บทที่ 641 คนที่จะไปหาเรื่องไม่ได้
แม้จะขนมาเพื่อจัดการกับนาง แต่เห็นทีว่าเป้าหมายหลักของคนพวกนั้นคือเด็กทั้งสองคนมากกว่า หากมีเด็กทั้งสองอยู่ในมือ พวกเขาจะข่มขู่นางอย่างไรก็ได้
“คุณหนู ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ พวกข้าจะอยู่กับนายน้อยทั้งสองเอง” ในจำนวนคนที่มากับนางในครั้งนี้ มีองครักษ์ลับของหนานกงเยี่ยนรวมอยู่ด้วย พวกเขาต่างซ่อนตัวอยู่ในความมืด
หนิงเมิ่งเหยาสบายใจขึ้นมาก นางนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางเคาะโต๊ะเบาๆ แล้วหรี่ตาลง “เรื่องตระกูลเว่ยมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง”
“หลายวันที่ผ่านมาพวกเราขจัดความคับข้องใจทั้งหมดได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรือสิ่งใดดลบันดาลกันแน่ แต่ตระกูลเว่ยมีธุรกิจอยู่ภายในเครือของทงเป่าไจ มิหนำซ้ำยังมีมูลค่ามหาศาลเสียด้วยเจ้าค่ะ” ตอนที่รู้เรื่องนี้ ชิงซวงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี
ทั้งๆ ที่พวกมันยังต้องพึ่งทงเป่าไจเพื่อหารายได้ แต่กลับคิดที่จะมาข่มขู่คุณหนูของพวกนางเช่นนี้ ช่างรนหาที่ตายนัก
ร่องรอยแห่งความประหลาดใจฉายชัดขึ้นในดวงตาของหนิงเมิ่งเหยา “กับทงเป่าไจรึ”
“ใช่เจ้าค่ะ”
ภายในดวงตาของหนิงเมิ่งเหยามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น “ดียิ่งนัก ส่งข้อความไปบอกพวกพี่เขย ให้พวกเขาหว่านล้อมเหยื่อให้ได้”
ชิงซวงชะงัก ดวงตาของนางเป็นประกายขณะมองหนิงเมิ่งเหยา “คุณหนู หมายความว่าท่านวางแผนจะจัดการกับตระกูลเว่ยหรือเจ้าคะ”
“เหตุใดเจ้าจึงพูดจาน่าเกลียดเช่นนั้นเล่า ข้าแค่ปล่อยให้พวกเขาหาเงินเพิ่มขึ้นอีกหน่อยก็เท่านั้น” ไม่ว่าใครก็คงไม่มีทางปฏิเสธเรื่องดีเช่นนั้นแน่ โดยเฉพาะเรื่องดีๆ ที่มาพร้อมกับความร่วมมือจากทงเป่าไจด้วยแล้ว
ชิงซวงกลอกตาอย่างไม่น่ามองเท่าใดนัก นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่คุณหนูเพิ่งพูดออกมา แต่นางเข้าใจที่คุณหนูตั้งใจจะสื่อว่า ‘ยิ่งปีนสูงขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งตกลงไปเจ็บเท่านั้น’
คุณหนูตั้งใจปล่อยให้ตระกูลเว่ยกำเริบเสิบสานในตอนนี้ เพียงเพื่อทำให้พวกเขาต้องเจ็บตัวอย่างหนักในภายหลัง
หนังตาของหนิงเมิ่งเหยากระตุกเมื่อเห็นปฏิกิริยาของชิงซวง แต่เพื่อความสบายใจของตน หนิงเมิ่งเหยาจึงตัดสินใจที่จะไม่ต่อปากต่อคำกับชิงซวงต่อ
ชิงซวงยกมือขึ้นลูบจมูกของตนก่อนจะหัวเราะออกมา ท่าทางที่นางแสดงออกมาช่างน่าจับตีเสียจนหนิงเมิ่งเหยารู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา
“ชิงซวง เจ้าอยากถูกตีหรืออย่างไร ทำไมถึงกล้ามาหยอกคุณหนูของตนเช่นนี้”
“ไม่เจ้าค่ะ” ชิงซวงโบกมือเป็นพัลวัน ก่อนจะหลบฝ่ามือของหนิงเมิ่งเหยาอย่างว่องไว “คุณหนู ข้าขอตัวไปทำงานก่อนนะเจ้าคะ” หลังจากพูดจบ นางก็ขอตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ความเร็วของนางทำเอาหนิงเมิ่งเหยาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี
หนิงเมิ่งเหยามองชิงซวงที่วิ่งหนีไป นางยกมือขึ้นลูบจมูกของตน นางน่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยหรือ จำเป็นที่จะต้องวิ่งหนีขนาดนั้นเชียวหรือ
“เฟิงเอ๋อร์ คนจากตระกูลเว่ยกำลังจับตาดูเราอยู่ ข้าเกรงว่าเจ้ากับเจ้าลิงน้อยจะตกเป็นเป้าหมายของมัน” หนิงเมิ่งเหยาไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้จากเฉียวโม่เฟิง แต่กลับเล่าทุกอย่างให้เขาฟังแทน
เฉียวโม่เฟิงชะงัก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “พวกมันช่างกล้าดีนัก!”
“ไม่เป็นไรหรอก นี่เป็นสิ่งที่แม่ต้องจัดการ เจ้าไม่จำเป็นต้องนึกถึงเรื่องนี้ให้มากนัก” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกขบขันเมื่อเห็นท่าทางอันฉุนเฉียวของเฉียวโม่เฟิง เด็กชายยังอายุไม่มากเท่าใดนัก แต่ความคิดของเขานั้นไม่ได้อ่อนวัยเลยแม้แต่น้อย
เฉียวโม่เฟิงไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหนิงเมิ่งเหยา เขามองนางด้วยความไม่พอใจ “ท่านพ่อกำลังยุ่งอยู่ น้องเองก็ยังเล็กนัก ข้าต้องเป็นเสาหลักให้กับครอบครัวขอรับ ข้าจะปกป้องน้องเอง” เฉียวโม่เฟิงกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมาอย่างหัวเสีย
“แม่เชื่อเจ้า” หนิงเมิ่งเหยายกมือขึ้นลูบศีรษะของเฉียวโม่เฟิง การกระทำเช่นนั้นของนางบ่งบอกว่าไม่ได้เอาคำพูดของเขามาคิดจริงจังเท่าใด
เฉียวโม่เฟิงยกมือขึ้นดึงมือที่อยู่บนศีรษะของตนออก เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ท่านแม่ ข้ากำลังจริงจังอยู่นะขอรับ”
“แม่ไม่ได้บอกนี่ว่าเจ้าไม่ได้จริงจัง” หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวโม่เฟิงด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่รอยยิ้มที่อยู่ภายในดวงตาของนางนั้นทำให้อีกฝ่ายรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
เฉียวโม่เฟิงส่งเสียงฮึ่มในลำคอด้วยความขุ่นเคือง เด็กชายรู้ว่าท่านแม่ไม่เชื่อเขา
จู่ๆ เฉียวโม่ซางที่เพิ่งตื่นเพราะได้ยินเสียงเอะอะของพวกเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “แม่…”
หนิงเมิ่งเหยาเดินเข้าไปอุ้มลูกขึ้นมา ทันทีที่มือของนางแตะลงบนแผ่นหลังของเด็กน้อย นางสัมผัสได้ทันทีว่ามันกำลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ นางจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา จากนั้นจึงอุ้มเขาเข้าไปหาเฉียวโม่เฟิง
“พี่ชาย”
เฉียวโม่เฟิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขามองน้องชายของตนอย่างตกตะลึง “ท่านแม่ น้องเรียกข้าว่าพี่ชายหรือ”
หนิงเมิ่งเหยายกมือขึ้นบีบใบหน้าเล็กๆ นั้น “เจ้ารู้แต่วิธีเรียกพี่ชายหรือ”
“แม่”
เมื่อมองไปที่ท่าทางไร้เดียงสาของบุตรชาย หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่สามารถทำเป็นใจร้ายได้ ยิ่งเมื่อมีใครบางคนกำลังใช้สายตาจ้องมองดูนางราวกับเสือมองเหยื่ออยู่ด้วยแล้ว
“ท่านแม่ ท่านวางแผนจะทำอะไรหรือขอรับ” จู่ๆ เฉียวโม่เฟิงก็นึกเรื่องนี้ขึ้นได้ การที่ท่านพ่อกับท่านแม่มาที่นี่นั้นจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างแน่
บทที่ 642 ท่านต้องตายเช่นกัน
“ตอนนี้ยังไม่ต้องกังวล” หนิงเมิ่งเหยาส่ายหน้าราวกับว่านางไม่ได้สนใจมัน
หนิงเมิ่งเหยาไม่คิดว่าคนที่เรียกว่าราชครูจะไม่รู้ว่าฝ่ายนางมาถึงแล้ว แต่เขากลับไม่เข้ามายุ่งทั้งๆ ที่พวกนางก็อยู่ที่นี่ในเวลานี้ ที่เป็นเช่นนั้นคงเพราะเขานึกอยากชมละครกระมัง
ที่ตระกูลเว่ยรู้ว่าเฟิงเอ๋อร์กลับมาที่นี่ มีราชครูเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
หนิงเมิ่งเหยาไม่มีความรู้สึกเป็นมิตรให้กับราชครูผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย นางออกจะรังเกียจเสียด้วยซ้ำ สำหรับคนเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงต้องทำให้เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่โตภายในจงหยวนและเหมียวเจียงด้วย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขามีจุดประสงค์ที่เห็นแก่ตัวบางอย่างอยู่
หลังจากที่ซ่งลี่ไปเยี่ยมจวนราชครู นางก็รู้สึกอึดอัดทั้งกายและใจยิ่งนัก นางไม่สามารถฝืนตัวเองยามอยู่กับชายที่ตนเคยชื่นชมได้อีกต่อไป
หากหญิงสาวไม่มองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้น ก็จะมองเขาด้วยสายตาตั้งคำถามทุกครั้งไป ซ่งลี่มองเขาราวกับว่าเขาไม่ใช่สามีของนาง แต่เป็นเพียงคนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น
ท่าทีเช่นนั้นทำให้ฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงรู้สึกโมโหยิ่งนัก เมื่อซ่งลี่กล่าวว่าจะจัดการกับหนิงเมิ่งเหยา ความโกรธที่เขาอดกลั้นเอาไว้ก็ระเบิดออกมาในทันใด
“ซ่งลี่ เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกาจนักหรือ เจ้าก็เป็นเพียงขยะที่คนผู้นั้นไม่ต้องการเท่านั้น เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ”
“ท่าน…” ซ่งลี่ไม่เคยถูกผู้ใดตำหนิเช่นนี้มาก่อน แต่ในเวลานี้ชายผู้นี้กลับใช้คำพูดเหล่านั้นกับนาง
ร่างของซ่งลี่สั่นเทิ้มจากแรงอารมณ์ที่ปะทุขึ้น สีหน้าของนางบิดเบี้ยว ในดวงตาของนางมีความเจ็บปวด มันกลับมาแล้ว ความรู้สึกนี้ช่างทรมานยิ่งนัก
“ทรมานเหลือเกิน…”
ฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงมองซ่งลี่ในสภาพนั้น ก่อนจะตะคอกด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า “สมควรแล้ว” เมื่อหญิงสาวล้มลงกับพื้น เขาจึงว่าเช่นนั้นพลางถีบเข้าที่ลำตัวของนาง
ร่างกายของซ่งลี่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด แต่หลังจากถูกฮ่องเต้เตะเข้า ความทุกข์ทรมานของนางพลันทบทวีขึ้นไปอีก ความเจ็บปวดอีกแห่งเกิดจากลูกเตะอันรุนแรงของฮ่องเต้ ส่งผลให้นางรู้สึกทรมานยิ่งกว่าเดิม
ซ่งลี่จ้องคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า สายตาของนางราวกับอาบด้วยยาพิษ
“มองเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร” ฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงรู้สึกรังเกียจสายตาของซ่งลี่ยิ่งนัก หญิงผู้นี้ดูเหมือนจะมีปัญหาสุขภาพตั้งแต่นางกลับมาจากเมืองหลิงโดยพละการ ไม่เพียงแต่นางจะไม่สามารถปรนนิบัติเขาได้ แต่นางยังห้ามไม่ให้เขาไปหาหญิงอื่นอีก
ยามนี้เมื่อเห็นซ่งลี่ในสภาพน่าเวทนา ฮ่องเต้รู้สึกว่าความอดทนตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขานั้นไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
“ท่านไม่ได้ตายดีแน่” ซ่งลี่กัดฟัดพลางสบถสาปแช่ง
ชาวพื้นเมืองของเหมียวเจียงถือเรื่องนี้ เมื่อได้ยินซ่งลี่แช่งให้เขาตายพร้อมกับสายตามุ่งร้ายเช่นนั้น แม้ฮ่องเต้จะไม่เชื่อ แต่เขาก็โกรธจนควันออกหู
“ซ่งลี่ เจ้ากำลังรนหาที่ตาย” ฮ่องเต้เดินเข้าไปหานาง เขายกเท้าขึ้นเตะเข้าที่ใบหน้าของนาง ลูกเตะเพียงครั้งเดียวทำให้ใบหน้าของซ่งลี่บวมแดง เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ใส่แรงไปมากเพียงใด
ซ่งลี่มองชายที่เปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้แล้วระเบิดหัวเราะออกมา “อยากฆ่าข้าหรือ เกรงว่าท่านคงไม่กล้าทำเช่นนั้นหรอก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฮ่องเต้หยุดการกระทำของตนในทันที เขาก้มหน้าลงมองซ่งลี่ที่ดูไม่เหมือนคนเดิมอีกต่อไป
“ท่านอยากรู้หรือ ข้าจะบอกให้ ช่วงนี้ท่านรู้สึกไม่สบายตัวมิใช่หรือ โดยเฉพาะตรงที่ไม่ค่อยปรารถนาเท่าใดนัก” ซ่งลี่หัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย เมื่อประกอบกับท่าทางอันน่ากลัวของนางแล้วก็ยิ่งทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
“เจ้าทำอะไรกับร่างกายข้า” เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อน ซ่งลี่จะรู้ได้อย่างไร นี่เป็นหลักฐานว่าคงมีปัญหาขึ้นมาแน่แล้ว ที่ร่างกายของเขาต้องลงเอยในสภาพนี้เป็นเพราะฝีมือของหญิงชั่วช้าผู้นี้หรือ
“ไม่มีอะไรมาก ข้าเพียงแค่เติมอะไรใส่ในอาหารของท่านก็เท่านั้น หากข้าตาย ท่านก็เตรียมถูกฝังไปพร้อมกับข้าได้เลย” ซ่งลี่หัวเราะลั่น ในเสียงหัวเราะของนางมีความบ้าคลั่งอยู่ภายใน นางมองฮ่องเต้แห่งเหมียวเจียงอย่างดูถูก
เขาคิดว่านางโง่หรือ
“เอายาแก้พิษมา”
“อยากได้ยาแก้พิษหรือ ได้สิ ช่วยข้าสังหารหนิงเมิ่งเหยาและจับตัวคนชื่ออู๋โยวที่อยู่กับนางมาให้ข้า ไม่เช่นนั้นท่านก็ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย”
สายตาของซ่งลี่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายขณะที่นางพูดถึงอู๋โยว นางจะทำให้ชายผู้นั้นได้รู้ว่าผลจากการทรยศนางนั้นเป็นเช่นไร