บทที่ 322 บทเรียนสำหรับคนขี้เกียจ

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 322 บทเรียนสำหรับคนขี้เกียจ

“คนที่เหลือนี่ว่างกันนักหรือไง” ฉู่ชวิ๋นมองบรรดาลูกศิษย์ของวังมังกรเพลิงที่มายืนรวมตัวกันอยู่รอบบริเวณ ทุกคนตัวสั่นเทา ได้แต่ก้มหน้าเหมือนลูกนกผู้หวาดกลัว

“ฉันจะให้อภัยแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ทุกคนจงจำเอาไว้ให้ดี วังมังกรเพลิงไม่มีพื้นที่สำหรับคนขี้เกียจ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ฉู่ชวิ๋นอยากให้คฤหาสน์ตระกูลฉู่และวังมังกรเพลิงรุ่งเรืองให้ได้มากที่สุด แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ถ้ามีแค่ตัวเขาเองเท่านั้นที่ทำงานหนักอยู่คนเดียว?

“นับจากนี้ไป วังมังกรเพลิงจะเป็นที่ของคนที่แข็งแกร่งและขยันเท่านั้น ใครที่รู้ตัวว่าฝีมืออ่อนแอและยังขี้เกียจก็จงเก็บของแล้วไสหัวไป!” ฉู่ชวิ๋น พูดด้วยความเกรี้ยวกราด

“อาจารย์เหลย สู้ๆ”

“อาจารย์ยา จัดการมัน”

แม้เสียงของเหยียนชงและหลงอ๋าวจะฟังดูตลกขนาดไหน แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะออกมา

“ตะโกนให้ดังกว่านี้อีก หมดแรงกันแล้วหรือไง? ทีเมื่อกี้ ตะโกนเสียงดัง” ฉู่ชวิ๋นคำราม

เหยียนชงและหลงอ๋าวสีหน้าหมองหม่น ดูเหมือนคราวนี้ฉู่ชวิ๋นจะโกรธพวกเขาแล้วจริง ๆ

หลังจากนั้น กลุ่มลูกศิษย์ของวังมังกรเพลิงก็แยกย้ายกลับไปฝึกฝนวรยุทธ์อย่างขะมักเขม้น จักรพรรดิยาและเหลยเป้าก็หมองเศร้าไม่แพ้กัน ทั้งสองคนหิ้วถังน้ำและไม้ถูพื้นเริ่มต้นทำความสะอาดตามคำสั่ง แม้จะทราบดีว่าคงไม่มีทางทำความสะอาดพื้นที่หลายหมื่นตารางเมตรได้สำเร็จด้วยคนเพียงแค่สองคน เมื่อคิดได้ดังนี้ จักรพรรดิยาและเหลยเป้าก็อยากจะร้องไห้ออกมา

“เป็นความผิดแกคนเดียว แกมันโรคจิต ทำไมแกต้องมาชอบจือถงด้วย? ปล่อยเธอไปไม่ได้หรือไง?” จักรพรรดิยาบ่นอุบ

“แกนั่นแหละหุบปากไปเลย เธอเป็นคนขโมยหัวใจฉันไป ถ้าไม่มีแกสักคน จือถงก็คงรับรักฉันไปแล้ว” เหลยเป้าพูดด้วยความโกรธแค้น

“อย่าเพ้อฝันให้มันมากเกินไปนัก ก่อนที่ฉันจะมา แกรู้จักกับเธอมานานนับสิบปี ถ้าเธอชอบแกจริง เธอก็คงรักแกไปนานแล้ว ทำไมต้องรอจนถึงตอนที่ฉันมาอยู่ด้วยล่ะ?” จักรพรรดิยามองหน้าอีกฝ่ายด้วยความดูถูก

“เพราะว่าแกมันเป็นพวกมือที่สามไง” เหลยเป้าตวาดเสียงดัง

มือที่สามหรือ? จักรพรรดิยาเชิดหน้าขึ้น พูดด้วยความเดือดดาล “ชีวิตนี้แกไม่เคยส่องกระจกหรือไง? ฉันเนี่ยนะต้องไปเป็นมือที่สามระหว่างแกกับเธอ ต้องโทษความอัปลักษณ์ของแกเองมากกว่า ดูเครายาวๆ ของแกเถอะ เห็นแล้วน่าขยะแขยงจะตายชัก”

เหลยเป้ากัดฟันกรอดและพูดด้วยความเดือดจัด “แกเองก็หล่อตายแหละ แก่ก็แก่ ยังจะมาทำหน้าแอ๊บแบ๊ว ดูทรงแบบนี้คงเป็นได้แค่มะเขือเผาไม่มีน้ำยา ถ้าคนอย่างแกถือว่าหน้าตาดี โลกใบนี้ก็คงไม่มีคนขี้เหร่อีกแล้ว”

จักรพรรดิยาเบิกตาโตด้วยความโกรธแค้นให้กับคำพูดของเหลยเป้า ก่อนที่จะสวนกลับไปว่า “ฉันอาจหน้าตาไม่ดีก็จริง แต่อย่างน้อยก็หน้าตาดีกว่าแกแน่ ๆ”

“แกไม่รู้จักกวนอูหรือไง ฉันไว้เคราแบบนี้เป็นทรงเดียวกับท่านกวนอูในตำนานเลยนะ”

“แกกล้าดียังไง? ท่านกวนอูมีเครายาวสลวยสวยเนียน แต่เคราของแกทั้งสากทั้งสกปรกเหมือนฟางข้าว หลายคนคงเข้าใจผิดคิดว่าผมของแกไปขึ้นอยู่ใต้คางแล้วล่ะมั้ง” จักรพรรดิยาโต้กลับด้วยถ้อยคำจิกกัดที่เจ็บแสบ

“แก!”

เหลยเป้าระงับความเดือดดาลไม่ไหวอีกต่อไป หยิบถังน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วราดน้ำที่อยู่ด้านในรดลงไปบนศีรษะของจักรพรรดิยา จนอีกฝ่ายหนึ่งเปียกมะล่อกมะแล่กเหมือนลูกหมาตกน้ำ

จักรพรรดิยาก็โกรธจัดเช่นกัน หยิบถังน้ำสำหรับเช็ดกระจก สาดใส่เข้าไปที่ใบหน้าของเหลยเป้าเป็นการแก้แค้น

“แก อยากมีเรื่องอีกใช่ไหม?” เหลยเป้าพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

“ถ้าแกอยากจะสู้ ฉันก็จะสู้ แกคงไม่มีทางชนะฉันได้แน่ ๆ” จักรพรรดิยาไม่ยอมแสดงความอ่อนแอของตนเองออกมา

เหลยเป้ายกมือปาดน้ำสกปรกออกไปจากใบหน้า ก่อนจะกระโดดเข้าใส่จักรพรรดิยา ม่านพลังที่ฉู่ชวิ๋นสร้างเอาไว้แตกกระจาย ชายทั้งสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกลิ้งไปบนพื้นดิน ต่อสู้กันด้วยความดุเดือด

สุดท้าย เหลยเป้าก็เป็นฝ่ายชนะ เนื่องจากแข็งแกร่งมากกว่า จักรพรรดิยาเป็นผู้แพ้ ถูกต่อยจนใบหน้าฟกช้ำ

เมื่อต่างฝ่ายต่างหมดแรง พวกเขาก็ทิ้งตัวลงมานอนพักบนพื้น

“เจ้าโง่ เรามัวแต่เสียพลังอย่างเปล่าประโยชน์แบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะทำความสะอาดเสร็จวะ” จักรพรรดิยายกมือลูบแก้มที่บวมปูดของตนเอง

“แกนั่นแหละโง่ ฝีมืออ่อนหัดยิ่งกว่าอะไรดี เรี่ยวแรงก็ไม่มี นี่แกแอบขายไตทิ้งไปแล้วหรือเปล่า” เหลยเป้าพูดขึ้น

“คนตัวใหญ่สมองน้อยอย่างแกไม่เข้าใจหรอก”

“แกนั่นแหละรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ แล้วยังจะทำอวดดีอีก”

ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันอย่างรุนแรงมากขึ้น จนท้ายที่สุดก็กลับมาชกต่อยกันอีกครั้ง

ส่วนบนเวทีประลองยุทธ์ เหยียนชงและหลงอ๋าวยังคงส่งเสียงตะโกนเชียร์ต่อไป พวกเขารู้สึกเจ็บคอขึ้นมาแล้ว

“อาจารย์ยาจัดการมัน ฉันรู้สึกเหมือนเราสองคนเป็นตัวโง่งมยังไงไม่รู้” หลงอ๋าวแผดเสียง

“อาจารย์เหลย สู้ๆ คุณโง่ไปคนเดียวเถอะ อายุอานามก็ขนาดนี้แล้ว ยังจะทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้”

“อาจารย์ยาจัดการมัน หุบปากไปเถอะ ฉันกับแกไม่มีเรื่องอะไรให้ทำมันก็ต้องหาเรื่องคุยแบบนี้อยู่แล้ว จริงไหม?”

“อาจารย์เหลย สู้ๆ คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่า เดี๋ยวก็รู้ใครเป็นเจ้านายใครเป็นลูกน้อง แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้ล่ะ?”

“อาจารย์ยาจัดการมัน แกนี่ไม่รู้อะไรซะแล้ว ไอ้เจ้าหนูฉู่ชวิ๋นมันจะละเว้นฉันต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ ฉันก็เลยต้องถูกลงโทษพร้อมกับแกนี่แหละ แต่ความจริงมันไม่อยากลงโทษฉันหรอก”

“ตาแก่ คุณนี่เป็นตัวโง่งมจริงๆ”

“แกนั่นแหละตัวโง่งม”

“คุณอยากมีเรื่องหรือไง?”

“เข้ามาแล้ว แต่บอกไว้ก่อนว่า แค่ฉันดีดนิ้วทีเดียว ฉันก็ฆ่าแกได้แล้ว”

พลัน หลงอ๋าวก็ต่อยหมัดเข้าไปที่ใบหน้าของเหยียนชงเต็มๆ

“ไอ้แก่นี่ กล้าดียังไงมาต่อยฉัน?” เหยียนชงยกขาถีบจนหลงอ๋าวเซออกไป

แล้วในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา พวกเขาก็กระโจนเข้าใส่กันด้วยความดุเดือด

ในเวลาเพียงพริบตาเดียวก็เที่ยงคืนแล้ว ดวงจันทร์ทรงกลมลอยตัวสวยงาม ดวงดาวบนท้องฟ้าส่องแสงเป็นประกาย

“ไม่ไหวแล้ว เห็นถังน้ำเช็ดโต๊ะทีไรฉันอยากจะวักมือเอาน้ำขึ้นมากินทุกที” จักรพรรดิยาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ร่างกายของเขาแสดงถึงความอ่อนแอออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

“ฉันก็เหมือนกัน” เหลยเป้าก็ตกอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้าจนแทบเป็นลมแล้ว

“เราต้องทำอีกเยอะแค่ไหนเนี่ย?” จักรพรรดิยาถาม

“เกือบเสร็จแล้วแหละ ที่เหลือก็แค่ถูพื้น ไม่เยอะหรอก แค่อีกหมื่นตารางเมตรเท่านั้น” เหลยเป้าให้คำตอบ

“ถ้าอย่างนั้นก็ฆ่าฉันดีกว่า” จักรพรรดิยานอนแผ่หลาลงไปบนพื้น “ฉันทำต่อไม่ไหวแล้ว ขอพักหน่อยเถอะ”

“ฉันก็คงต้องขอพักเหมือนกัน”

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกรนก็ดังขึ้น ชายทั้งสองคนผล็อยหลับไปบนพื้นโดยไม่รู้ตัว

บนเวทีประลองยุทธ์ ริมฝีปากของหลงอ๋าวทั้งแห้งผากและสั่นระริก ลำคอของพวกเขาแสบร้อน “อาจารย์ยา จัดการมัน”

เหยียนชงก็ไม่ได้มีสภาพดีไปมากกว่ากัน ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเทา เสียงแหบแห้ง ขณะที่ตะโกนว่า “อาจารย์เหลย สู้ๆ”

“ฉันไม่ไหวแล้ว คอฉันจะแตกแล้ว” หลงอ๋าวพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง

“ผมก็เหมือนกัน เวลาพูดออกมาแต่ละที ในคอร้อนเหมือนกับมีไฟเผายังไงยังนั้น”

“ถ้าหิวน้ำ ฉันสามารถฉี่ให้ดื่มได้เสมอนะ”

“ไปให้ไกลๆ เลย ตาแก่ จะทำอะไรหัดอายฟ้าดินซะบ้าง”

“ตุบ!” หลงอ๋าวทิ้งตัวนั่งลงไปบนพื้นและลุกขึ้นยืนไม่ไหวอีกแล้ว

“ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวนายท่านก็หาว่าเราอู้หรอก”

“ป่านนี้ไอ้หนูนั่นมันนั่งฝึกตนไปแล้ว ให้ฉันได้พักหน่อยเถอะ ไม่งั้นฉันได้ตายแน่ๆ”

“งั้นผมขอพักด้วยก็แล้วกัน ปวดขาไปหมดแล้วเนี่ย”

ทั้งสองคนนอนแผ่หลาอยู่บนเวทีประลองยุทธ์ ก่อนที่จะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

ในเงามืด ฉู่ชวิ๋นและหยานหวูซวงยืนอยู่ข้างกันเพียงลำพัง

“ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ” หยานหวูซวงพูด คนพวกนี้ถูกลงโทษราวกับเป็นคนธรรมดาเลย

ฉู่ชวิ๋นนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนตอบว่า “คราวนี้ ฉันอยากให้พวกเขาได้รับบทเรียนซะบ้าง ที่ผ่านมาผมดูแลพวกเขาดีเกินไปจนขี้เกียจกันหมดแล้ว”

หยานหวูซวงไม่ตอบอะไร เขานึกถึงฉู่ชวิ๋นในสภาพที่เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อและเลือดสีแดงสดตอนที่ปีนเขาคุนหลุนในซากโบราณสถานเพื่อเก็บผลไม้วิเศษ เมื่อมาเทียบกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ คุณชายหนุ่มก็ไม่รู้เลยว่าอย่างไหนน่าเหนื่อยใจมากกว่ากัน

“โลกมนุษย์เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ความโกลาหลกำลังเกิดขึ้น ฉันแค่อยากให้ทุกคนมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะดูแลตัวเองได้” ฉู่ชวิ๋นอธิบายเหตุผลที่แท้จริง

“ผมว่าพวกเขาก็เข้าใจพี่อยู่นะ” หยานหวูซวงว่า

ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมองหน้าหยานหวูซว แล้วพูดว่า “น้องหยาน นายอยากมาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉู่ไหม?”

หยานหวูซวงถึงกับตกตะลึงไปแล้ว แต่เขาก็ส่ายศีรษะ ตอบว่า “ผมเป็นนายน้อยแห่งตระกูลหยาน คงไม่เหมาะสมถ้าไปเป็นผู้ติดตามของคนอื่น”

“นั่นสินะ ฉันก็คิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้” ฉู่ชวิ๋นรู้ดีอยู่แล้วว่ามันคงเป็นไปไม่ได้

ทั้งสองหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมง

ในที่สุด ฉู่ชวิ๋นก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง แล้วเส้นไหมสีขาวก็สะบัดวูบออกไป

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

เสียงเส้นไหมสะบัดตัวกลางอากาศดังได้ยินชัดเจน โดยเฉพาะกลางดึกสงัดเช่นนี้

หลงอ๋าวและเหยียนชงยกมือกุมก้นของตนเอง ขณะที่กระโดดลุกขึ้นจากพื้น กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวด

“ถ้าขี้เกียจกันอีก จะโดนแรงกว่านี้อีกสองเท่า”

เสียงของฉู่ชวิ๋นดังกังวานในหัวของพวกเขาทั้งสองคนตัวสั่นระริกแรงกว่านี้อีกสองเท่า? แบบนั้นไม่ตายกันหมดหรือไง?

“อาจารย์เหลย สู้ๆ!”

“อาจารย์ยา จัดการมัน!”

“พูดแค่สู้ ๆ ขี้โกงนี่หว่า พูดคำอื่นบ้างสิ อาจารย์ยา จัดการมัน”

“ไม่ต้องมายุ่งกับผม”

แล้วทั้งสองคนก็เริ่มทะเลาะกันอย่างไม่รู้จบอีกครั้ง

ห่างออกมาในห้องโถงใหญ่ ก็มีคนอีกสองคนถูกปลุกขึ้นมาเช่นกัน

เหลยเป้าและจักรพรรดิยาตื่นขึ้นมาแล้ว

“เคล้ง!”

เหลยเป้านอนดิ้นไปชนกับโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ถังน้ำที่ตั้งอยู่ข้างบนหล่นลงมาใส่หัวของเขา เหลยเป้าจึงเปียกโชกไปทั้งตัวจนนอนไม่หลับอีกแล้ว

แล้วพวกเขาก็ได้รับการตักเตือนจากฉู่ชวิ๋นเช่นเดียวกัน

ทั้งสองคนเริ่มต้นทำความสะอาดอย่างขันแข็ง

“เจ้าโง่ น้ำเช็ดโต๊ะอร่อยไหม?” เมื่อมองเห็นสภาพเสื้อผ้าที่เปียกโชกของเหลยเป้า จักรพรรดิยาก็หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

“อยากโดนอัดอีกหรือไง?” เหลยเป้าถูกำปั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว

จักรพรรดิยาหวาดกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว พึมพำว่า “ฉันไม่ยุ่งกับแกก็ได้ ไอ้คนเถื่อน”

จนกระทั่งเช้าวันต่อมา บุรุษทั้ง 4 คนก็ยังไม่กล้าหยุดพัก

สภาพอากาศมืดมัว เมฆดำปกคลุมไปทั่วเมือง อากาศอับทึบ

เปรี้ยง!

ในกลุ่มวายุ สายฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าร้องคำรามครืนครัน

หลงอ๋าวและเหยียนชงที่ยืนอยู่บนเวทีแทบจะยืนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว สภาพของพวกเขาพร้อมที่จะล้มลงไปได้ตลอดเวลา

ความจริงแล้ว คนเราสามารถขาดน้ำได้เป็นเวลา 3 วัน แต่ขณะนี้ปากของพวกเขาแห้งผากยิ่งกว่าทะเลทราย นอกจากไม่ได้ดื่มน้ำแล้ว ยังมีเรื่องชกต่อยกันอีกด้วย ทั้งสองคนสูญเสียน้ำในร่างกายมากเกินไป และร่างกายกำลังจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

เมื่อเห็นสายฟ้าแลบแปลบ เมื่อได้ยินเสียงฟ้าคำราม ทั้งสองคนก็เกือบจะทรุดลงคุกเข่าโดยไม่รู้ตัว

“ขอบคุณสวรรค์ ฝนจะตกแล้ว” หลงอ๋าวกระซิบออกมาด้วยความยินดี

ริมฝีปากของเหยียนชงแห้งผาก เสียงของเขาแหบแห้ง “สวรรค์เมตตาพวกเราแล้ว ฝนจ๋า ตกลงมาเถอะนะ ฉันขอร้อง…”

หลงอ๋าวจ้องมองท้องฟ้า อีกไม่นานฝนคงตกลงมาแล้วจริงๆ

ณ อีกด้านหนึ่ง จักรพรรดิยาและเหลยเป้ากำลังช่วยกันถูพื้นด้วยความอ่อนระโหย

“ตุบ!”

เหลยเป้าล้มลงคุกเข่า ผายมือออกกว้าง “สวรรค์ ฝนกำลังจะตกแล้ว ยิ่งตกเท่าไหร่ยิ่งดี”

จักรพรรดิยาไม่เสียเวลามัวหัวเราะเยาะอีกฝ่ายหนึ่ง เขานั่งลงคุกเข่าข้างกันและพูดว่า “สวรรค์ ฝนกำลังจะตกแล้วจริงๆ ด้วย!”

สวรรค์เมตตาพวกเขาแล้วจริงๆ

ซู่!

ฝนเม็ดใหญ่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“ขอบคุณสวรรค์”

บุรุษทั้งสี่ดีใจจนกระโดดโลดเต้นอยู่ท่ามกลางสายฝน

“สวรรค์ทรงโปรด ผมจะไม่มีเรื่องโต้เถียงกับคุณอีกแล้ว”

“นี่คือของขวัญจากสวรรค์อย่างแท้จริง”

หลงอ๋าวและเหยียนชงเงยหน้าอ้าปากกว้าง ไม่คิดเลยว่าน้ำฝนจะมีรสชาติหวานหอมขนาดนี้ มันหอมหวานราวกับเป็นรักแรกของพวกเขา ว่าแต่พวกเขาเคยมีรักแรกหรือไม่นะ?

“ตกลงมา ตกลงมาอีก” จักรพรรดิยาและเหลยเป้าวิ่งวนด้วยความดีใจกลางสายฝน

“ฝนตกหนักแบบนี้ คราบสกปรกบนพื้นดินก็ถูกชะล้างออกไปหมด ถือว่าสวรรค์ช่วยเราแล้วจริงๆ แบบนี้ไม่ถือว่าพวกเราโกงนะ”

เหลยเป้าโยนไม้ถูพื้นในมือทิ้งไป ก่อนคำรามว่า “ในชีวิตนี้ ฉันไม่เคยจับไม้ถูพื้นมาก่อนเลย”

“ฉันก็ไม่เคยต้องมาถูพื้น เช็ดหน้าต่าง ขัดโต๊ะมาก่อนเหมือนกัน ขนาดน้ำฉันยังไม่ค่อยได้อาบเลยด้วยซ้ำ” จักรพรรดิยาโยนไม้ถูพื้นในมือทิ้งไปแล้วตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความอัดอั้นตันใจ

“ฉันยอมแพ้แล้ว ในชีวิตนี้ฉันจะไม่หาเรื่องแกอีกต่อไป”

“งั้นต่อจากนี้ เราอย่าหาเรื่องกันเลยนะ” จักรพรรดิยายกมือจิ้มไหล่อีกฝ่ายหนึ่ง “ฉันเองก็จะไม่หาเรื่องแกเหมือนกัน”

เหยียนชงและหลงอ๋าวก็สาบานในสิ่งเดียวกันนี้เช่นกัน