ตำบลเสี่ยวหลินตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเฟิงหลิน มีตำบลชิงซานคั่นกลางอีกทีหนึ่ง ถ้าพูดถึงระยะห่างแบบเส้นตรง ถือเป็นตำบลที่อยู่ไกลจากเมืองหลักมากที่สุดในพื้นที่เมืองเฟิงหลิน
กลุ่มคนเดินทางอย่างต่อเนื่องภายใต้การนำของเว่ยเหยี่ยน ผ่านตำบลชิงซานก็ไม่หยุดพัก เพียงครึ่งวันก็ตามมาถึงนอกตำบลเสี่ยวหลินแล้ว
ด้านนอกตำบลชิงซานไม่มีภูเขาเขียวขจีอะไร ชื่อของสถานที่นี้ก็ไม่รู้ว่าสืบทอดมานานแค่ไหน[1] บางทีอาจจะเคยมีอยู่ แต่ต่อมาเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
แต่ว่านอกตำบลเสี่ยวหลินมีป่าสนจันทร์อยู่ผืนหนึ่งจริงๆ เพียงแต่มีขนาดเล็กมาก มองแวบแรกก็เห็นสุดผืนป่าได้ สนจันทร์มีคุณสมบัติคลายเครียด พวกเครื่องเรือนที่ทำจากต้นสนจันทร์ก็ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง
ว่ากันว่าในอดีตป่านี้มีขนาดใหญ่มาก แต่เพราะสนจันทร์มีมูลค่าสูง ชาวบ้านในตำบลจำนวนมากลักลอบตัดต้นไม้ ป่าสนจันทร์จึงเล็กลงเรื่อยๆ หากไม่ใช่เมืองเฟิงหลินมีคำสั่งลงมาโดยตรงว่าห้ามลักลอบตัดไม้อีก เกรงว่าป่าน้อยผืนนี้คงหายไปหลายปีแล้ว
มือปราบที่ตำบลชิงซานส่งมาประจำการอยู่ภายในป่า มีทั้งนั่งบ้างนอนบ้าง ไม่มีระเบียบวินัย ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นจึงค่อยมารวมตัวกันเพื่อต้อนรับ
มือปราบเหล่านี้มีพลังยุทธ์ธรรมดา ย่อมไม่กล้าเข้าตำบลไปตรวจสอบภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ ทำได้เพียงสังเกตและคอยเตือนเท่านั้น
เว่ยเหยี่ยนผูกม้าไว้นอกป่า กวาดตามองคนเหล่านี้ผ่านๆ จากนั้นถามขึ้นว่า “สถานการณ์ที่ตำบลเสี่ยวหลินเป็นอย่างไรบ้าง”
หัวหน้าที่นำกลุ่มมือปราบตำบลชิงซานมาเป็นชายใบหน้ากว้างอายุราวสี่สิบกว่าปี เมื่อได้ยินก็ตอบว่า “ตั้งแต่เมื่อห้าวันก่อน ด้านนอกตำบลเสี่ยวหลินก็มีหมอกลอยขึ้นมา ตอนนั้นพวกข้าไม่สนใจอะไรมาก คิดว่าแค่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ตอนนั้นยังมองเห็นเค้าของตำบลเสี่ยวหลินรวมถึงเงาคนรางๆ อยู่ ตำบลชิงซานของพวกเรายังมีคนเข้าไปเยี่ยมญาติอยู่เลย นับจากเมื่อวานพวกเราก็เริ่มได้รับคำสั่งให้มาตั้งค่ายสังเกตการณ์ที่นี่ แต่ว่าไม่เห็นผู้ใดออกมาอีกเลย แล้วหมอกก็หนาขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มองเห็นอะไรไม่ชัดแล้ว”
โจรชั่วเขาประจิมที่เขาเคยปราบปรามเพียงลำพังด้วยกระบี่เล่มเดียว ก็ยึดครองเขาประจิมซึ่งอยู่ทางเหนือไปสิบลี้ของตำบลเสี่ยวหลินนี่เอง
ปกติมองจากป่าสนจันทร์จะเห็นตำบลเสี่ยวหลินได้ ตำบลไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็สงบสุขร่มเย็น เวลานี้มองไปแล้วมีแต่หมอกหนาผืนหนึ่งเท่านั้น
ตอนนี้เอง เสียงของเว่ยเหยี่ยนก็ดังขึ้นว่า “สั่งให้พวกเจ้าไปตรวจสอบตำบลเสี่ยวหลิน แต่พวกเจ้ากลับกระจัดกระจายไร้ระเบียบ ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้โอกาสนี้ลักลอบตัดต้นสนจันทร์อีก พวกเจ้ามาทำงานราชการหรือว่ามาทำเรื่องส่วนตัวกันแน่”
กลุ่มมือปราบตำบลชิงซานหน้าซีดกันแล้ว หัวหน้ามือปราบยิ่งประสานมือคารวะไม่หยุดเหมือนอยากจะอธิบายอะไร
แต่เว่ยเหยี่ยนก็เอ่ยบทลงโทษออกมา “ต้นสนจันทร์ที่ตัดออกมาแล้วจงส่งไปยังฐานที่มั่นกองทัพประจำเมือง นอกจากนี้ทุกคนจะถูกหักเงินหนึ่งปี หัวหน้ามือปราบต้องรับผิดชอบในฐานะผู้นำ ไปจัดการเสีย!”
ใบหน้าของชายหน้ากว้างซีดราวเถ้ากระดูก แต่ก็ไม่กล้าแม้แต่จะต่อต้าน ได้แต่ถอยออกไปอย่างซึมเซา
ครั้นได้ยินบทลงโทษของเว่ยเหยี่ยน เจียงวั่งจึงค่อยสังเกตเห็นต้นสนจันทร์ที่ถูกตัดล้มอยู่หลายต้น
ทว่าเว่ยเหยี่ยนเห็นทั้งหมดในสายตาตั้งแต่มาถึงที่แห่งนี้แล้ว
เจียงวั่งถอนหายใจให้กับความเฉียบคมของเว่ยเหยี่ยน พลางรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างร้ายกาจจริงๆ
ตำบลเสี่ยวหลินถูกศัตรูยึดไป ป่าสนจันทร์ผืนนี้ไร้เจ้าของชั่วคราว คนเหล่านี้แค่เสี่ยงอันตรายเข้ามาตั้งค่ายสังเกตการณ์นอกตำบลเสี่ยวหลินแล้วถือโอกาสตัดต้นไม้เล็กน้อยกลับไปเป็นเงินอุดหนุนให้ตัวเอง แม้จะบกพร่องต่อหน้าที่ แต่ความจริงก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
ตำบลชิงซานไม่ร่ำรวยอะไร โทษหักเงินหนึ่งปีก็หมายความว่าชีวิตของมือปราบเหล่านี้จะข้นแค้นมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับชายกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีคนนี้ หัวหน้ามือปราบน่าจะเป็นจุดสูงสุดของการบากบั่นสู้ชีวิตของเขาแล้ว แต่แค่ประโยคเดียวของเว่ยเหยี่ยน เขาก็ต้องย้อนกลับไปยังจุดเดิม
การเดินทางครั้งนี้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนพลมาก เว่ยเหยี่ยนที่นำกลุ่มราวกับผู้บังคับบัญชา คำสั่งของเขาก็คือคำสั่งทหาร ไม่มีใครคัดค้านฝ่าฝืนได้
หลังจากเว่ยเหยี่ยนลงโทษเสร็จสรรพ ก็ดึงบังเหียนควบม้านำไปทางตำบลเสี่ยวหลิน
ม้าทั้งหมดเป็นม้าศึกในค่ายทหาร พลขี่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนของสำนักเต๋า ถึงแม้จะมีเพียงสามสิบกว่านาย แต่ทำตามคำสั่งอย่างเข้มงวด เคลื่อนพลปานสายฟ้า มีท่วงท่าอย่างกองทหารม้านับหมื่นพัน
เสียงฝีเท้าม้าราวอัสนีฟาดผ่าลงดิน ทว่าหยุดลงกะทันหัน!
ม้าศึกที่ผ่านการรบมานับไม่ถ้วนเหล่านั้นยกขาส่งเสียงร้องอยู่เบื้องหน้าหมอกหนาที่ปกคลุมทั้งตำบลเสี่ยวหลิน ไม่ว่าพลขี่จะกระตุ้นอย่างไร ก็ไม่ยอมก้าวต่อไปแม้แต่ก้าวเดียว
ม้าศึกสามสิบกว่าตัวหวาดกลัวเหลือประมาณ ร้องเสียงยาวขึ้นมาพร้อมกัน ประหนึ่งว่าในตำบลเสี่ยวหลินมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกมันเกรงกลัวสุดขีด ภาพนี้ทำให้กลุ่มคนแตกตื่นตกใจ
ถึงแม้ด้วยพลังของเหล่าพลขี่ จึงไม่เกิดเรื่องตลกอย่างการตกจากม้า ทว่าขวัญกำลังใจก็ลดลงมาก ไม่ได้ฮึกเหิมเหมือนตอนที่เพิ่งออกจากเมืองมาอีก
แม้แต่หวางฉางเสียงที่สงบเยือกเย็นมาโดยตลอด แววตาก็ยังจริงจังขึ้นมา
มีเพียงเว่ยเหยี่ยนที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป
เกราะสงครามบนตัวของเขาเต็มไปด้วยลวดลายด่างพร้อย เอวคาดดาบคู่กายที่แคบยาวและตรง ม้าศึกที่ขี่อยู่สูงใหญ่กล้าหาญ
ทุกคนรู้ดีว่านี่คือของรักทั้งสามอย่างของเว่ยเหยี่ยน
แต่ว่าจู่ๆ เขาก็ชักดาบออกมา!
ราวกับมีอัสนีบาตสายหนึ่งวาบผ่าน แสงดาบสลายไป ม้าชั้นเยี่ยมใต้ตัวเขาหยุดเสียงร้องลงในฉับพลัน หัวม้าหลุดออกจากร่างร่วงลงพื้น ก่อนจะถูกเลือดที่พุ่งกระฉูดจากคอซัดออกไปไกลช่วงหนึ่ง
ศพม้าล้มครืนลงกับพื้น
เว่ยเหยี่ยนกดดาบ สายตาจ้องตำบลเล็กที่อยู่ในสายหมอก เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ขาดกลัวศึกสงคราม แล้วข้าจะมีเจ้าไว้ทำไม”
“ดี!” ผู้ที่ตอบสนองคนแรกสุดกลับเป็นตู้เหยี่ยหู่ เขาแข็งกร้าวไม่ยอมใครแต่กำเนิด ชอบอะไรตรงไปตรงมา ใช้กำปั้นทุบลงไปที่หัวม้าจนเละทันใด “คนแซ่เว่ย จากนี้พวกเราจะบุกอย่างไร”
มือขวาของเว่ยเหยี่ยนตั้งตรงเล็กน้อย “ทำตามคำสั่งของข้า ลงจากม้าเตรียมต่อสู้ ตั้งกระบวนทัพลูกศรโดยมีข้าเป็นหัวศร แล้วบุกตรงเข้าไปยังตำบลเสี่ยวหลิน!”
เว่ยเหยี่ยนสังหารม้า ทำให้คนทั้งหมดตระหนักขึ้นมาได้ว่าไม่มีทางให้ถอยแล้ว ตอนนี้จึงไม่ลังเลอีก ลงมาจากหลังม้าโดยพร้อมเพรียงกัน
เว่ยเหยี่ยนกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เคลื่อนพล!”
เสียงคมอาวุธถูกชักออกจากฝักดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
เวลานี้ทหารผู้ช่วยรูปโฉมธรรมดาคนนั้นของเว่ยเหยี่ยนก้าวออกมาข้างหน้า เขายกฝ่ามือขวาขึ้น มือซ้ายทำปางมือ ปากท่องคาถาไม่หยุด สุดท้ายเอ่ยขึ้นว่า “ลับคมศัสตรา!”
เจียงวั่งรู้สึกเพียงว่ากระบี่ยาวในมือคมกริบขึ้นทันควัน กระบี่ยาวเล่มนี้ที่พอเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมเท่านั้น ยามนี้กลับมีความรู้สึกเหมือนจะทำลายได้ทุกสิ่ง
“เสริมอัคคี!”
คมอาวุธทั้งหมดลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ! เหล่าผู้ฝึกตนชูดาบและกระบี่ขึ้นมาก็เหมือนชูคบเพลิง ต้องการจะส่องสว่างตำบลเล็กในหมอกหนาเบื้องหน้านี้
“เพิ่มพลังต้าน!”
หลิงเหอสัมผัสได้ว่าร่างกายแข็งแกร่งทรหดขึ้นมา เกิดความรู้สึกเต็มอิ่มคล้ายอยากจะใช้หมัดชกหน้าใคร ทว่าแค่เขาเหลือบเห็นตู้เหยี่ยหู่ที่เดือดดาลอยู่ด้านข้าง ก็คลายความรู้สึกลวงตาเช่นนี้ลงไปได้
ทว่าสิ่งที่เจ้าหรู่เฉิงกำลังคิดถึงคือ วิชาเต๋าเพิ่มพลังแบบกลุ่มอย่างน้อยก็ต้องเป็นวิชาเต๋าชั้นสามระดับบน ทหารผู้ช่วยที่หน้าตาธรรมดาคนนี้ของเว่ยเหยี่ยนกลับใช้สามวิชาเต๋าติดต่อกันโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้า กรมทหารเป็นที่เสือหมอบมังกรซ่อน[2]ดังคาด
ไม่ว่ากลุ่มคนจะคิดอย่างไร ขณะที่เดินหน้าไปก็มีเพียงปณิธานเดียว ภายใต้การสนับสนุนของวิชาเต๋า เว่ยเหยี่ยนชูดาบอยู่ด้านหน้า เหยียบย่างเข้าไปในตำบลเสี่ยวหลินเป็นคนแรก
กลุ่มคนเดินไปด้วยสำรวจไปด้วย ตำบลเล็กนี้เงียบเชียบจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของพวกเขา
เดินเข้าไปพักหนึ่ง หมอกแลดูจะหนาขึ้นเรื่อยๆ
หมอกนี้หนาเสียจนเหมือนวัตถุของจริง ห่างออกไปสามก้าวก็มองไม่เห็นเงาคนแล้ว มองเห็นเพียงเปลวไฟบนอาวุธเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่ภายใต้หมอกหนาอันไร้ที่สิ้นสุดนี้
พวกเขาจำต้องย่อขนาดของขบวนลงอีกครั้ง จากระยะห่างห้าก้าวเปลี่ยนเป็นสามก้าว ถ้าใกล้กว่านี้จะส่งผลกระทบต่อการต่อสู้
พี่น้องของเจียงวั่งอยู่ในตำแหน่งท้ายของช่วงกลาง พวกเขามีขอบเขตพลังต่ำที่สุด จึงได้รับการคุ้มกันไปโดยปริยาย เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องอับอาย เป็นธรรมเนียมอันดีงามของสำนักเต๋าเช่นกัน
ตู้เหยี่ยหู่กำหมัดจนเกิดเสียง เขาไม่ได้เครียด แต่กำลังฮึกเหิมตื่นเต้น อยากลงมือใจจะขาด
เจียงวั่งไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เก้ามหามารที่ชื่อเสียงโหดเหี้ยมลือไปทั่วหล้าในตอนนี้มาอยู่ตรงหน้า ศิษย์พี่ก็กล้าชกหมัดเข้าใส่โดยไม่พูดไม่จา แน่นอนว่าสู้ได้หรือไม่ค่อยว่ากันทีหลัง
ในเวลานี้เอง รอบนอกของกระบวนทัพพลันมีเสียงร้องตกใจดังขึ้นมา “นั่นคืออะไร?!”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่พอใจ “ก็แค่วิญญาณผีเท่านั้น มีอะไรให้กลัวกัน”
แต่ก็เปลี่ยนเป็นตื่นตกใจอย่างรวดเร็ว “เยอะขนาดนี้เลยหรือ!”
เว่ยเหยี่ยนที่ได้ยินหันขวับไป จากนั้นฟันดาบในแนวขวาง!
ประกายดาบขนาดยักษ์ผ่าอากาศออกไปในแนวนอน ตัดหมอกหนารอบๆ ออกทันที!
ชั่วพริบตานี้ ทุกคนมองเห็นแล้วว่าบนถนนทั้งสายมีวิญญาณพเนจรที่ยิงฟันวาดกรงเล็บเดินโซซัดโซเซกันอยู่นับไม่ถ้วน!
ตอนกลางวันแสกๆ…ขบวนร้อยภูตผี!
……………………………………….
[1] ชื่อตำบลชิงซานหมายถึง เขาเขียว ส่วนชื่อตำบลเสี่ยวหลินหมายถึง ผืนป่าเล็กๆ
[2]เสือหมอบมังกรซ่อน หมายถึงอัจฉริยะที่ซ่อนตัวอยู่ หรือสถานที่ที่มีผู้มากความสามารถหลบซ่อนตัว