บทที่ 639 ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย
ราวกับหนิงเมิ่งเหยามีตาหลัง วินาทีที่เว่ยเซินฟาดฝ่ามือลงมา ทันใดนั้นนางก็ปล่อยมือที่เคยจูงมือของเฉียวโม่เฟิงเอาไว้ หันกลับมาแล้วบีบข้อมือที่กำลังพุ่งเข้ามาหาตนไว้
เว่ยเซินตกใจ เขาอยากจะสะบัดมือให้เป็นอิสระจากการจับกุมของหญิงสาว แต่กลับไร้เรียวแรงที่จะทำเช่นนั้น
“ปล่อยข้า”
หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากของนางมีรอยยิ้ม นางสะบัดมือแรงๆ เพียงครั้งเดียวก่อนจะส่งร่างของเว่ยเซินลอยละลิ่วไปชนกับแผงลอยข้างทาง
หนิงเมิ่งเหยาเดินเข้าไปหาเจ้าของแผงลอยด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยและจนปัญญา นางหยิบเอาเงินหนึ่งตำลึงออกมาส่งให้เขา
“นี่เป็นค่าเสียหาย”
เจ้าของร้านคาดไม่ถึงว่าจะได้รับค่าชดเชย “นี่มัน…. มันมากเกินไปขอรับ”
“ไม่เป็นไร”
หนิงเมิ่งเหยาหมุนตัวเดินจากไป นางเดินต่อสองสามก้าวแล้วจึงหยุดเดิน “นายน้อยเว่ย ครั้งหน้าหากท่านคิดจะมาตอแยหญิงที่แต่งงานแล้ว ขอท่านจงคิดให้ดีเสียก่อน ท่านจะได้ไม่ต้องเจอกับ…ปัญหาเช่นนี้”
เว่ยเซินมองแผ่นหลังของหนิงเมิ่งเหยาที่เดินจากไปพร้อมกับลูกๆ ของนาง ใบหน้าของเขาดำทะมึน คนที่มากับเขาต่างกุลีกุจอเข้าไปช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้น
“นายน้อยขอรับ…”
“ไสหัวไป เจ้าพวกขยะ” เว่ยเซินสะบัดมือไล่คนพวกนั้นแล้วจึงกลับไปพร้อมกับอารมณ์ขุ่นเคือง
เขาต้องการส่งคนไปสืบเรื่องของหญิงผู้นั้น แล้วทำให้นางชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสาสม
ระหว่างทางเฉียวโม่เฟิงไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นแม้แต่คำเดียว หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่ได้กวนใจเขา นางทำเพียงจับมือเขาเอาไว้ขณะเดินต่อไป
เฉียวโม่เฟิงยังคงอยู่ในสภาพเหม่อลอยแม้ว่าจะก้าวเข้ามาในร้านขนมแล้ว ภาพนั้นทำให้หนิงเมิ่งเหยาถึงกับส่ายศีรษะไปมา “เจ้าคิดอะไรอยู่ เหตุใดจึงหน้าดำคร่ำเครียดเช่นนี้”
“ท่านแม่ ข้าเพิ่งเข้าใจว่าท่านกับท่านพ่อหมายความว่าอย่างไรขอรบ” เฉียวโม่เฟิงมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสีหน้าจริงจัง
หากเป็นเขาเองที่บังเอิญพบกับเว่ยเซินวันนี้ เขาคงไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้แน่ บางทีอาจถึงขั้นมีความคิดที่จะตายไปพร้อมกับเว่ยเซินเลยก็ได้
แต่หากเขาทำเช่นนั้นลงไป ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คงมีเพียงหนึ่งหรือสองผลลัพธ์เท่านั้น อย่างแรกคือเขาตายไปพร้อมกับเว่ยเซิน หรือไม่ก็สอง โดนเว่ยเซินอัดเละแล้วถูกพาตัวกลับไปและใช้ชีวิตอันน่าอัปยศอดสูดังเดิม
ผลลัพธ์เหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ตอนนี้เด็กชายเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านพ่อจึงกล่าวเช่นนั้น ท่านพ่อไม่ได้คัดค้านเรื่องการล้างแค้น แต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
หากเขาไม่มีความอดทนมากพอและไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะกระทำการนั้นได้ แล้วเขาจะมีคุณสมบัติอันใดที่จะไปพูดถึงเรื่องการล้างแค้นได้เล่า
เป็นความจริงที่ว่าท่านแม่สามารถช่วยเขาได้ แต่การทำเช่นนั้นจะทำให้นางต้องติดร่างแหไปด้วย เหมือนดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คงจะต่างกันยิ่งนัก
หนิงเมิ่งเหยายิ้มแล้วพยักหน้า “ดีแล้วที่เจ้าเข้าใจ พ่อของเจ้าเสียท่านแม่ไปตั้งแต่เขายังเล็ก และพ่อของเขาก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาเท่าใดนัก หากไม่ใช่เพราะเหตุนั้นเขาคงไม่ออกจากบ้านตั้งแต่ยังเด็ก และคงไม่ได้เป็นตัวเขาในเวลานี้แน่”
“ท่านแม่ เล่าเรื่องของท่านพ่อให้ข้าฟังเยอะๆ ได้หรือไม่ขอรับ”
หนิงเมิ่งเหยารับคำโดยไม่มีข้อแม้ หลังจากซื้อขนมเสร็จแล้ว นางจึงเริ่มเล่าเรื่องอดีตของเฉียวเทียนช่างให้เด็กชายฟัง
ในเวลานั้นเฉียวเทียนช่างอายุน้อยกว่าเขาเสียอีก แต่กลับอยู่ในสนามรบแล้ว ในเมื่อไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็มีสิทธิ์ตายได้เหมือนกัน ดังนั้นสนามรบจึงเป็นแห่งเดียวที่เขายังพอจะมีโอกาสรอดชีวิตอยู่บ้าง
เฉียวโม่เฟิงตั้งใจฟังว่าเฉียวเทียนช่างไต่เต้าขึ้นมาจนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรก่อนที่จะได้ล้างแค้นให้มารดาด้วยการเฝ้าดูบิดาของตนตายไปต่อหน้า
เฉียวเทียนช่างไม่เคยใจร้อน เขาอดทนอยู่เงียบๆ ซุ่มฝึกปรือความแข็งแกร่งของตัวเองก่อนจะไปจัดการเด็ดหัวศัตรูในตอนท้าย
“ท่านแม่ ท่านพ่อช่างแข็งแกร่งเหลือเกินขอรับ”
“ท่านพ่อของเจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ”
เพื่อความอยู่รอด เฉียวเทียนช่างถึงกับกัดกินเนื้อจากซากศพ นางแทบนึกภาพไม่ออกเลยว่าเขากลืนพวกมันลงคอไปได้อย่างไร และปรับตัวกับมันได้อย่างไร
ขณะที่หนิงเมิ่งเหยากำลังภาคภูมิใจกับสามีของตนอยู่นั้น นางก็หันมองบุตรชายของตนที่อยู่ด้านข้าง “เฟิงเอ๋อร์ ที่จงหยวนมีสุภาษิตอยู่ว่าลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย เจ้ายังเด็กนัก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเช่นนั้นก็ได้”
เฉียวโม่เฟิงไม่รีบร้อนอีกต่อไป เขาเชื่อว่าท่านพ่อในเวลานั้นยังเด็กกว่าเขามากนัก แต่เขากลับสามารถเอาตัวรอดภายใต้สถานการณ์อันโหดร้ายและยากลำบากเช่นนั้นได้ และตอนนี้เขาก็ใช้ชีวิตได้อย่างทรงภาคภูมิ แน่นอนว่าเขาเองก็ต้องทำได้เช่นกัน เขาเป็นลูกของท่านพ่อ เขาจะอ่อนแอกว่าท่านพ่อไม่ได้
บทที่ 640 อยากให้นางตายเสียยังดีกว่าอยู่
เมื่อมองสีหน้าอันเด็ดเดี่ยวจริงจังของเฉียวโม่เฟิง หนิงเมิ่งเหยาก็อดที่จะรู้สึกพอใจขึ้นมาไม่ได้
แน่ล่ะว่าในเมื่อสถานการณ์ของทั้งสองมีความใกล้เคียงกัน ดังนั้นอดีตของเฉียวเทียนช่างจะต้องกลายเป็นแบบอย่างให้กับเด็กชายผู้นี้เป็นแน่ นางคงจะมีความสุขยิ่งนักหากเฉียวโม่เฟิงสามารถเรียนรู้ะไรจากเฉียวเทียนช่างมาได้บ้าง
“ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วขอรับ เมื่อก่อนข้าทำตัวผลีผลามเกินไป ต่อจากนี้ไปข้าจะคิดทบทวนให้ดีก่อนลงมือทำอะไรขอรับ”
คำรับรองของเฉียวโม่เฟิงทำให้หนิงเมิ่งเหยายิ้มออกมา นางพยักหน้า “ดีแล้วที่เจ้าคิดเช่นนั้น พ่อกับแม่จะช่วยเจ้าเอง”
“ขอบคุณขอรับท่านแม่”
การปรากฏตัวของเว่ยเซินนั้นนับว่าเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ไม่มีความสำคัญอันใดกับคนทั้งสองเลยแม้แต่น้อย แต่สำหรับเว่ยเซินนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถรับได้ ทั้งยังถือว่าเป็นวันแห่งความอัปยศเลยก็ว่าได้
วันนี้ตัวเขาที่ใช้ชีวิตตามที่ตนปรารถนามาตลอดกลับต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบด้วยมือของหญิงสาวเพียงผู้เดียว เขาจะกล้ำกลืนความรู้สึกนี้ลงได้อย่างไร
หลังกลับถึงจวน เว่ยเซินจึงจัดการส่งคนออกไปตรวจสอบเรื่องของหนิงเมิ่งเหยา
แต่เว่ยเซินคาดไม่ถึงเลยว่าผลจากการตรวจสอบจะกลายเป็นเช่นนั้นไปได้
“นายน้อยขอรับ พวกข้าเกรงว่าฮูหยินผู้นั้นจะไม่ใช่คนที่ควรไปยั่วโมโหขอรับ”
“มีคนที่ตระกูลเว่ยของเรายั่วโมโหไม่ได้ด้วยหรือ” เว่ยเซินยิ้มเยาะ แม้หญิงผู้นั้นจะเป็นฮูหยินจากตระกูลใหญ่ แต่นางก็ไม่ควรมาทำให้เขาต้องอับอายในถิ่นตัวเองเช่นนั้น
คนที่อยู่ด้านข้างมองเว่ยเซินด้วยความรู้สึกจนปัญญา “นายน้อยขอรับ ก่อนมาที่นี่ นางใช้เงินกว่าล้านตำลึงไปเพื่อกระบี่เล่มเดียว นางใช้เงินจำนวนมากขนาดนั้นไปโดยไม่สนใจเสียด้วยซ้ำว่ามันจะมีค่าเท่าใดนะขอรับ”
เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเงินหลายล้านตำลึงนั้นไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของนาง
แม้แต่ในตระกูลเว่ย พวกเขาก็ยังไม่สามารถปฏิบัติกับเงินจำนวนหลายล้านเช่นนั้นได้
เว่ยเซินหันหน้ามองข้ารับใช้ของตน เขาหรี่ตาลงแล้วกัดฟันพูดว่า “เจ้าคิดว่านายน้อยของตนเป็นคนโง่เขลาหรือ กระบี่ที่ไหนจะมีมูลค่าเป็นเงินหลายล้านตำลึงเช่นนั้น”
ข้ารับใช้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ขอรับ กระบี่เล่มนั้นคือกระบี่หิมะโปรยขอรับ ว่ากันว่าลูกศิษย์จากสำนักชิงหลินที่อยู่ในจงหยวนสู้กับนางเพื่อแย่งชิงกระบี่เล่มนั้นเลยทีเดียว พวกเขาทำถึงขนาดไปหาเรื่องนางที่บ้านเชียวนะขอรับ”
หากคนอื่นๆ ว่าเช่นนั้น พวกเขาคงคิดว่าคนพวกนั้นกำลังหลอกเขาอยู่ก็เป็นได้ เงินเป็นล้านๆ ตำลึงเช่นนั้น ใครกันเล่าที่จะยอมแลกมันกับกระบี่เพียงเล่มเดียว แต่มีคนยอมทำเช่นนั้นจริงๆ
เว่ยเซินผุดลุกขึ้นก่อนเดินวนไปมาสองสามรอบ ท้ายที่สุดเขาก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย เขามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างเกรี้ยวกราด แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าข่าวที่ได้มาไม่มีข้อผิดพลาด”
“ข้ามั่นใจขอรับ พวกเราตรวจสอบเรื่องนี้ซ้ำหลายครั้งแล้วขอรับ”
เว่ยเซินรู้สึกไม่พอใจ เขาควรจะลืมความทรมานที่ตนเพิ่งประสบไปหรือ ได้อย่างไรกัน
“ไม่ว่าจะอย่างไรนายน้อยเช่นข้าก็ต้องแก้แค้นให้ได้ ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม” เว่ยเซินกัดฟันแล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าน่ากลัว
ข้ารับใช้อยากจะให้คำแนะนำกับเขา แต่เมื่อเห็นท่าทางของเว่ยเซินแล้ว เขาจึงไม่กล้าแนะนำอะไรออกมา หากเขาพูดอะไรต่อ นายน้อยจะต้อสั่งลงโทษเขาแน่
“นายน้อย ท่านวางแผนจะทำอะไรหรือขอรับ”
“ทำอะไรน่ะหรือ” เว่ยเซินเปล่งเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกออกมา “นางดูเป็นห่วงเป็นใยเจ้าเด็กสองคนนั้นมิใช่หรือ ส่งคนไปจับตาดูพวกมัน หากมีโอกาสก็จับตัวเด็กทั้งสองมาที่นี่เสีย” หากได้เด็กสองคนนั้นมาไว้ในมือ เขาเชื่อว่าหญิงผู้นั้นจะต้องไม่กล้าขัดคำสั่งของเขาแน่
เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะทำให้หญิงผู้นั้นต้องรู้สึกว่าตายเสียยังดีกว่าอยู่ เขาอยากทำให้นางรู้ไว้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ควรกระตุกหนวดเสือ
หนิงเมิ่งเหยาในเวลานั้นยังคงไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนกำลังวางแผนจะเล่นงานนาง
“นายน้อยขอรับ เรื่องนี้…”
“อะไร รีบไปจัดการสิ” เว่ยเซินจ้องข้ารับใช้ของตนเขม็ง ฐานะของนางต่างจากคนทั่วไปแล้วจะทำไมหรือ ที่นี่เป็นเมืองหลวงของเหมียวเจียง เป็นที่มั่นของตระกูลเว่ย เขาจะต้องไปกลัวคนจากต่างเมืองด้วยหรือไร
แต่สิ่งที่เว่ยเซินมิอาจล่วงรู้ได้คือความอวดดีของตนนั้นจะนำพาให้ตระกูลเว่ยต้องเผชิญกับหายนะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน
วันถัดมา ตอนที่หนิงเมิ่งเหยาออกจากบ้าน นางสังเกตว่ามีใครบางคนกำลังสะกดรอยตามนางอยู่ หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากันในทันที
“ชิงซวง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าห้ามอยู่ห่างจากเด็กทั้งสองคนนั้นโดยเด็ดขาด” ไม่จำเป็นต้องเดา คนที่ซ่อนตัวอยู่นี้ต้องเป็นฝีมือของคนตระกูลเว่ย
มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย ในดวงตามีประกายอันเย็นชาฉายวาบ
หนิงเมิ่งเหยาไม่คิดว่าคนผู้นั้นจะเปลืองแรงส่งคนมามากมาย เพียงเพื่อจัดการกับนาง