ามองเฉียวโม่เฟิงที่แทบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ “เฟิงเอ๋อร์ ผ่อนคลายหน่อย”

เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดบนบ่า เฉียวโม่เฟิงจึงผ่อนคลายลงทีละน้อย เขาบังคับให้ตัวเองโยนทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเว่ยเซินกลับไปในหัว

หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวโม่เฟิงด้วยความนับถือ แม้ในดวงตาของเขายังมีโทสะคุกรุ่นอยู่ แต่ก็มีเพียงเท่านั้น

นางยกมือขึ้นตบบ่าของเฉียวโม่เฟิง ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย “เฟิงเอ๋อร์ ไปกันเถอะ”

“ขอรับ”

หนิงเมิ่งเหยาพาเฉียวโม่เฟิงเดินตรงไปในทิศทางที่เว่ยเซินอยู่

ตอนแรกเว่ยเซินกำลังเล่นสนุกอยู่ แต่เขาก็สัมผัสถึงสายตาอันรุนแรงขึ้นมาได้ในฉับพลัน ทว่าเมื่อหันหน้ากลับไป สายตาคู่นั้นก็หายไปเสียแล้ว

แต่ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเห็นหญิงงามผู้หนึ่งที่กำลังอุ้มเด็กอยู่ในอ้อมแขน

มุมปากของเว่ยเซินหยักขึ้น และเมื่อหนิงเมิ่งเหยากำลังจะพาเฉียวโม่เฟิงเดินผ่านเขาไป ร่างของเขาก็มาหยุดขวางทางหนิงเมิ่งเหยาเอาไว้

บทที่ 638 สุนัขมารยาทดีไม่ขวางทาง

หลังจากถูกขวางทาง หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจหรืออารมณ์เสียแต่อย่างใด เพียงแค่มองคนที่อยู่ตรงหน้าของตนแล้วเอ่ยว่า “นายน้อยท่านนี้มีธุระอันใดหรือ”

“ฮูหยิน ท่านดูคุ้นหน้ายิ่งนัก แต่ท่านไม่ใช่คนที่นี่ใช่หรือไม่ ฟังจากสำเนียงของท่านแล้ว ท่านคงมาจากจงหยวน” เว่ยเซินทำตัวให้ดูภูมิฐาน ท่าทีของเขาทั้งอวดดีและโดดเด่นเหนือใคร ภายใต้การกระทำของเขานั้นมีความพยายามที่จะเกี้ยวพาราสีอีกฝ่ายอยู่

หนิงเมิ่งเหยาอดทนอดกลั้นต่อความรู้สึกขยะแขยงที่เกิดขึ้นในหัวใจตน

“ที่นี่ต้อนรับแต่ชาวเหมียวเจียงเท่านั้นหรือ” ดวงตาของหนิงเมิ่งเหยาไม่ขยับ แต่มือของนางที่อยู่ในจุดที่ไม่มีใครเห็นนั้นกำลังบีบมือของเฉียวโม่เฟิงแน่น บอกให้เขาควบคุมอารมณ์ของตนเอาไว้

เฉียวโม่เฟิงก้มหน้าตลอดเวลา ไม่อยากมองคนที่อยู่ตรงหน้าตน เด็กชายกลัวว่าอารมณ์ของเขาจะระเบิดออกมาหากเขาไม่ระวัง

ถ้าเป็นเช่นนั้น เขากฝ้คงทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องอับอายแน่

“นี่เป็นน้องชายของเจ้าหรือ” เขาไม่ได้ตอบคำถามของหนิงเมิ่งเหยา แต่สายตาของเว่ยเซินกลับหยุดลงที่เฉียวโม่เฟิงแทน

สายตาของเด็กชายผู้นี้นับว่าผิดปกติตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เด็กชายดูจะเกลียดชังเขาเอามากๆ แต่เขาจำไม่ได้ว่าเคยไปทำอะไรให้เด็กคนนี้โกรธขนาดนี้มาก่อน

หนิงเมิ่งเหยาตวัดสายตามองเขา “เขาเป็นลูกข้า”

“โอ้ เขาเป็นลูกของเจ้าหรอกหรือ อะไรนะ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร” เว่ยเซินเบิกตาพลางมองหญิงที่อยู่ตรงหน้าตน ดวงตาของเขาดูไม่เชื่อ

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกขำกับปฏิกิริยาของเว่ยเซิน “เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก เขาเป็นลูกข้า เจ้ามีปัญหาอะไรหรือ”

เว่ยเซินขมวดคิ้ว “ฮูหยิน ข้ากำลังคิดจะชวนท่านไปดื่มน้ำชาร่วมกันสักหน่อย สงสัยว่าท่านจะไว้หน้าข้าได้หรือไม่” เว่ยเซินข่มความโกรธในใจของตน แล้วเผยรอยยิ้มอันน่าเกลียดเสียยิ่งกว่ายามร้องไห้ออกมา

“ท่านแม่ ไปซื้อขนมที่ท่านพ่อชอบทานกันเถอะขอรับ” ตอนนั้นเองที่เฉียวโม่เฟิงเริ่มคุ้นชินกับการมีเว่ยเซินอยู่ตรงหน้า เขาหันมองรอบๆ แล้วจึงมองหนิงเมิ่งเหยาพลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหิวโหย

ตอนแรกนางเพียงต้องการหาข้ออ้าง แต่หลังเห็นเฉียวโม่เฟิงแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา ใจของนางก็อ่อนยวบ “เอาล่ะ ไปซื้อขนมกันเถอะ”

เว่ยเซินมองหญิงสาวที่จงใจเมินเขาไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีเดียวกันกับเครื่องในหมู

“หยุดอยู่ตรงนั้น”

หนิงเมิ่งเหยามองชายที่ขวางนางอยู่ ความรังเกียจผุดขึ้นในดวงตาของนาง

“นายน้อย ท่านไม่เคยได้ยินคำกล่าวนี้หรือ”

“อะไร”

“สุนัขมารยาทดี… ไม่ขวางทาง” ริมฝีปากสีแดงของหนิงเมิ่งเหยาเอ่ยขึ้นเป็นคำพูดเหล่านั้น ทำเอาเจ้าของแผงลอยแถวนั้นรู้สึกขำ แต่พวกเขาทำได้เพียงหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยเกรงว่าจะยิ่งทำให้เรื่องใหญ่ขึ้น

“หญิงแพศยา! นายน้อยผู้นี้นึกชอบเจ้าก็นับว่าเป็นบุญแล้ว ท่าทางจะไม่ชอบดื่มเหล้าอวยพร งั้นข้าจะให้เจ้าดื่มเหล้าลงทัณฑ์แทนก็แล้วกัน จับพวกมันสองคนมาให้ข้า” นี่เป็นครั้งแรกที่เว่ยเซินถูกตำหนิต่อหน้าคนมากมายถึงเพียงนี้ แน่ล่ะว่าเขาต้องรู้สึกอับอายขายขี้หน้าอย่างหาที่เปรียบมิได้

“ท่านแม่…”

“เฟิงเอ๋อร์ อย่าห่วงเลย อุ้มน้องแล้วดูแลตัวเองให้ดี” หนิงเมิ่งเหยาส่งเฉียวโม่ซางให้เฉียวโม่เฟิงอุ้ม จากนั้นนางจึงหันมองคนที่อยู่ตรงหน้าตน

เมื่อพวกเขากระโจนเข้ามาหา ร่างของนางก็หายไปก่อนจะปรากฏอยู่ด้านหลังของพวกเขา

หนิงเมิ่งเหยาถีบแผ่นหลังของพวกเขา ทำเอาอีกฝ่ายหน้าทิ่มลงกับพื้น

หนึ่งในนั้นหวังจะจับตัวเฉียวโม่เฟิง แต่ก็ถูกเขาเตะจนกระเด็นออกไป ความรวดเร็วและพละกำลังนั้นทำให้หนิงเมิ่งเหยาต้องปรบมือให้และเอ่ยชม

เว่ยเซินรู้สึกงุนงงกับสถานการณ์ตรงหน้า เพียงแค่เด็กยังไม่ทันโตเช่นนั้นก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วหรือ

เมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบและเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราว บนหน้าผากของเว่ยเซินก็มีเส้นเลือดปูดขึ้นมา เขาอยากจะกลืนคนทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าตนเข้าไปยิ่งนัก

“เจ้ายังอยากสู้ต่ออีกหรือไม่”

“เจ้าเป็นใครกันแน่” เว่ยเซินไม่เคยพบหนิงเมิ่งเหยามาก่อน มิหนำซ้ำนางยังมีฝีมือล้ำเลิศถึงเพียงนี้ ทำเอาเขารู้สึกเป็นกังวลว่านางอาจจะเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่สักตระกูล

นางเสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว หนิงเมิ่งเหยาไม่นึกอยากจะเสียเวลากับเขาอีก นางอุ้มลูกขึ้นมาจากอ้อมแขนของเฉียวโม่เฟิงแล้วจึงจูงเฉียวโม่เฟิงด้วยมืออีกข้าง ก่อนจะหันหลังกลับไป

ยังพอมีเวลาสำหรับการแก้แค้น การถอยสักก้าวเพื่อโอกาสสำหรับชำระแค้นในวันหน้านั้นนับว่าเป็นเรื่องดี

เมื่อหนิงเมิ่งเหยาหันหลังให้เว่ยเซิน เว่ยเซินก็เงื้อมือขึ้น หมายจะอัดเข้าที่ด้านหลังของหนิงเมิ่งเหยาโดยตรง