ทันทีที่เจ้ากรมราชพิธีเห็นฮ่องเต้พิโรธ ก็เข้าใจว่าตัวเองช่างโง่งมนัก ความต้องการของฝ่าบาทก็คือรีบจัดงานแต่งงานนี้ให้เสร็จสิ้น
ทุกอย่างสมควรกระทำตามพระราชดำริของฝ่าบาทเป็นอันดับแรก ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบทูลว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว กระหม่อมจะรีบเตรียมการจัดงานอภิเษกสมรสให้เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ!”
ยังจะทำอะไรได้อีกเล่า ก็ได้แต่เร่งงานทั้งวันทั้งคืน จัดการอภิเษกให้จบ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงรีบร้อนเป็นอย่างยิ่ง
ถึงพวกเขาจะไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าไฉนฝ่าบาทถึงได้ร้อนรนขนาดนี้
ทรงรีบร้อนหาภรรยาให้องค์ชายสี่หรือ แต่ว่าฝ่าบาทไม่โปรดปรานองค์ชายสี่มาโดยตลอด อีกทั้งยังไม่มีสัมพันธ์อันดีกับองค์ชายสี่ด้วย
ช่างน่าแปลกใจนัก!
หลังจากไป๋หลี่ซือซิวฟังคำตอบของเยี่ยเม่ยก็ขมวดคิ้วแน่น ในจังหวะเดียวกันนี้เยี่ยเม่ยพลันเงยหน้ามองเขา
แววตาของนางฉายแววขอโทษ
ไป๋หลี่ซือซิวลอบถอนหายใจ สุดท้ายก็มองเยี่ยเม่ยยกยิ้มมุมปากให้นาง แสดงออกให้เยี่ยเม่ยเข้าใจ ในเมื่อเลือกแล้วก็มิต้องลังเล ทั้งไม่ต้องรู้สึกติดค้าง
แต่เพราะสีหน้าเช่นนี้ของไป๋หลี่ซือซิวยิ่งทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกผิดมากขึ้น
การเลือกของนางหาใช่ส่งผลดีที่สุดต่อการกอบกู้บ้านเมือง ทั้งอาจทำให้คนจำนวนมากไม่พอใจ กระทั่งไม่ยินยอมสยบให้ แต่…สุดท้ายนางก็ยังเลือกทางนี้แล้ว
ในชั่วขณะนั้นเยี่ยเม่ยรู้สึกว่าตนเองเห็นแก่ตัวมาก
แต่ว่า…
บางทีเพราะเมื่อคืนนางฝันเช่นนั้นกระมัง บางทีเพราะหลังจากนางตื่นแล้ว ในสมองมีแต่คำพูดของหลินซูเหย่าวนเวียนอยู่ ดังนั้น…
สุดท้ายนางจึงเลือกเช่นนี้
เยี่ยเม่ยแอบถอนหายใจเบาๆ
ความจริงรับรู้ได้ถึงสายตาของคนด้านหลังหลายคนนั้นที่มองนาง ทั้งไม่อยากเชื่อ และยังมีอย่างอื่นอีก…
นางยังรับรู้ได้ว่าแววตาคู่ร้ายนั้น ยามนี้กำลังแผดเผาเสียจนนางรู้สึกร้อนไปทั้งแผ่นหลัง
นางแทบจะรับรู้ความยินดีของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้จากสายตานี้
รับรู้ถึงความเบิกบานหลังจากนางเลือกเขาเป็นคำตอบ ไม่อาจไม่บอกว่าชั่วขณะนี้ ยามที่รับรู้ถึงความดีใจของเขา ในใจของเยี่ยเม่ยเองก็ไม่อาจควบคุมได้…
ความดีใจสายหนึ่งปะทุขึ้นมา ความตื่นเต้นกระแสหนึ่ง
รวมถึงความรู้สึกที่ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ ความสุขและความยินดีอันต่ำต้อย
ที่แท้นางก็เห็นแก่ตัวเพียงนี้
ที่แท้เรื่องความแค้นระหว่างตระกูล เบื้องลึกในใจนางยังแฝงไปด้วยความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวไล่ตามความรักของตนเอง
สุดท้ายแล้วคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว หรือนางไม่รู้สึกละอาย ไม่คั่งแค้นกัน?
ในห้วงเวลาที่รับรู้ได้ถึงความสุขนั้น ในใจนางพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกเลวร้าย รู้สึกว่านางผิดต่อเสด็จพ่อเสด็จแม่ และผิดต่อน้องชาย
เยี่ยเม่ยพลันหลับตาลง
แอบเอ่ยอยู่ในใจ ขอโทษเสด็จพ่อเสด็จแม่และน้องชาย ขอข้าเลือกเห็นแก่ตัวสักครั้ง ข้ารับรองว่าเป็นครั้งเดียวเท่านั้น
ฮ่องเต้ย่อมไม่เข้าใจว่ายามนี้เยี่ยเม่ยคิดอะไรอยู่ เห็นนางก้มหน้าลง ในพระทัยก็รู้สึกว่าการแสดงออกเมื่อครู่ของพระองค์นั้นรีบร้อนเกินไปหน่อย ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นงานแต่งงานขององค์ชาย อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาเตรียมการถึงสามเดือน
ยามนี้พระองค์เอ่ยออกไปว่าอีกเจ็ดวัน การแสดงออกนี้ดูน่าเกลียดเกินไปหรือเปล่า อย่างไรเสียเยี่ยเม่ยก็เลือกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไปแล้ว หาได้เลือกเสินเซ่อเทียน พระองค์ไม่จำเป็นต้องแตกตื่นถึงขั้นนี้เลย กลับเป็นการแสดงออกว่าพระองค์ใจคอคับแคบเกินไป
สุดท้ายในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในพระทัยฮ่องเต้ยังหวังว่าพวกเขาจะรีบแต่งงานกันให้เสร็จโดยไว
แต่เพื่อรักษาพระพักตร์ไว้ จึงตรัสถาม “เหอซั่วอ๋อง หลังจากนี้เจ็ดวันค่อยจัดงานอภิเษกสมรส เจ้ามีความเห็นหรือไม่”
ในเมื่อเลือกไปแล้ว แต่งเมื่อใดสำหรับเยี่ยเม่ยก็ไม่สำคัญอีก
ด้วยเหตุนี้นางจึงตอบว่า “น้อมรับตามพระประสงค์ฝ่าบาทเพคะ!”
ยามนี้ฮ่องเต้ทรงคลายใจจนหมด ทอดพระเนตรเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทรงถามขึ้นว่า “องค์ชายสี่เล่า เจ้ามีความเห็นใดหรือไม่”
ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอารมณ์ดีอย่างถึงขีดสุด มุมปากรวมถึงดวงตาร้ายของเขาทอรอยยิ้มอย่างมิอาจปกปิดได้ ทำให้คนทั้งหลายรับรู้ถึงความยินดีแผ่ซ่านออกมาจากร่างเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “เสด็จพ่อตัดสินใจแล้วก็ตามนั้นเถิด ลูกคิดว่าอีกเจ็ดวันก็ดีเช่นกัน”
ขุนนางใหญ่ทั้งหลายต่างก็ตะลึงงัน นับตั้งแต่องค์ชายสี่กลับมาสู่ท้องพระโรงครั้งก่อน ปรากฏกายเบื้องหน้าพวกเขาใหม่อีกครั้ง พวกเขาก็ไม่มีใครเห็นองค์ชายสี่เคารพฝ่าบาทเช่นนั้นมาก่อนเลย
ฮ่องเต้เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงออกอย่างพินอบพิเทา เบื้องลึกในพระทัยเกิดความยินดีอย่างสุดซึ้ง
ในที่สุดพระองค์ก็ได้รับเกียรติของกษัตริย์กลับมาจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสียที ชั่วชีวิตพระองค์ไม่เคยลืมครั้งนั้นที่ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเตะตกจากบัลลังก์ เป็นบาดแผลในใจ ทำให้พระองค์สงสัยอยู่ช่วงระยะหนึ่งว่า พระองค์ใช่ฮ่องเต้ของเป่ยเฉินจริงหรือเปล่า
ยามนี้เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงความเคารพตนเพราะได้แต่งงานกับเยี่ยเม่ย ฮ่องเต้รู้สึกว่าชีวิตของพระองค์สมบูรณ์แล้ว ไม่มีอะไรให้เรียกร้องอีก
ดังนั้นจึงบอกได้ว่าการให้เยี่ยเม่ยเลือกงานแต่งงานนี้เป็นเรื่องที่สมบูรณ์แบบยิ่งนัก ทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเป่ยเฉินอี้เป็นปรปักษ์กันได้ ทั้งยังทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเคารพพระองค์ ช่างดีเหลือเกิน
เมื่อดำริได้เช่นนี้
ฮ่องเต้ตรัส “ในเมื่อเป็นเช่นนี้งานอภิเษกสมรสก็ตกลงตามนี้แล้ว กรมราชพิธีเจ้าต้องจัดงานนี้ให้เหมาะสม ให้งานแต่งขององค์ชายสี่และเหอซั่วอ๋องอย่างโอ่อ่าสมเกียรติ”
“ฝ่าบาททรงวางพระทัย กระหม่อมจะต้องทุ่มเทความสามารถทั้งหมดเพื่อจัดงานอภิเษกนี้ให้ราบรื่น!” เจ้ากรมราชพิธีรีบตอบ
คราวนี้เขาต้องรักษาชีวิตไว้ พระประสงค์ของฝ่าบาทชัดเจนอย่างถึงที่สุดแล้ว หากเขายังมีปัญหาอีก รู้สึกว่างานอภิเษกนี้กระชั้นชิด รวดเร็วเกินไป เขาก็ไม่กล้าพูดแล้ว
นอกจากเสียจากว่าเขาไม่ต้องการหัวที่ใต้หมวกขุนนางใบนี้อีก
ยามนี้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเสินเซ่อเทียนและเป่ยเฉินอี้ ยิ้มเอ่ยว่า “ดูท่าขุนนางรักและน้องชายข้า ต้องหาตัวเลือกที่เหมาะสมใหม่แล้ว!”
ใครๆ ต่างก็ฟังความยินดีในพระสุรเสียงออก
สีหน้าแข็งทื่ออยู่นานของเสินเซ่อเทียนในที่สุดก็หัวเราะออกมาคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไร ก็ขออวยพรให้องค์ชายสี่กับแม่นางเยี่ยเม่ยมีความสุข!”
เสินเซ่อเทียนยอมแพ้ได้
เป่ยเฉินอี้เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าเองก็ขออวยพรให้หลานสี่และแม่นางเยี่ยเม่ยผูกสมัครรักใคร่ตลอดกาล!”
คำพูดนี้เขาแทบเค้นลอดออกจากไรฟัน ใครล้วนฟังความไม่ยินดีของเขาออก
ส่วนกูเยว่อู๋เหิน
เขาย่อมแพ้ได้ แต่ก็มิได้มีอารมณ์เสแสร้งอย่างเป่ยเฉินอี้และเสินเซ่อเทียน เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “กูเยว่ขอทูลลา”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็หมุนตัวจากไปทันที
เยี่ยเม่ยหันหลับไปมองเขา รั้งไว้ว่า “ช้าก่อน!”
เมื่อนางเอ่ยออกมา หัวใจที่เพิ่งคลายลงของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็พลันตื่นเต้นขึ้นมาอีก…