คมดาบยักษ์ฟันผ่าน หมอกหนาแยกออกและปิดลงอีกครั้ง
ทว่าภาพที่ได้เห็นผ่านรอยแยกในชั่วเวลาสั้นๆ นั้น กลับมากพอจะทำให้คนพรั่นพรึงได้
หมอกหนาชั้นนี้มีเบื้องลึกอะไรกันแน่ ยามกลางวันแสกๆ เช่นนี้ ทำไมจึงมีเหล่าภูตผีเร่ร่อนออกมาเดินกันขวักไขว่
ภูตผีตั้งมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหน ต่อให้คนทั้งตำบลเสี่ยวหลินกลายเป็นผีร้าย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีจำนวนมากขนาดนี้ แทบจะเต็มครรลองสายตาแล้ว!
ยามนี้คนทั้งหมดย่อมรู้แล้วว่า การที่ภูตผีมาเดินขบวนกันแน่นขนัดเช่นนี้ เกรงว่าทั้งตำบลเสี่ยวหลิน…จะไม่มีผู้รอดชีวิตแล้ว!
ตำบลใหญ่เจ็ดตำบลใต้อาณัติของเมืองเฟิงหลินหายไปแล้วหนึ่ง
ในเวลาเช่นนี้ ยังคงเป็นเสียงเคร่งขรึมเย็นชาของเว่ยเหยี่ยนที่ดังขึ้นมาแรกสุดและสะกดความวุ่นวายไว้ “คนที่ถนัดวิชาเต๋าธาตุไฟ ให้จัดกลุ่มห้าคนไปอยู่ห้าสิบก้าวนอกแนวป้องกันแล้ววาดเส้นเพลิงออกมา ส่วนคนที่เหลือจัดการสังหารภูตผีภายในแนวป้องกันให้หมดโดยเร็วที่สุด!”
วิชาเต๋าห้าธาตุเป็นวิชาเต๋าพื้นฐานที่สุด ผู้บำเพ็ญที่ชำนาญธาตุไฟมีอยู่ไม่น้อย หลังจากคำสั่งของเว่ยเหยี่ยน เปลวไฟแต่ละดวงก็สว่างโชติช่วงห่างจากกองกำลังไปห้าสิบก้าว และภายใต้การชี้นำจากนายทหารผู้ช่วยของเว่ยเหยี่ยน เปลวไฟเหล่านี้กลายเป็นผืนเดียวกันในพริบตา วาดออกมาเป็นเส้นเพลิงวงกลม!
ด้านนอกวงแหวนเพลิง เหล่าภูตผีถอยหนีชั่วคราว ส่วนวิญญาณพเนจรที่อยู่ในวงแหวนเพลิงก็บ้าคลั่งกันทันใด
หลีเจี้ยนชิวพลันเก็บกระบี่ยาวที่อาบเพลิงกลับเข้าฝัก สองมือทำปางมือไว้ใต้คาง จากนั้นวาดเฉียงลงข้างกายอย่างเฉียบขาด กระบี่เพลิงที่ลุกโหมสองเล่มปรากฏขึ้นในมือของเขาเช่นนี้เอง
กระบี่คู่ประดุจมังกรแหวกว่าย พาเขาพุ่งเข้าไปในวงล้อมภูตผีในพริบตา หนึ่งกระบี่ขจัดภูตผี กระบี่คู่ทำลายวิญญาณ
ขณะเดียวกัน แสงกระบี่สายหนึ่งวกกลับมาในฉับพลัน ภูตผีนับไม่ถ้วนถูกกำจัดไปเรื่อยๆ เมื่อแสงกระบี่หายไป ร่างที่แข็งแรงปราดเปรียวของเจียงวั่งก็ปรากฏออกมา
เคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพา ท่าสังหารกระบวนที่หนึ่ง!
ทุกคนตกตะลึง ไม่คิดว่าผู้ฝึกตนที่ยังไม่สามารถรวมกระแสวนเต๋าจะใช้เพียงวิชากระบี่กำจัดวิญญาณได้ กระทั่งประสิทธิภาพยังสูงกว่าพวกเขาไม่น้อยด้วย
เมื่อเจียงวั่งขยับ เจ้าหรู่เฉิงก็เคลื่อนไหวด้วย กระบี่ยาวประดุจสายฟ้า ฟาดฟันทำลายภูตผีไปตลอดทาง
ปกติไม่ค่อยเห็นเขาขยันสักเท่าไร แต่พอใช้งานเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพากลับไม่ด้อยไปกว่าเจียงวั่งมากนัก
คนทั้งหลายในที่นั้น มีเพียงตู้เหยี่ยหู่กับหลิงเหอที่มองหน้ากัน พวกเขาเชี่ยวชาญพลังยุทธ์ธรรมดา สำหรับศัตรูเป้าหมายที่เป็นภูตผีเหนือมนุษย์เช่นนี้ ย่อมสร้างผลกระทบได้ยากยิ่ง ถ้าหากระเบิดเลือดลมล้วนๆ ออกมา อาจสังหารภูตผีได้สองสามตน ทว่าเผชิญหน้ากับขบวนภูตผีที่มากมายขนาดนี้ พวกเขาจะมีเลือดลมให้ปะทุได้ถึงแค่ไหนกัน
แท้จริงแล้วเจียงวั่งไม่ได้ปิดบังเรื่องเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาจากพวกเขา เพียงแต่ตู้เหยี่ยหู่มั่นใจในหมัดของตนเอง ไม่คิดจะพึ่งพาของนอกกาย ไม่สนใจวิชากระบี่ ส่วนหลิงเหอ…น่าจะเพราะคุณสมบัติโดยธรรมชาติเป็นเหตุจึงพัฒนาได้ช้า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จวิชาสังหาร ไม่อาจใช้ต่อสู้จริงได้
ตอนแรก ในฐานะพี่ใหญ่ซึ่งเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มีระดับความพยายามไม่น้อยไปกว่าเจียงวั่ง พลังต่อสู้ที่ไม่ได้รั้งท้ายของเขาสะสมมาจากหยาดเหงื่อทั้งสิ้น
สถานการณ์การต่อสู้เหมือนจะดี แต่ผู้มีปัญญาเฉียบแหลมรู้ดีว่ากำลังวิกฤต
พวกที่ปรากฏตัวในตอนนี้ล้วนเป็นวิญญาณเร่ร่อนทั่วไป ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตำบลเสี่ยวหลินถึงมีภูตผีมากมายมารวมตัวกัน ในกลุ่มนี้จะต้องมีผีร้ายวิญญาณชั่วอยู่แน่นอน กระทั่งอาจมีขุนพลผีก็เป็นได้!
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่กลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งจะรับมือได้แล้ว แผนการในตอนนี้คือล่าถอยออกมาจากการต่อสู้อย่างรวดเร็วจึงจะดีที่สุด
แต่ระหว่างที่พวกเขาเดินหน้า กลับแยกแยะทิศทางในหมอกหนาไม่ออกแล้ว นอกวงแหวนเพลิงมีภูตผีล้อมเข้ามาเป็นชั้นๆ การฝ่าวงล้อมออกไปง่ายอย่างที่พูดเสียที่ไหน
เว่ยเหยี่ยนเดินออกจากวงแหวนเพลิงก้าวหนึ่ง ปล่อยให้เหล่าภูตผีกรูเข้ามากัดทึ้ง เมื่อเกราะสงครามเก่ากระดำกระด่างบนร่างเขาสั่นไหวเล็กน้อย ภูตผีที่แทบจะเกาะอยู่บนตัวเขาเหล่านั้นก็สลายหายไป
แต่สีหน้าของเขากลับไม่ได้ดีใจ ถอยกลับเข้ามาในวงแหวนเพลิงและเอ่ยเสียงเข้มว่า “มีใครเชี่ยวชาญวิชาเต๋าธาตุลมบ้าง ลองพัดหมอกผืนนี้ให้กระจายเสีย!”
ถึงแม้กำลังถามกลุ่มคน แต่สายตาของเขากลับมองไปที่หวางฉางเสียง
เปรียบเทียบวิชาเต๋าทองไม้น้ำไฟดินทั้งห้าธาตุแล้ว วิชาเต๋าธาตุลมไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก ทว่าหวางฉางเสียงเป็นยอดฝีมือสายนี้
หวางฉางเสียงก็ไม่ลังเล รวบนิ้ววาดลงเบื้องหน้าทันที ใช้คมวายุจัดการกวาดภูตผีรอบๆ ให้หายไป จากนั้นมือทั้งสองก็ราวกับผีเสื้อบินผ่านบุปผา แปรเปลี่ยนเป็นท่ามือ สุดท้ายประกบมือไว้ตรงริมฝีปาก นิ้วชี้และนิ้วกลางแนบติด นิ้วโป้งนิ้วก้อยกับนิ้วนางไขว้ผสาน ก่อนจะอ้าปากเป่าลมหายใจเข้าไปในพื้นที่สามเหลี่ยมที่เกิดจากนิ้วกลางและนิ้วนาง
ครั้นลมหายใจเบาๆ นั้นผ่านพื้นที่ของนิ้วก็รุนแรงขึ้นมาในฉับพลัน หมุนวนและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นพุ่งปะทะเข้าไปในหมอกหนา ราวกับมังกรเทพที่ดุร้ายตัวหนึ่งคำรามด้วยความโกรธอยู่ภายในหมอกหนาทึบเช่นนี้
วิชาเต๋าธาตุลม ลมหายใจพายุมังกร!
สายลมนี้ไม่ใช่สายลมธรรมดา แต่เป็นถึงสายลมบูรพาหนึ่งในแปดสายลม
ผู้ใช้สายลมบูรพาฉายส่องทุกสรรพสิ่งให้ปรากฏ ใช้งานที่นี่ถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว
วิชาเต๋าที่มีพลานุภาพระดับนี้ ต่อให้ไม่ใช่ทุกคนในกลุ่มผู้ฝึกตนระดับหกที่ใช้เป็น แต่ก่อนที่หวางฉางเสียงจะเปิดประตูฟ้าดินก็สามารถควบคุมวิชานี้ได้แล้ว เรียกได้ว่าแข็งแกร่งอาจหาญ
หวางฉางเสียงที่ใช้วิชาเต๋าเสร็จสิ้นสีหน้าเริ่มขาวซีด เห็นได้ชัดว่าวิชาเต๋านี้เขาเองก็ต้องรับภาระหนัก เขาฝืนยืนให้มั่นคงก่อนกล่าว “ถัดจากนี้ต้องฝากทุกคนแล้ว”
ทุกที่ที่พายุหมุนมังกรคำรามเคลื่อนผ่าน หมอกหนาจะค่อยๆ ถูกพัดกระจัดกระจาย กลุ่มคนจึงได้เห็นที่นี่ชัดๆ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาในตำบลเสี่ยวหลิน
ไม้ปิงถังหูลู่[1]วางพาดอยู่ข้างกำแพง แผงร้านข้าวเชื่อมกับร้านขายซีอิ๊ว ธงของหอสุรายังปลิวสะบัดท่ามกลางสายลม
ทั้งหมดราวกับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป….หากไม่ใช่ว่ามีวิญญาณเร่ร่อนเพิ่มเข้ามา
ยามนี้เหล่าวิญญาณเร่ร่อนในวงแหวนไฟถูกกวาดไปจนหมด แต่วิญญาณเร่ร่อนนอกวงยังคงเดินวนเวียนเหมือนฝูงมด พวกมันกลัวไฟโดยสัญชาตญาณ ทว่าก็อาลัยอาวรณ์คนเป็นที่เปี่ยมด้วยพลังชีวิตตามสัญชาตญาณเช่นกัน
“แย่แล้ว!”
เสียงอุทานตกใจดังขึ้นเหมือนระฆังเตือนภัย คนทั้งหลายมองเห็นว่าพายุหมุนดังกระหึ่มเพิ่งจะเคลื่อนผ่านไป หมอกหนาที่อยู่ไกลๆ ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หมอกเช่นนี้ขนาดลมหายใจพายุมังกรก็ยังขับไล่ไปไม่หมด
“พวกเราถือโอกาสนี้ถอยออกไปก่อนเถอะ” หลีเจี้ยนชิวถือกระบี่เพลิงคู่ เอ่ยแนะนำเสียงเข้ม
จากในรอยแยกที่ลมหายใจพายุมังกรสร้างขึ้น พวกเขาแยกแยะเส้นทางขามาได้แล้ว ด้วยพลังของขบวนพล ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีภูตผีปรากฏออกมาอีก หากสู้ไปด้วยถอยไปด้วย น่าจะสามารถล่าถอยได้อย่างปลอดภัย
เว่ยเหยี่ยนยกดาบขึ้นพลางจ้องมองหมอกหนาที่บีบใกล้เข้ามา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นายทหารผู้ช่วยของเขาร้อนรนขึ้นมา “นายท่าน สถานการณ์ในตอนนี้ของตำบลเสี่ยวหลินไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะจัดการได้แล้ว! ต้องเคลื่อนพลทัพใหญ่อย่างไม่มีทางเลือก ยิ่งไปกว่านั้นคนในตำบลเสี่ยวหลินก็ตายหมดแล้ว พวกเราอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้…”
เว่ยเหยี่ยนตัดบทเขา “ภูตผีที่เห็นตอนนี้เป็นแค่วิญญาณเร่ร่อนธรรมดา ไม่มีตัวไหนเลยที่สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีผีตั้งมากมายที่นี่ ไม่สมเหตุสมผลเลย”
หวางฉางเสียงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “ทั้งเขตเมืองเฟิงหลินไม่มีผู้ฝึกตนเฉพาะทางสายขับไล่ผี เรื่องของที่นี่ควรจะส่งต่อให้กองทัพประจำเมืองจัดการ เมื่อทัพใหญ่มาถึงแล้วบุกทะลวงเข้าไป วิญญาณเร่ร่อนพวกนี้ก็จะเลิกโจมตีและสลายตัวไปเอง”
“เผ่าวารีแม่น้ำชิงมีความเคลื่อนไหวไม่ปกติ กองทัพประจำเมืองตรงไปจัดการแล้ว หากรอให้พวกเขากลับมา…อาจจะไม่ทันการ” เว่ยเหยี่ยนจำต้องเผยข้อมูลที่สำคัญมากอย่างไม่มีทางเลือก
แม่น้ำชิงเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่านทั่วทั้งเขตปกครองชิงเหอ แม่น้ำหลิวขจีที่อยู่นอกเมืองเฟิงหลินก็เป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาของมัน เผ่าวารีแม่น้ำชิงทำสนธิสัญญากับราชสำนักจวงไว้นานแล้ว ทำไมจู่ๆ ก็เคลื่อนไหวแปลกๆ ขึ้นมา?
เจียงวั่งไตร่ตรองในใจ ‘ความเคลื่อนไหวผิดปกติ’ ก็อธิบายได้ว่าเผ่าวารีแม่น้ำชิงยังยับยั้งชั่งใจไว้ แต่พอเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงลำน้ำทั่วทั้งเขตปกครองชิงเหอ ทางการย่อมมองข้ามไม่ได้ ดังนั้นการระดมกองทัพประจำเมืองจากที่ต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
มารกลืนจิตใจปรากฏตัวขึ้น…เผ่าวารีแม่น้ำชิงมีความเคลื่อนไหวไม่ปกติ…ตำบลเสี่ยวหลินมีขบวนร้อยอสูร เรื่องเหล่านี้ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน ทว่าเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งกำลังบีบพวกมันไว้ด้วยกันอยู่รางๆ
“ไม่ชอบมาพากล” เว่ยเหยี่ยนส่ายศีรษะ ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว “คนทั้งหมดบุกทะลวงตามข้ามา ถ้าข้าไม่หยุด ใครก็ห้ามหยุด! คนที่หลุดจากกลุ่มก็สุดแท้แต่โชคชะตา!”
ไม่รอให้คนข้างๆ ได้ห้ามเตือน พอสิ้นเสียง เขาก็ชูดาบก้าวออกไปนอกวงแหวนไฟ นำหน้าพุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของตำบลเสี่ยวหลิน
ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยของเขา เจ้าหล่างย่อมต้องตามไปอย่างไม่ลังเล ต่อด้วยหลีเจี้ยนชิวกับหวางฉางเสียง พวกเขาล้วนผ่านศึกมาอย่างยาวนาน แม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเว่ยเหยี่ยน แต่ก็รู้ว่าในตอนนี้จะกระจายกำลังกันไม่ได้
สุดท้ายทั้งขบวนเคลื่อนกำลังพลอย่างรวดเร็ว ตรงเข้าสู่ส่วนลึกของตำบลเสี่ยวหลินโดยมีเว่ยเหยี่ยนนำหน้าเป็นหัวลูกศร!
……………………………………….
[1] ปิงถังหูลู่ คือขนมหวานจีนโบราณชนิดหนึ่ง นิยมกันมากทางเหนือ มักทำจากผลซานจาเสียบไม้แล้วเคลือบด้วยน้ำตาล จะขายกันในช่วงที่อากาศหนาวเย็น