ตอนที่ 42 อีกเจ็ดวันให้หลังแต่งงาน

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ทันทีที่เจ้ากรมราชพิธีเห็นฮ่องเต้พิโรธ ก็เข้าใจว่าตัวเองช่างโง่งมนัก ความต้องการของฝ่าบาทก็คือรีบจัดงานแต่งงานนี้ให้เสร็จสิ้น

 

 

ทุกอย่างสมควรกระทำตามพระราชดำริของฝ่าบาทเป็นอันดับแรก ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบทูลว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว กระหม่อมจะรีบเตรียมการจัดงานอภิเษกสมรสให้เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ยังจะทำอะไรได้อีกเล่า ก็ได้แต่เร่งงานทั้งวันทั้งคืน จัดการอภิเษกให้จบ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงรีบร้อนเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ถึงพวกเขาจะไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าไฉนฝ่าบาทถึงได้ร้อนรนขนาดนี้

 

 

ทรงรีบร้อนหาภรรยาให้องค์ชายสี่หรือ แต่ว่าฝ่าบาทไม่โปรดปรานองค์ชายสี่มาโดยตลอด อีกทั้งยังไม่มีสัมพันธ์อันดีกับองค์ชายสี่ด้วย

 

 

ช่างน่าแปลกใจนัก!

 

 

หลังจากไป๋หลี่ซือซิวฟังคำตอบของเยี่ยเม่ยก็ขมวดคิ้วแน่น ในจังหวะเดียวกันนี้เยี่ยเม่ยพลันเงยหน้ามองเขา

 

 

แววตาของนางฉายแววขอโทษ

 

 

ไป๋หลี่ซือซิวลอบถอนหายใจ สุดท้ายก็มองเยี่ยเม่ยยกยิ้มมุมปากให้นาง แสดงออกให้เยี่ยเม่ยเข้าใจ ในเมื่อเลือกแล้วก็มิต้องลังเล ทั้งไม่ต้องรู้สึกติดค้าง

 

 

แต่เพราะสีหน้าเช่นนี้ของไป๋หลี่ซือซิวยิ่งทำให้เยี่ยเม่ยรู้สึกผิดมากขึ้น

 

 

การเลือกของนางหาใช่ส่งผลดีที่สุดต่อการกอบกู้บ้านเมือง ทั้งอาจทำให้คนจำนวนมากไม่พอใจ กระทั่งไม่ยินยอมสยบให้ แต่…สุดท้ายนางก็ยังเลือกทางนี้แล้ว

 

 

ในชั่วขณะนั้นเยี่ยเม่ยรู้สึกว่าตนเองเห็นแก่ตัวมาก

 

 

แต่ว่า…

 

 

บางทีเพราะเมื่อคืนนางฝันเช่นนั้นกระมัง บางทีเพราะหลังจากนางตื่นแล้ว ในสมองมีแต่คำพูดของหลินซูเหย่าวนเวียนอยู่ ดังนั้น…

 

 

สุดท้ายนางจึงเลือกเช่นนี้

 

 

เยี่ยเม่ยแอบถอนหายใจเบาๆ

 

 

ความจริงรับรู้ได้ถึงสายตาของคนด้านหลังหลายคนนั้นที่มองนาง ทั้งไม่อยากเชื่อ และยังมีอย่างอื่นอีก…

 

 

นางยังรับรู้ได้ว่าแววตาคู่ร้ายนั้น ยามนี้กำลังแผดเผาเสียจนนางรู้สึกร้อนไปทั้งแผ่นหลัง

 

 

นางแทบจะรับรู้ความยินดีของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้จากสายตานี้

 

 

รับรู้ถึงความเบิกบานหลังจากนางเลือกเขาเป็นคำตอบ ไม่อาจไม่บอกว่าชั่วขณะนี้ ยามที่รับรู้ถึงความดีใจของเขา ในใจของเยี่ยเม่ยเองก็ไม่อาจควบคุมได้…

 

 

ความดีใจสายหนึ่งปะทุขึ้นมา ความตื่นเต้นกระแสหนึ่ง

 

 

รวมถึงความรู้สึกที่ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ ความสุขและความยินดีอันต่ำต้อย

 

 

ที่แท้นางก็เห็นแก่ตัวเพียงนี้

 

 

ที่แท้เรื่องความแค้นระหว่างตระกูล เบื้องลึกในใจนางยังแฝงไปด้วยความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวไล่ตามความรักของตนเอง

 

 

สุดท้ายแล้วคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว หรือนางไม่รู้สึกละอาย ไม่คั่งแค้นกัน?

 

 

ในห้วงเวลาที่รับรู้ได้ถึงความสุขนั้น ในใจนางพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกเลวร้าย รู้สึกว่านางผิดต่อเสด็จพ่อเสด็จแม่ และผิดต่อน้องชาย

 

 

เยี่ยเม่ยพลันหลับตาลง

 

 

แอบเอ่ยอยู่ในใจ ขอโทษเสด็จพ่อเสด็จแม่และน้องชาย ขอข้าเลือกเห็นแก่ตัวสักครั้ง ข้ารับรองว่าเป็นครั้งเดียวเท่านั้น

 

 

ฮ่องเต้ย่อมไม่เข้าใจว่ายามนี้เยี่ยเม่ยคิดอะไรอยู่ เห็นนางก้มหน้าลง ในพระทัยก็รู้สึกว่าการแสดงออกเมื่อครู่ของพระองค์นั้นรีบร้อนเกินไปหน่อย ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นงานแต่งงานขององค์ชาย อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาเตรียมการถึงสามเดือน

 

 

ยามนี้พระองค์เอ่ยออกไปว่าอีกเจ็ดวัน การแสดงออกนี้ดูน่าเกลียดเกินไปหรือเปล่า อย่างไรเสียเยี่ยเม่ยก็เลือกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไปแล้ว หาได้เลือกเสินเซ่อเทียน พระองค์ไม่จำเป็นต้องแตกตื่นถึงขั้นนี้เลย กลับเป็นการแสดงออกว่าพระองค์ใจคอคับแคบเกินไป

 

 

สุดท้ายในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในพระทัยฮ่องเต้ยังหวังว่าพวกเขาจะรีบแต่งงานกันให้เสร็จโดยไว

 

 

แต่เพื่อรักษาพระพักตร์ไว้ จึงตรัสถาม “เหอซั่วอ๋อง หลังจากนี้เจ็ดวันค่อยจัดงานอภิเษกสมรส เจ้ามีความเห็นหรือไม่”

 

 

ในเมื่อเลือกไปแล้ว แต่งเมื่อใดสำหรับเยี่ยเม่ยก็ไม่สำคัญอีก

 

 

ด้วยเหตุนี้นางจึงตอบว่า “น้อมรับตามพระประสงค์ฝ่าบาทเพคะ!”

 

 

ยามนี้ฮ่องเต้ทรงคลายใจจนหมด ทอดพระเนตรเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทรงถามขึ้นว่า “องค์ชายสี่เล่า เจ้ามีความเห็นใดหรือไม่”

 

 

ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอารมณ์ดีอย่างถึงขีดสุด มุมปากรวมถึงดวงตาร้ายของเขาทอรอยยิ้มอย่างมิอาจปกปิดได้ ทำให้คนทั้งหลายรับรู้ถึงความยินดีแผ่ซ่านออกมาจากร่างเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “เสด็จพ่อตัดสินใจแล้วก็ตามนั้นเถิด ลูกคิดว่าอีกเจ็ดวันก็ดีเช่นกัน”

 

 

ขุนนางใหญ่ทั้งหลายต่างก็ตะลึงงัน นับตั้งแต่องค์ชายสี่กลับมาสู่ท้องพระโรงครั้งก่อน ปรากฏกายเบื้องหน้าพวกเขาใหม่อีกครั้ง พวกเขาก็ไม่มีใครเห็นองค์ชายสี่เคารพฝ่าบาทเช่นนั้นมาก่อนเลย

 

 

ฮ่องเต้เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงออกอย่างพินอบพิเทา เบื้องลึกในพระทัยเกิดความยินดีอย่างสุดซึ้ง

 

 

ในที่สุดพระองค์ก็ได้รับเกียรติของกษัตริย์กลับมาจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสียที ชั่วชีวิตพระองค์ไม่เคยลืมครั้งนั้นที่ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเตะตกจากบัลลังก์ เป็นบาดแผลในใจ ทำให้พระองค์สงสัยอยู่ช่วงระยะหนึ่งว่า พระองค์ใช่ฮ่องเต้ของเป่ยเฉินจริงหรือเปล่า

 

 

ยามนี้เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงความเคารพตนเพราะได้แต่งงานกับเยี่ยเม่ย ฮ่องเต้รู้สึกว่าชีวิตของพระองค์สมบูรณ์แล้ว ไม่มีอะไรให้เรียกร้องอีก

 

 

ดังนั้นจึงบอกได้ว่าการให้เยี่ยเม่ยเลือกงานแต่งงานนี้เป็นเรื่องที่สมบูรณ์แบบยิ่งนัก ทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเป่ยเฉินอี้เป็นปรปักษ์กันได้ ทั้งยังทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเคารพพระองค์ ช่างดีเหลือเกิน

 

 

เมื่อดำริได้เช่นนี้

 

 

ฮ่องเต้ตรัส “ในเมื่อเป็นเช่นนี้งานอภิเษกสมรสก็ตกลงตามนี้แล้ว กรมราชพิธีเจ้าต้องจัดงานนี้ให้เหมาะสม ให้งานแต่งขององค์ชายสี่และเหอซั่วอ๋องอย่างโอ่อ่าสมเกียรติ”

 

 

“ฝ่าบาททรงวางพระทัย กระหม่อมจะต้องทุ่มเทความสามารถทั้งหมดเพื่อจัดงานอภิเษกนี้ให้ราบรื่น!” เจ้ากรมราชพิธีรีบตอบ

 

 

คราวนี้เขาต้องรักษาชีวิตไว้ พระประสงค์ของฝ่าบาทชัดเจนอย่างถึงที่สุดแล้ว หากเขายังมีปัญหาอีก รู้สึกว่างานอภิเษกนี้กระชั้นชิด รวดเร็วเกินไป เขาก็ไม่กล้าพูดแล้ว

 

 

นอกจากเสียจากว่าเขาไม่ต้องการหัวที่ใต้หมวกขุนนางใบนี้อีก

 

 

ยามนี้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเสินเซ่อเทียนและเป่ยเฉินอี้ ยิ้มเอ่ยว่า “ดูท่าขุนนางรักและน้องชายข้า ต้องหาตัวเลือกที่เหมาะสมใหม่แล้ว!”

 

 

ใครๆ ต่างก็ฟังความยินดีในพระสุรเสียงออก

 

 

สีหน้าแข็งทื่ออยู่นานของเสินเซ่อเทียนในที่สุดก็หัวเราะออกมาคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไร ก็ขออวยพรให้องค์ชายสี่กับแม่นางเยี่ยเม่ยมีความสุข!”

 

 

เสินเซ่อเทียนยอมแพ้ได้

 

 

เป่ยเฉินอี้เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าเองก็ขออวยพรให้หลานสี่และแม่นางเยี่ยเม่ยผูกสมัครรักใคร่ตลอดกาล!”

 

 

คำพูดนี้เขาแทบเค้นลอดออกจากไรฟัน ใครล้วนฟังความไม่ยินดีของเขาออก

 

 

ส่วนกูเยว่อู๋เหิน

 

 

เขาย่อมแพ้ได้ แต่ก็มิได้มีอารมณ์เสแสร้งอย่างเป่ยเฉินอี้และเสินเซ่อเทียน เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “กูเยว่ขอทูลลา”

 

 

เมื่อเอ่ยจบเขาก็หมุนตัวจากไปทันที

 

 

เยี่ยเม่ยหันหลับไปมองเขา รั้งไว้ว่า “ช้าก่อน!”

 

 

เมื่อนางเอ่ยออกมา หัวใจที่เพิ่งคลายลงของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็พลันตื่นเต้นขึ้นมาอีก…