บทที่ 283 อารีน่า
บทที่ 283 อารีน่า

เซียวเฟิงได้ทำการปกปิดตัวตนของตัวเองไว้แล้วก่อนที่จะมุ่งหน้ามายังทางเข้าของดันเจี้ยนสุสานนายพลแห่งนี้ ทว่าเหล่าผู้เล่นที่กรูกันอยู่บริเวณทางเข้านั้นก็ยังจดจำเขาได้

“ดูนั่น! นั่นมันเจ้าแห่งฮีลเลอร์ไม่ใช่เหรอ!?”

ที่หน้าทางเข้าดันเจี้ยนสุสานนายพลแห่งนี้ มีผู้เล่นมารวมตัวกันมากมาย คาดคะเนจากสายตาแล้วต้องมีไม่ต่ำกว่า 30 ปาร์ตี้แน่ ๆ และท่ามกลางพวกเขาเหล่านี้ กว่าครึ่งล้วนเป็นผู้เล่นจากกิลด์มิดซัมเมอร์อีกด้วย ผู้เล่นจากมิดซัมเมอร์เหล่านี้มีประสบการณ์จากการผ่านดันเจี้ยนนี้กันมาบ้างแล้ว นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของพวกเขายังเป็นที่ยอมรับอีกด้วย…

ผู้เล่นจากมิดซัมเมอร์เหล่านี้จำเซียวเฟิงได้ เนื่องจากพวกเขาบางคนเคยอยู่ในปาร์ตี้เมื่อครั้งที่เซียวเฟิงมาช่วยเปิดดันเจี้ยนหลายวันก่อนหน้านี้ และเพราะวันนี้เซียวเฟิงก็ยังสวมชุดแฟชั่นแบบเดียวกับเมื่อครั้งก่อน มันจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ลีฟจดจำเขาได้ พร้อมทั้งบอกกับเหล่าผู้เล่นหญิงตรงหน้าเธอ

“นั่นเขาเหรอ?”

ผู้เล่นหญิงที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่หลิวเฉียงเหว่ยแต่อย่างใด หากแต่ก็เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหลิวเฉียงเหว่ยไม่น้อย เธอคนนี้คือลิลลี่ จริง ๆ เซียวเฟิงก็พอจะเห็นได้จากในรายชื่อเพื่อนแล้วว่าหลิวเฉียงเหว่ยนั้นยังไม่ได้เข้าเกม

หลังจากที่เห็นเซียวเฟิงแล้ว ลิลลี่ก็คิดอยู่กับตนเองครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขาด้วยความลังเลและเอ่ยถาม

“สวัสดี เอ่อ… นายหญิงของพวกเราอยู่ไหนงั้นเหรอ?”

“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง? ทำไมเธอไม่โทรถามนายหญิงของเธอเอง?” เซียวเฟิงพูดตามปกติ

“นาย…ไม่ใช่ว่านายอาศัยอยู่กับนายหญิงหรอกเหรอ? นายจะไม่รับผิดชอบหลังจากที่ได้นอนกับนายหญิงไปแล้วเหรอ?” ลิลลี่พูดต่อด้วยท่าทีเสียใจ

“เฮ้ ๆ พูดอะไรมาน่ะรับผิดชอบคำพูดตัวเองด้วยนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรนายหญิงเธอทั้งนั้น อย่ามาพูดเหมือนว่าฉันทำเรื่องไม่ดีลงไปได้ไหม?” เซียวเฟิงเองก็พูดด้วยท่าทีไม่พอใจเช่นกัน

“นายกำลังบอกว่านายไม่ได้ทำอะไรนายหญิงเลยงั้นเหรอ?” สิ่งที่เซียวเฟิงพูดนั้นทำให้ลิลลี่ตกใจขนาดที่ต้องเบิกตากว้างมองเขาด้วยความสงสัย

“แล้วฉันต้องโกหกเธอด้วยหรือไง? คิดเหรอว่าถ้าฉันคิดจะทำจริง ๆ เธอจะโผล่หน้ามาเมื่อคืนได้น่ะ?” เซียวเฟิงหายใจฟึดฟัดด้วยความไม่สบอารมณ์ที่ถูกสงสัยเช่นนี้ หรือเขาควรจะต้องทำอะไรสักอย่างกับหลิวเฉียงเหว่ยกันนะ?

“โอ้ ดี ถ้างั้น…” ลิลลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะกลับมาสดใสดังเดิม หากปราศจากความภาคภูมิใจในตนเองที่สูงลิ่วแล้ว เธอคนนี้ก็เป็นเพียงเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงมองเซียวเฟิงในแบบที่ไม่เป็นมิตรไว้ก่อน

“ยังไงก็เถอะ เธอควรจะหาเวลาว่างพานายหญิงของเธอไปตรวจสมองบ้างก็ดีนะ ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าเธอคนนั้นอาจจะป่วยอยู่ อ้อ…เอาซือเยี่ยจิ๋งไปด้วย ยัยนี่ก็น่าจะป่วยเหมือนกัน” เซียวเฟิงพูดทิ้งท้ายก่อนจะหันหน้าออกไปเพื่อจะเดินเข้าไปยังทางเข้าดันเจี้ยนที่เขาตั้งเป้าหมายไว้

“เอ๊ะ?” ลิลลี่ไม่เข้าใจว่าเซียวเฟิงกำลังพูดเรื่องอะไร แต่เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะเดินเข้าไปในดันเจี้ยน เธอก็รีบวิ่งไปหยุดเขาไว้ก่อน

“เดี๊ยววววว! นายกำลังจะเข้าไปในดันเจี้ยนนี้เหรอ?”

“ใช่ มีอะไร?” เขาหยุดลงแล้วถามด้วยความสงสัย

“เอ่อ ถ้านายจะเข้าไปคนเดียว ช่วยนำปาร์ตี้กิลด์ของพวกเราไปด้วยได้ไหม?” ลิลลี่มองไปยังเซียวเฟิงที่ยอมหยุดเดินแล้วถามด้วยความพินิจพิเคราะห์

“มันก็จริงที่มิดซัมเมอร์เป็นกิลด์แรกที่พิชิตดันเจี้ยนนี้ได้ เพราะงั้นหลาย ๆ กิลด์จึงพากันมาถามพวกเราว่าจะต้องทำยังไงถึงจะผ่านดันเจี้ยนนี้ไปได้ ทั้งนี้พวกเราก็พยายามกันแล้วตั้งแต่เมื่อวาน แต่ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ผ่านไปได้แค่บอสตัวแรกเท่านั้น ไม่สามารถเอาชนะบอสตัวที่ 2 ได้เลย แบบนี้พวกเราจะให้คำแนะนำอะไรกับพวกคนที่มาถามได้? ในเมื่อตอนนี้นายหญิงของพวกเรายังไม่ออนไลน์ ก็เหลือแต่นายเท่านั้นที่พอจะช่วยได้ นายช่วยบอกวิธีผ่านดันเจี้ยนนี้ให้พวกเราทีได้ไหม?”

ตามที่หญิงสาวผู้นี้ว่าไว้ มิดซัมเมอร์เป็นกิลด์แรกที่ได้พิชิตดันเจี้ยนสุสานนายพล แต่นั่นเพราะมีเซียวเฟิงอยู่ด้วย ดังนั้นแล้วตัวแปรที่สำคัญของสมการนี้ก็คือเซียวเฟิงต่างหาก เนื่องจากตอนนั้นปาร์ตี้ของมิดซัมเมอร์ที่มากับเขาด้วยไม่ได้แตะต้องมอนสเตอร์หรือบอสเลยแม้แต่ตัวเดียว ทั้งหมดมันเป็นฝีมือของเซียวเฟิงทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้หากเธอและคนเหล่านี้จะไม่รู้วิธีผ่านดันเจี้ยนก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไรนักหรอก

“ก็ได้ ฉันจะนำพวกเธอไปก็แล้วกัน ตั้งปาร์ตี้เดี๋ยวนี้เลย เวลามีน้อย”

เซียวเฟิงคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่ามันไม่มีปัญหาหากจะให้ผู้เล่นคนอื่นติดปาร์ตี้เขาผ่านดันเจี้ยนนี้ไปด้วย ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบพยักหน้าและส่งคำขอตั้งปาร์ตี้กับลิลลี่ทันที

ขณะที่กำลังจัดปาร์ตี้อยู่กับลิลลี่ เซียวเฟิงก็หันไปมองสกอร์บอร์ดบริเวณทางเข้าดันเจี้ยน บนบอร์ดนั้นแสดงให้เห็นว่ามีใครบ้างที่ผ่านดันเจี้ยนนี้ไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า อันดับที่ 1 ของสกอร์บอร์ดย่อมต้องเป็นมิดซัมเมอร์กับเขาที่ครั้งนั้นเป็นผู้เปิดดันเจี้ยนอยู่แล้ว ทว่านอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นที่ถูกบันทึกว่าผ่านบนบอร์ดนั้นเลย แล้วถ้าหากยึดตามสิ่งที่ลิลลี่พูด แสดงว่าแต่ละคนก็น่าจะไปตายกันที่บอสตัวที่ 2 กันหมด ดังนั้นหากจะบอกว่าชายหนุ่มมีความสามารถมากพอเพียงคนเดียวก็คงจะไม่เกินตัวนัก

อันที่จริงวันนี้เซียวเฟิงเองก็ค่อนข้างยุ่งไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากเคลียร์ดันเจี้ยนรายวันแล้ว เขายังต้องรีบไปซื้อที่ดินในเมืองจักรพรรดิเอาไว้ด้วย สืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้ที่เขายังใช้ฉายาอาร์คบิชอปนั้นมันไม่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้เขาได้ฉายาดยุกมาครอบครองแล้ว มันจะต้องช่วยให้เขาซื้อที่ดินได้แน่ ๆ

นอกจากนี้เขายังอยากจะทำความคุ้นเคยกับระบบต่าง ๆ ในเมืองจักรพรรดิให้ได้มากกว่านี้เพราะในบรรดาเมืองหลักทั้งหมด เมืองจักรพรรดิถือว่ามีระบบมากกว่าเมืองอื่นอยู่มากเลยทีเดียว

คิดได้ดังนั้นแล้วเซียวเฟิงก็โทรหาเฉียนโตวโตว อีกครั้งและชวนเธอมาลงดันเจี้ยนด้วยกันเพื่อที่จะได้เป็นการเก็บเลเวลไปในตัว เพราะในตอนนี้ เลเวลของเฉียนโตวโตวนั้นอยู่ที่สิบกว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งมันห่างไกลกับเลเวลต่ำสุดที่สามารถเข้าเมืองจักรพรรดิได้เป็นอย่างมาก เมื่อไหร่ที่เขาสามารถซื้อที่ในเมืองจักรพรรดิได้แล้ว มันอาจจะต้องชะงัก เพราะเฉียนโตวโตวไม่สามารถเข้าเมืองได้ด้วยปัญหาเรื่องเลเวลเช่นนี้

มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เฉียนโตวโตววางแผนที่จะพัฒนาเมืองแห่งความโศกเศร้าจนไม่สนใจที่จะอัปเลเวลไปแล้ว เพราะงั้นเธอจึงปฏิเสธเซียวเฟิงให้ชวนเก้อไปคนเดียว

“พี่เซียว! เงินไม่ใช่ปัญหาหรอกนะ! พื้นที่ธุรกิจทั้งหมดในเมืองจักรพรรดิต้องเป็นของพวกเรา! ถ้าซื้อไม่ไหวจริง ๆ เราก็เช่าเอาก็ได้! ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะไม่ยอมปล่อยพื้นที่พวกนั้นไปเด็ดขาด!”

เป๊ะ!

เซียวเฟิงพอจะเดาคำตอบของเฉียนโตวโตวไว้ได้อยู่แล้ว และมันก็เป็นไปตามที่เขาคาดเดาทุกอย่าง ขนาดยกเรื่องการซื้อพื้นที่ธุรกิจในเมืองจักรพรรดิขึ้นมาพูด เธอก็ยังปฏิเสธที่จะเก็บเลเวลอยู่ดี

น้ำเสียงของเธอนั้นชัดเจนแจ่มแจ้งเลยว่าตอนนี้ความคิดในหัวกำลังทะเยอะทะยานไปไกลขนาดไหน!

ลิลลี่รีบจัดปาร์ตี้อย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่เป็นปาร์ตี้ขนาด 20 คน แต่เธอก็ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเสียด้วยซ้ำ แน่นอนว่านอกจากเซียวเฟิงแล้ว คนอื่น ๆ ในปาร์ตี้ต่างก็เป็นคนจากกิลด์มิดซัมเมอร์กันทั้งหมด ไล่ไปตั้งแต่ผู้เล่นระดับสูงลงไปจนถึงผู้เล่นระดับล่างที่มีเพียงไอเทมระดับทั่ว ๆ ไปเท่านั้น ดูเหมือนว่าเซียวเฟิงคงจะต้องพยายามอย่างหนักในการลงดันเจี้ยนรอบนี้เสียแล้ว

“ไปกันได้แล้ว”

ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกเป็นปัญหาแต่อย่างใด เขาค่อย ๆ เดินนำปาร์ตี้เข้าไปในดันเจี้ยนช้า ๆ และเพื่อที่จะสามารถให้คนเหล่านี้สามารถเก็บข้อมูลไปวางแผนได้ เขาจำเป็นต้องล่อให้บอสใช้สกิลออกมาให้หมด ดังนั้นจะไม่สามารถถล่มให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในทันที

ผู้เล่นหลายคนในปาร์ตี้นี้เคยอยู่ในปาร์ตี้เมื่อครั้งที่เปิดดันเจี้ยนนี้ครั้งแรก บางทีพวกเขาอาจจะบอกคนอื่น ๆ ในปาร์ตี้แล้วเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าแห่งฮีลเลอร์ เพราะงั้นผู้เล่นคนอื่น ๆ จึงพากันหวาดหวั่นในตัวเซียวเฟิงไม่น้อย ตลอดทางที่เดินมาด้วยกันพวกเขาจึงพลอยไม่กล้าทำอะไรนอกเหนือจากที่ชายหนุ่มพูดด้วยความเกรงกลัวไปด้วย

ในส่วนของมอนสเตอร์ตามทางนั้น มันไม่มีอะไรที่ต้องอธิบายเป็นพิเศษ เซียวเฟิงจึงสามารถกำจัดพวกมันไปได้ในทันที ยังไงเสียหากมอนสเตอร์พวกนี้ยังไม่สามารถกำจัดได้ล่ะก็ พวกเขาก็ไม่ควรที่จะเข้ามาในดันเจี้ยนเลเวล 25 นี้แล้ว

เพราะค่าประสบการณ์ของเซียวเฟิงมันค้างอยู่ที่ 99.99% ของเลเวล 30 มาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ดังนั้นเพียงแค่กำจัดมอนสเตอร์ฝูงแรกไปได้ แสงสีขาวอันเป็นเครื่องหมายแสดงการอัปเลเวลก็สว่างขึ้นมาจากทั่วทั้งร่างกายทำให้ผู้ที่ติดตามมาด้วยต่างยำเกรงในตัวเซียวเฟิงมากขึ้นไปอีก ตอนนี้การที่จะอันดับสูงกว่าเจ้าแห่งฮีลเลอร์ในอันดับเลเวลนั้นคงแทบจะกลายเป็นเพียงความฝันมากขึ้นไปทุกที ๆ

มิดซัมเมอร์กิลด์รู้วิธีการปราบบอสตนแรกแล้ว เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงไม่ต้องช่วยพวกเขาวางแผนในเรื่องนี้ การยั้งมือจึงไปเริ่มที่บอสตนที่สองแทน

ในจังหวะนั้นเอง เซียวเฟิงก็ได้รับการแจ้งเตือนว่าหลิวเฉียงเหว่ยล็อกอินเข้ามาในเกมแล้ว ซึ่งลิลลี่เองก็รู้เรื่องนี้ด้วย เธอจึงรีบถอยไปอยู่มุมหนึ่งและรับสาย หญิงสาวเหลียวมองเซียวเฟิงก่อนจะพูดกับปลายสายไปเพียงไม่กี่คำด้วยเสียงเบาแล้วจึงวางสายไป

มันใช้เวลาราว ๆ 1 ชั่วโมงในการวางแผนรับมือดันเจี้ยนสุสานนายพล และตลอดเวลานั้นลิลลี่ก็รับผิดชอบจนบันทึกทุกอย่างเอาไว้อย่างขยันขันแข็ง หลังจากที่ลิลลี่ได้กล่าวคำขอบคุณกับเซียวเฟิงไปแล้ว ชายหนุ่มก็ออกไปแทบจะทันที เซียวเฟิงเดินทางกลับเมืองหลักด้วยใบวาร์ปจากนั้นก็เทเลพอร์ตตนเองไปยังเมืองจักรพรรดิต่อโดยไม่ให้เสียเวลา

ด้วยฉายา ‘ดยุก’ เซียวเฟิงสามารถเดินเตร็ดเตร่ภายในเมืองจักรพรรดิได้อย่างไร้ข้อจำกัดแล้ว ในครั้งนี้ NPC เจ้ากระทรวงที่มีหน้าที่ดูแลพื้นที่ธุรกิจภายในเมืองก็ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ครั้นเมื่อเซียวเฟิงถามเรื่องเช่าซื้อพื้นที่ธุรกิจ เจ้ากระทรวงผู้นี้ก็แสดงท่าทีกระอักกระอ่วนออกมา แต่ก็ต้องขอบคุณฉายาดยุกจริง ๆ เพราะในท้ายสุดพวกเขาก็สามารถตกลงซื้อขายกันได้

เซียวเฟิงเดินทางไปยังเมืองแห่งความโศกเศร้าและรับเหรียญทองมาจากเฉียนโตวโตว จากนั้นชายหนุ่มก็กลับมายังที่ทำการของเจ้ากระทรวงอีกครั้งเพื่อรับโฉนดที่ดินของพื้นที่ธุรกิจทุกแห่งที่ได้ทำสัญญาไว้ เพียงเท่านี้ พื้นที่ในย่านธุรกิจทั้งหมดของเมืองจักรพรรดิที่ซึ่งจะกลายมาเป็นเมืองหลักของผู้เล่นในอนาคต ก็ตกเป็นของร้านค้ามหาสมบัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ผู้เล่นเริ่มย้ายมาอยู่พร้อมกับการเปลี่ยนเป็นคลาสที่ 2 กันแล้ว เมื่อนั้นความยิ่งใหญ่ของร้านค้ามหาสมบัติก็จะยิ่งกว้างขวางและสูงส่งมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก

เป็นเรื่องดีที่ร้านค้ามหาสมบัตินั้นร่ำรวย เฉียนโตวโตวจึงกล้าเจียดเหรียญทองกว่าสิบล้านเหรียญมาให้ซื้อที่ทางเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเหรียญทองปริมาณมหาศาลเหล่านี้เองก็มีค่าเป็นหลักพันล้านในหน่วยเงินจริงบนโลกด้วย!

ความใจกว้างของเฉียนโตวโตวมันทำเอาเซียวเฟิงถึงกับมึนงงไปเลย

อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้อยู่ เพราะตั้งแต่ที่หอการค้าแห่งนี้ได้กลายมาเป็นพันธมิตรกับมิดซัมเมอร์แล้ว มันก็เติบใหญ่และเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันก็มิปาน ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมกิลด์ขนาดใหญ่กิลด์อื่นถึงได้ยกย่องมิดซัมเมอร์ให้อยู่เหนือกิลด์ทุกกิลด์ในตอนนี้

โลกของเกมกับโลกแห่งความเป็นจริงนั้นบางสิ่งบางอย่างก็เหมือนกันเอาเสียมาก ๆ นั่นคือ ในการต่อสู้ ฝ่ายไหนสามารถทุ่มเงินได้มากกว่า ฝ่ายนั้นก็ชนะ และภายในเขตฮัวเซีย การเงินของร้านค้ามหาสมบัตินั้นถือว่าไม่มีใครสามารถโค่นลงได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน

“อารีน่า…”

เซียวเฟิงกำลังยืนอยู่ในสนามประลองภายในเมืองจักรวรรดิ ที่ซึ่งถูกสร้างเลียนแบบสนามกีฬาโคลอสเซียมจริง ๆ รอบสนามประลองเองก็มีที่นั่งสำหรับผู้ชมจำนวนมากถูกสร้างเอาไว้ด้วย

และภายในสนามประลองแห่งนี้ ระบบเดียวที่ปรากฏอยู่ก็คือ “ผู้เล่นสามารถกำจัดผู้เล่นด้วยกันเองได้”!

ระบบนี้เป็นระบบที่เมืองหลักเมืองอื่น ๆ ยังไม่มี และระบบนี้เองก็เป็นระบบที่เกมออนไลน์สมัยนี้ขาดไม่ได้อีกด้วย ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะถูกสร้างไว้ในเมืองจักรพรรดิแห่งนี้ ซึ่งกว่าผู้เล่นจะได้ใช้งานมันก็ต้องผ่านการเปลี่ยนคลาสที่ 2 ไปแล้วเสียก่อน

อารีน่า หรือที่เรียกกันว่า ทุ่งสังหาร เป็นสนามแห่งเกียรติยศและไม่ว่าจะเกมไหนมันก็เป็นเหมือนกันหมด มันเป็นสถานที่อันโปรดปรานของเหล่าผู้เล่นที่ชอบฆ่าผู้เล่นด้วยกันเอง นอกจากนี้มันยังสามารถใช้วัดศักยภาพที่แท้จริงของผู้เล่นได้ด้วยจากการประลองด้วยกันเอง

เมื่อเข้าสู่อารีน่าแล้ว ผู้เล่นที่มักจะตามหลังผู้เล่นระดับสูงอยู่ในเรื่องของเลเวลและไอเทม จะสามารถแสดงฝีมือขณะที่ประลองกับผู้เล่นด้วยกันเองได้ ผู้ชนะเท่านั้นที่จะถูกนับว่าเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง! ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการพิสูจน์ฝีมือแล้ว!

ที่แห่งนี้มีทั้งผู้ชม อันดับ ชื่อเสียง สิทธิพิเศษและรางวัลอีกมากมาย มันเป็นระบบที่อยู่คู่กับการล่ามอนสเตอร์เสมอไม่ว่าจะเป็นเกมไหนที่มีรูปแบบเกมเช่นเดียวกันแบบนี้ และด้วยการที่อารีน่านั้นมีอยู่เพียงในเมืองจักรวรรดิ เซียวเฟิงมั่นใจว่าที่นี่จะต้องเป็นที่นิยมในอนาคตอย่างแน่นอน!

ซึ่งแม้แต่เซียวเฟิงเองก็ยังอยากได้แต้มสกิลที่เป็นหนึ่งในของรางวัลของอารีน่าเลย เพราะเขาสามารถนำมันมาเพิ่มค่าประสบการณ์ให้สกิลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ ถ้าหากการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นด้วยกันเองได้รับความนิยมไปทั่วทั้งโลกเช่นเดียวกับเกมบางเกมเมื่อ 5 ปีที่แล้วล่ะก็ มิธจะต้องนำมันมาจัดการแข่งขันหรืออีเวนต์อะไรสักอย่างแน่ ๆ !

และเมื่อเวลานั้นมาถึง อารีน่าจะถูกเลือกเป็นเป้าหมายในการจัดงานอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!

ขณะที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าอารีน่าเช่นนี้ เซียวเฟิงไม่ได้พูดหรือเดินจากไปไหน เขากำลังมองภาพของผู้เล่นในอนาคตหลังจากที่ย้ายเมืองหลักมาที่เมืองจักรพรรดิกันแล้ว สนามประลองนี้น่าจะเปรียบเสมือนสวนหลังบ้านของชายหนุ่มก็มิปาน คงจะมีผู้เล่นมากมายมาขอท้าประลองด้วย และเขาก็จะก้าวข้ามคนเหล่านั้นเพื่อไปเป็นอันดับหนึ่งสนามประลองให้จงได้!

เมื่อไหร่ก็ตามที่มิธกลายเป็นตัวกลางในการแก้ไขความขัดแย้งระดับโลกได้ เหล่าผู้เล่นระดับสูงของแต่ละประเทศคงหันหน้าเข้าอารีน่าแล้วทุ่มกำลังทั้งหมดในการสู้เพื่อประเทศของตัวเองเป็นแน่แท้!

เซียวเฟิงจะไม่พลาดโอกาสนี้แน่ ๆ เพราะมันเป็นเพียงโอกาสไม่กี่ครั้งที่เขาจะสามารถสาวถึงตัวบุคคลที่อยู่เบื้องหลังได้!