เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ลืมว่าเยี่ยเม่ยเคยบอกว่าเป็นคนของกูเยว่อู๋เหินแล้ว ระหว่างพวกเขาทั้งสองมิใช่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ดังนั้นที่นางเรียกกูเยว่อู๋เหิน เพราะเปลี่ยนใจอย่างนั้นหรือ เสี้ยวขณะนั้นองค์ชายสี่พลันลนลานขึ้นมา
เขากลัวจริงๆ
กลัวว่าความสุขที่แค่มือเอื้อมออกไปก็คว้าจับไว้ได้ จู่ๆ จะหลุดลอยไปไกล
ฝีเท้าของกูเยว่อู๋เหินชะงัก
เยี่ยเม่ยสาวเท้าเข้าไปหาเขา ยามนางเดินผ่านเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ชายหนุ่มอดใจไม่ไหวคว้าแขนของนางเอาไว้
เยี่ยเม่ยสัมผัสได้ว่านิ้วมือของเขากำลังสั่นไหว
นางตระหนักได้ในบัดดลว่าเขากำลังหวาดกลัว กลัวว่านางจะเปลี่ยนใจ กลัวว่านางจะเลือกใหม่อีกครั้ง กลัวคำตอบจะเป็นกูเยว่อู๋เหิน
นางไม่เอ่ยอะไร และไม่อธิบายกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วย
ค่อยๆ ใช้แรงดึงมือตัวเองออกจากฝ่ามือชายหนุ่ม เสี้ยววินาทีที่ฝ่ามือว่างเปล่านั้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับรู้ได้ถึงหัวใจกระตุกเกร็งของตัวเอง คล้ายมีน้ำแข็งจับตัวเป็นก้อน เต็มไปด้วยความไม่สงบ
เยี่ยเม่ยเดินมาถึงข้างกายกูเยว่อู๋เหิน
นางหยิบขลุ่ยหยกโลหิตที่เอวออกมาส่งให้กูเยว่อู๋เหิน “ของสิ่งนี้ข้าขอคืนให้ท่าน”
ความจริงตั้งแต่เริ่มก็รับเอาไว้ด้วยความพลั้งพลาด
ในเมื่อยามนี้กำหนดงานแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ของสิ่งนี้ก็สมควรคืนแก่กูเยว่อู๋เหินแล้ว
เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ หัวใจที่เต้นกระดอนมาถึงคอของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยสงบลงได้ ก็ดี ที่แท้นางเอาของคืนกูเยว่อู๋เหินนี่เอง คราวนี้ความกังวลในใจเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
สตรีที่ตนรัก ในที่สุดก็เลือกแต่งงานกับเขา ทั้งยังตัดสัมพันธ์กับบุรุษที่เคยมีความสัมพันธ์ ในโลกนี้ยังมีอะไร มีเรื่องอันใดที่เป็นข่าวดีไปกว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเขาหรือไม่
กูเยว่อู๋เหินก้มหน้าลง มองขลุ่ยหยกโลหิตในมือนาง
เอ่ยเรียบๆ ว่า “ช่วยเก็บรักษาแทนข้าไว้ก่อนเถอะ”
พูดจบเขาไม่รอเยี่ยเม่ยตอบ ก็หมุนตัวจากไปแล้ว
เยี่ยเม่ยหน้าแข็งค้างไป กำลังจะเอ่ยปากรั้งเขาไว้ ก็เห็นเงาร่างไสวของกูเยว่อู๋เหินไม่กี่ครั้ง คนก็ห่างออกไปสิบกว่าจ้างแล้ว ไม่ทันเรียกเขาได้ทัน
หลังจากมุมปากนางกระตุกน้อยๆ ก็ล้วงป้ายคำสั่งของเสินเซ่อเทียนออกมา
เสินเซ่อเทียนมองก็รู้ว่าเยี่ยเม่ยคิดทำอะไร รีบยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเก็บไว้ก่อนเถอะ ความหมายของข้ากับกูเยว่อู๋เหินเหมือนกัน เจ้าช่วยเก็บรักษาไว้ก่อน งานแต่งงานของเจ้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังไม่เสร็จสิ้น ไม่แน่ว่าต่อให้แต่งไปแล้ว อนาคตก็ยังเลิกราได้”
เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ สีหน้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันไม่น่ามองแล้ว
สีพระพักตร์ก็เขียวคล้ำลง ถูกต้อง ทำไมพระองค์คิดไม่ถึง ต่อให้เยี่ยเม่ยแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ความจริงพระองค์ไม่อาจวางใจได้อย่างสมบูรณ์ ใครจะรู้ว่าสองคนนี้วันใดจะเลิกรา ดังนั้นพระองค์สมควรสังหารเยี่ยเม่ยเพื่อกันอันตรายไว้ดีกว่าหรือไม่
ในเวลานี้เอง
น้ำเสียงน่าฟังของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแฝงไปด้วยอายสังหารยากปกปิด เอ่ยว่า “จวินซ่างคิดมากไปแล้ว ในเมื่อเยี่ยเม่ยแต่งงานกับเยี่ยน ชั่วชีวิตนี้เยี่ยนจะไม่มอบโอกาสให้ผู้ใดอีก ส่วนหยกขลุ่ยโลหิตหรือป้ายคำสั่งของพวกท่าน ทางที่ดีรีบเก็บกลับไปเสีย คู่หมั้นของเยี่ยนหาใช่มีหน้าที่เก็บสมบัติให้พวกท่าน หากไม่รีบเก็บคืนไป ภายหน้าจะถูกเยี่ยนทำลายหรือไม่ ก็ยากรับรองได้แล้ว!”
ความไม่พอใจและความหึงหวงในคำพูดเขา ใครๆ ต่างก็ฟังออก
ฮ่องเต้ทรงกระตุกมุมปาก ดำริว่าคงไม่มีเรื่องใหญ่อันใด ความปรารถนาที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีต่อเยี่ยเม่ยช่างรุนแรงนัก คงไม่เลิกรากันแน่ แต่สถานการณ์เช่นไรถึงเรียกว่าเลิกรานะ
การเลิกรานั้นอยู่ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจแยกทางถึงเรียกว่าเลิกรา ดูจากความหมายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว ชั่วชีวิตเขาคงไม่ยินยอมแน่ ดังนั้นพระองค์ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยสักนิด
บุรุษทั้งสองคนสู้กันเพราะความหึงหวงทำเหมือนไม่มีใครอยู่ในท้องพระโรง ขุนนางใหญ่ทั้งหลายมองแล้วก็ไม่รู้ว่าสมควรเอ่ยอันใดดี หรืออาจบอกว่า…
ไม่รู้ว่าสมควรพูดออกไปหรือไม่
ต่างคนต่างก้มหน้า มองปลายจมูกตัวเอง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
เสินเซ่อเทียนกันมิให้ถูกรบเร้าพัวพันไม่จบสิ้น เยี่ยเม่ยจะคืนป้ายคำสั่งกลับมา ถึงเอ่ยปากว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเพิ่งคิดได้ว่าบนเขาหลิงซานเกิดเรื่องกะทันหัน ขอทูลลาก่อนแล้ว!”
เสินเซ่อเทียนเอ่ยจบก็รีบจากไป
แทบจะเป็นเวลาเพียงเสี้ยวขณะก็ไม่เห็นเงาอีก ความเร็วระดับนี้ไม่ช้าไปกว่ากูเยว่อู๋เหินเมื่อครู่เลย
ดังนั้นเยี่ยเม่ยคิดคืนของก็ทำไม่สำเร็จแล้ว
นางยืนบื้ออยู่ที่เดิม…
ฮ่องเต้ทรงไอแห้งๆ คำหนึ่ง ตรัส “เหอซั่วอ๋อง เรื่องงานศึกที่ชายแดนก็จบแล้ว ข้าได้ยินว่าตราพยัคฆ์คุมทหารสองแสนนายอยู่ในมือเจ้า!”
เยี่ยเม่ยเข้าใจความหมายของฮ่องเต้
ยามนี้ฮ่องเต้ยังไม่เชื่อใจนาง อีกทั้งนางมีตำแหน่งเป็นอ๋อง ก็ไม่มีเหตุผลให้กุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ ดังนั้นฮ่องเต้ก็สมควรยึดเอากลับไปแล้ว
แต่นาง…
หากคิดจะยึดอำนาจทางทหารจากฮ่องเต้ให้มากขึ้น ยามนี้นางควรทำให้ฮ่องเต้เชื่อใจ ดังนั้นตราพยัคฆ์นี้ไม่อาจเก็บไว้ ทั้งเก็บไว้ไม่ได้อีก
ดังนั้นนางรีบตอบสนอง ล้วงเอาตราพยัคฆ์ออกจากแขนเสื้อ เอ่ยว่า “วันนี้ที่หม่อมฉันเข้าประชุมก็เพื่อคืนตราพยัคฆ์ให้ฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรการศึกที่ชายแดนก็จบลง มอบตราพยัคฆ์คืนฝ่าบาทก็นับว่าชาวประชาทั่วหล้าสุขสงบ เพียงแต่เมื่อครู่คุยเรื่องงานแต่งงาน หม่อมฉันจึงลืมไปชั่วขณะ ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วย!”
ฮ่องเต้ฟังคำพูดของนาง ทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก เยี่ยเม่ยไม่เอ่ยวาจาขุ่นเคือง ยอมให้ความร่วมมือส่งมอบตราพยัคฆ์กลับมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์ยังไม่พอใจอันใดอีก ยิ่งไม่มีเหตุผลจะถือโทษ
ดังนั้นฮ่องเต้ทรงกวาดพระเนตรไปที่หัวหน้าขันทีข้างกาย
หัวหน้าขันทีรู้ความก็เดินไปที่ข้างกายเยี่ยเม่ยรับตราพยัคฆ์มาทันที
ฮ่องเต้ตรัส “ข้ามิได้มีเจตนาจะเอาผิด! เหอซั่วอ๋องมีคุณงามความชอบ ทั้งไม่ละโมบในอำนาจ ข้ารู้สึกชื่นชมเจ้านัก!”
เมื่อพระองค์ตรัสจบ ก็ใช้สายตาลุ่มลึกอีกอย่างมองไปยังเป่ยเฉินเสียงที่ยืนเงียบไม่ส่งเสียงในท้องพระโรง
เยี่ยเม่ยเข้าใจว่าคำพูดหินก้อนเดียวกระแทกนกสองตัวประโยคนี้ ยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับเป่ยเฉินเสียงได้สำเร็จ
นางต้องการชิงอำนาจทางทหารในมือเขา ย่อมต้องทำลายความไว้วางใจที่ฮ่องเต้มีต่อเป่ยเฉินเสียงก่อน เช่นนั้นนางจงใจเอ่ยว่าสมควรคืนอำนาจทางการทหารให้แก่ฮ่องเต้ บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขก็เพื่อให้ฮ่องเต้คิดได้ว่าอำนาจทหารในมือเป่ยเฉินเสียงยังไม่คืนสู่พระองค์
ทำให้ฮ่องเต้แคลงใจในตัวเป่ยเฉินเสียง
นางทำก้าวแรกนี้ได้สำเร็จดังคาดแล้ว
เดิมคิดว่าเรื่องจะหยุดเพียงเท่านี้ คิดไม่ถึงว่ายามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันเอ่ยว่า “เสด็จพ่อ แค่ทัพสองแสนนายเท่านั้น ไม่สู้มอบตราพยัคฆ์นี้ให้ลูกเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ฟังแล้วพลันตะลึงไป
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เคยใส่ใจของพวกนี้มาตลอด คร้านจะสนใจด้วยซ้ำ ครั้งนี้กลับ…