บทที่ 348 ภารกิจ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 348 ภารกิจ (2)

ราชวงศ์ต้าหมิง คฤหาสน์ซวนหยวน เหลาสุราจรจาก

จ้าวเฉิงซวนซึ่งโอบกอดหญิงรับใช้งดงามไปพลาง กินสาลี่ที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วไปพลาง บีบคลึงร่างของหญิงรับใช้อย่างมืออยู่ไม่สุขไปพลาง เขาเป็นลูกหลานของตระกูลขุนนางผู้ล้างผลาญอย่างแท้จริง

บิดาของเขาคือแม่ทัพอารักขาประจำกองทัพในนครจังหวัดซวนหยวน ถือเป็นอันดับหนึ่งที่ควบคุมกองทัพของทั่วทั้งนครจังหวัด ส่วนมารดาเป็นเจ้าแม่เส้นทางน้ำที่มีชื่อเสียงไปทั้งสามจังหวัดที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าเป็นเส้นทางถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายล้วนไม่มีข้อกริ่งเกรง

เขามีพี่ชายคนหนึ่ง เป็นทั่นฮวา[1]ด้านบู๊ของต้าหมิงซึ่งติดอันดับไปเมื่อปีกลาย ปัจจุบันรับตำแหน่งที่อื่น มีความสามารถไม่ธรรมดา กอปรด้วยทักษะวรยุทธ์เข้มแข็ง

ยังมีพี่สาวอีกคนหนึ่ง รับสืบทอดวิชาจากซันเสี่ยวจินหยินของอารามหงส์กู่ร้องบนเขาระฆังเมฆา มีร่องรอยลึกลับ โด่งดังมากในยุทธจักร

ในหมู่พี่น้องสามคน มีแต่เขาที่หมกตัวในดงบุปผา หอคณิกา ซ่องโสเภณี เรือแดง สถานเริงรมย์ ที่ไหนมีโฉมสะคราญ ที่นั่นมีเขา

ดีที่เขามีนิสัยเก็บเนื้อเก็บตัว นอกจากจะเป็นขี้ปากคนในเรื่องนี้ สิ่งอื่นก็ไม่สะดุดตา ไม่มีจุดเด่น ไม่มีทักษะความสามารถ อายุยี่สิบหกแล้วยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน วันๆ เอาแต่อาศัยเบื้องหลังของตระกูลมั่วสุมอบายมุข

ในบรรดาพวกลูกผู้ดีมีเงินของจังหวัดซวนหยวน เนื่องจากว่าไม่เอาอ่าว อีกทั้งยังมีนิสัยย่ำแย่ เขาจึงไม่ได้รับความนิยมในแวดวงสังคม แถมยังเป็นที่รังเกียจด้วย

แต่ว่าตอนนี้แม้จ้าวเฉิงซวนนั่งบีบเค้นจุดสำคัญของหญิงสาวเบาๆ ในห้องส่วนตัว แต่ใจกลับไม่ได้อยู่ตรงนี้

ถ้าหากมีคนสังเกตดวงตาของเขาในตอนนี้อย่างตั้งใจ จะมองเห็นว่าจ้าวเฉิงซวนกำลังตั้งสมาธิฟังเสียงคุยโวโอ้อวดอันแผ่วเบาที่ดังมาจากโถงใหญ่ด้านนอก

จ้าวเฉิงซวนในตอนนี้ไม่ได้เพ่งความคิดอยู่บนร่างหญิงสาวในอ้อมอก หากกำลังตั้งใจฟังเนื้อหาสนทนาด้านนอก

“…ว่ากันว่าผู้อาวุโสเสิ่นราชากระบี่จันทรามาถึงแล้ว ไม่ทราบว่าพักที่ใด ครั้งก่อนข้าแอบมองอยู่ไกลๆ เห็นแค่ชื่อของถังเฟยตั๊กแตนทะยานฟ้าจากสำนักธวัชม่วงเท่านั้น”

“ครั้งนี้เครื่องหมายเทพมังกรสีชาดปรากฏขึ้น ไม่ทราบว่าดึงดูดวีรบุรุษและยอดฝีมือผู้เร้นกายมากี่คน สถานที่เล็กๆ อย่างสวนหิมะม่วงคงรับไม่ไหว มียอดฝีมือและผู้อาวุโสจากขุมกำลังแข็งแกร่งมากมาย ถ้าหากเมืองโดนลูกหลงไปด้วย จะทำเช่นไรดี”

“มีผู้อาวุโสเสิ่นราชากระบี่และประมุขพรรคใหญ่จูแห่งพรรคเทพมังกรอยู่ สมควรไม่รุนแรงเกินไปกระมัง”

“ผู้ใดจะรู้เล่า นั่นมันอาวุธเทพชิ้นแรกเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเชียวนะ เล่าลือว่าเป็นศัสตราสะท้านโลกที่ผู้ครอบครองจะได้ครองใต้หล้า ต่อให้เป็นเฒ่าเสิ่นกับประมุขพรรคใหญ่จู ก็ไม่แน่ว่าจะไม่หวั่นไหว”

เสียงมากมายลอยเข้าหูจ้าวเฉิงซวนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้าง

แม้ว่าสถานะของเขาจะไม่มีทั้งความรู้และไม่มีทั้งวิชา กระนั้นเป็นเพราะความสัมพันธ์ทางฝั่งมารดา จึงมักได้ยินท่านลุงหลายคนเอ่ยถึงชื่อของยอดฝีมือที่ชื่อกระฉ่อนไปทั่วใต้หล้าเหล่านี้เสมอ

ปัจจุบันมียอดฝีมือจำนวนมากมารวมตัวในสถานที่เดียวกันเพื่ออาวุธเทพชิ้นแรกของใต้หล้า นี่ทำให้คนใจสั่นอยู่บ้าง

‘สถานะนี้ไม่เลวทีเดียว สถานะโดดเด่น สามารถหาข้อมูลจากทั้งเส้นทางถูกกฎหมายและผิดกฎหมายได้’ จ้าวเฉิงซวนหรือว่าลู่เซิ่งในปัจจุบันคิดในใจ ‘วิธีการของสำนักช่างอัศจรรย์จริงๆ สามารถทำให้เรามาแทนที่สถานะของจ้าวเฉิงซวนผู้นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความทรงจำเอย สถานะเอย ล้วนสอดคล้องกันโดยสิ้นเชิง’

ด้านในร่างกายของเขาในเวลานี้คือร่างกายเดิม ไม่ใช่จ้าวเฉิงซวน เพียงแต่ส่วนสูงและรูปโฉมใช้การเปลี่ยนผิวภายนอก ส่วนความทรงจำกลับสืบทอดมาได้โดยสมบูรณ์ นี่ทำให้จิตใจลู่เซิ่งหนักอึ้งเล็กน้อย

ไม่ใช่เรื่องใดอื่น เพียงแต่มันทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเองเพิ่งจะทะลุมิติขึ้นมาได้ เขาในตอนนั้นก็เป็นเหมือนตอนนี้ไม่ใช่หรอกหรือ

‘ในเมื่อต้าอินใช้ทักษะนี้ได้ ก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่ขุมกำลังอื่นๆ จะใช้ได้เหมือนกัน ดูเหมือนจะต้องตั้งใจศึกษาวิถีอักขระค่ายกลซะแล้ว ทักษะแบบนี้จะต้องได้มาเพราะวิถีอักขระค่ายกลอย่างแน่นอน บางทีอาจจะเจอสาเหตุที่เราทะลุมิติมาในตอนนั้นผ่านวิถีอักขระค่ายกลก็ได้’ ลู่เซิ่งตกลงใจ จากนั้นค่อยเรียกสติกลับมา

“นายน้อย?” หญิงรับใช้ในอ้อมอกครวญครางเบาๆ

“ไปเถอะ กลับกัน” ลู่เซิ่งหันกลับมา ปล่อยหญิงสาวแล้วลุกขึ้น ก่อนจะสาวเท้าออกจากห้อง

ยอดฝีมือหลายคนที่เฝ้าประตูห้องไว้สบตากัน แล้วพากันตามไป ส่วนหญิงสาวนางนั้นก็รีบจัดแจงเสื้อผ้าก่อนจะตามมาเช่นกัน

ลู่เซิ่งเดินนำหน้ากลุ่มคนออกจากร้านภายใต้คำทักทายอย่างมีมารยาทของเจ้าของเหลาสุรา ด้านนอกประตูมีคนคุ้มกันเตรียมรถม้าไว้ก่อนแล้ว

ลู่เซิ่งเลิกม่านรถก่อนจะขึ้นไป ไม่นานก็กลับถึงจวนตระกูลจ้าวโดยที่ระหว่างทางไม่ได้พูดอะไร

ลู่เซิ่งลงรถ จัดเสื้อผ้าเล็กน้อย ยังคงยิ้มเหมือนยามปกติ แล้วเดินเข้าประตูจวนอย่างเอ้อระเหย

ด้านหลังประตูเป็นตัวลานที่กว้างขวาง สตรีสวมอาภรณ์ขาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง นางแบกกระบี่ยาวสีขาวบนหลัง กำลังให้สาวรับใช้กางกระดาษ ส่วนตัวเองใช้พู่กันตวัดเขียนอะไรบางอย่างด้วยท่วงท่าดุจมังกรเหินหงส์เริงระบำ

ลู่เซิ่งเดินไปถึงข้างกายนาง เพียงมองอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไร

รออยู่ครู่หนึ่ง นางก็เขียนตัวอักษรสุดท้ายเสร็จ จากนั้นก็โยนพู่กันทิ้ง มองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้าง ดวงตาของนางสงบนิ่งยิ่ง แต่กลับแฝงความราบเรียบบางอย่างในระดับชั้นที่ลึกที่สุด

“กลับมาแล้วหรือ”

“อื้อ” ลู่เซิ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติ

“พี่ใหญ่ก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน ช่วงนี้สถานการณ์ในเมืองไม่ค่อยเข้าท่า เจ้าอย่าออกไปบ่อยนัก” สตรีกำชับ

“ขอรับ ทราบแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า

สตรีนางนี้มีรูปโฉมธรรมดา แต่สองตาคมกริบ แฝงความดื้อรั้นและทะนงตน เป็นจ้าวเฉิงเย่ พี่สาวของจ้าวเฉิงซวน พี่สาวที่เป็นศิษย์ของซันเสี่ยวจินหยิน และไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกมากนักกับจ้าวเฉิงซวน

พอเขียนจบ จ้าวเฉิงเย่ก็ให้คนเก็บพร้อมกับบอกที่อยู่สำหรับจัดส่ง ตัวนางหมุนตัวออกจากตัวลานโดยไม่สนใจลู่เซิ่ง ไม่นานก็หายไปในฝูงชน

ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดอยู่ว่าจะได้รับการประเมินที่ดีกว่าเดิมได้อย่างไร ในการทดสอบนี้มีการประเมินดีเลวอย่างไร สุดท้ายก็มีมาตรฐานสำหรับการจัดลำดับอยู่

“นายน้อยซวน ช่วงนี้คุณหนูเย่มีเรื่องกับปรมาจารย์วิชาดาบคนหนึ่งในยุทธภพ จึงอารมณ์ไม่ดีอยู่บ้าง เมื่อครู่เลยเขียนสารท้ารบส่งไป ท่านอย่าได้ถือสา” หญิงรับใช้คนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเข้ามาอธิบายเสียงเบา นางคือเสี่ยวอวี้หญิงรับใช้ประจำตัวของจ้าวเฉิงเย่

“ไม่มีอะไร อย่างไรนางก็ไม่เคยอารมณ์ดีกับข้าอยู่แล้ว” ลู่เซิ่งยิ้มเยาะตนเองก่อนจะหมุนตัวออกไป

เขาพลันเข้าใจเรื่องหนึ่ง ต้าอินใช้คนเป็นหลัก ยิ่งคนที่สูญเสียมีน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำภารกิจให้สำเร็จได้อย่างราบรื่นเท่านั้น อีกทั้งการประเมินก็สมควรสูงตามไปด้วย เมื่อเป็นแบบนี้ก็จะดึงโลกใบเล็กๆ นี้เข้าไปในค่ายกลเก็บเกี่ยวสารกายได้อย่างง่ายดาย

‘มิน่าถึงได้มีแผนการสวมรอย ที่แท้มีความต้องการแบบนี้นี่เอง’ ลู่เซิ่งเข้าใจจุดประสงค์ของเบื้องบนในพริบตา

‘เข้าใจแล้วว่าควรทำอะไร’ เขาหมุนตัวไปสั่งให้คนคุ้มกันประจำตัวไปซื้อของส่วนหนึ่ง จากนั้นก็กันหญิงรับใช้ออกไป แล้วเดินเข้าไปในสวนหย่อมด้านข้างตามลำพัง

รอจนรอบๆ ตัวไม่มีใครแล้ว ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงสะพายหลัง เป็นมีดสั้นสีเขียวมรกตที่แวววาว บนคมมีดสั้นสลักรูปมังกรเจียวสีเขียวที่โดดเด่นเอาไว้

“ไปหาสวนหิมะม่วง หาจุดที่เครื่องหมายเทพมังกรสีชาดซึ่งเป็นอาวุธเทพปรากฏขึ้น” ลู่เซิ่งสั่งเสียงแผ่วเบา

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

ทันใดนั้นเกิดเสียงแหวกลมหลายครั้ง มีดสั้นส่ายไหวเล็กน้อยพร้อมกับส่องแสงสีเขียว จากนั้นก็เหมือนวัตถุที่พร่ามัวโปร่งแสงห้ากลุ่มลอยออกไป แสงสีเขียวมืดสลัวลงในพริบตาเดียว

นี่คือมีดมังกรเร้นที่ลู่เซิ่งซื้อมาด้วยเงินแปดร้อยทองคำมาร สามารถอัญเชิญผีล่องหนห้ากลุ่มออกมารับใช้ตนเองได้ พลังของผีล่องหนย่ำแย่ยิ่ง มีแรงเท่าเด็ก แต่ได้เปรียบตรงที่รวดเร็ว สามารถซ่อนตัว และมีความถึกทน ดังนั้นแม้มีดมังกรเร้นนี้จะมีพลังต่อสู้อ่อนแอ แต่ราคากลับไม่ต่ำเกินไป

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ ลู่เซิ่งก็เดินออกจากสวนดอกไม้มาหยอกล้อต่อกระซิกกับหญิงรับใช้ตามปกติ ก่อนจะกลับห้องในเรือนของตนเอง

พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายชั่วยาม

ลู่เซิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขากลับมาถึงห้องหินแล้ว ตรงหน้ามืดสนิท มีแต่ร่องหน้าต่างสายหนึ่งที่ขาวรองท้องปลา

“กลับมาแล้วหรือ” เขาพ่นลมหายใจ ลุกขึ้นแล้วผลักประตูออกไป

“เป็นอย่างไร” จางซื่อหลงกำลังฝึกต่อยหมัดอยู่ด้านนอก พอเห็นเขาออกมา ก็เก็บท่า ก่อนหันมาถามไถ่

“เริ่มต้นได้ไม่เลว” ลู่เซิ่งยิ้ม

“เจ้าเล่าเนื้อหาอย่างเป็นรูปธรรมให้ข้าฟัง ข้าจะได้ให้คำแนะนำเจ้า”

“ขอรับ”

ลู่เซิ่งเล่าสถานการณ์หลังจากตนเข้าไปอย่างละเอียด ทั้งยังพูดถึงเป้าหมายของภารกิจด้วย

“แปลกๆ อยู่นะ…ช่วงระยะเวลาของเจ้าไม่เหมือนกับภารกิจเดี่ยว น่าจะมีคนที่เหมือนกันเข้าร่วมด้วย เจ้าต้องระวังตัวหน่อย” จางซื่อหลงได้ยินก็ขมวดคิ้วน้อยๆ

“หมายความว่าอย่างไร” ลู่เซิ่งถามอย่างแปลกใจ

“ถ้าหากมีเจ้าคนเดียว ตามปกติแล้วสมควรส่งเจ้าไปก่อนสงครามแย่งชิงสองสามชั่วยาม ไม่ใช่ให้เจ้าเข้าไปทำความเข้าใจเรื่องราวมากมายอย่างสงบสุขเช่นนี้” จ่างซื่อหลงส่ายหน้า “ดูจากความก้าวหน้าของภารกิจแล้ว อย่างน้อยต้องทำให้อาวุธเทพปรากฏออกมาสำเร็จกระมัง การปรากฏของอาวุธเทพอย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายวัน นี่เป็นเวลาของเจ้าแล้ว”

“มีเหตุผล” ลู่เซิ่งผงกศีรษะ

“คืนนี้เจ้าสังเกตให้ละเอียดอีกที ระวังอย่าทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้” จางซื่อหลงย้ำ

“วางใจ” ลู่เซิ่งยิ้มๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อผลการประเมินที่ดีกว่าเดิม เขาคงจะทำลายรังศัตรูและกำจัดคนที่ต้องการแย่งชิงสมบัติให้หมดทุกคนแต่แรกแล้ว

ทั้งสองกินข้าวเช้าเล็กน้อยหลังพักผ่อนหนึ่งคืน จากนั้นก็มุ่งหน้าต่อไป ขี่ม้าอักขระจากบ้านหินไปถึงจุดพักที่สองโดยใช้เวลาหนึ่งวันกว่าๆ

ไม่นานก็ถึงตอนกลางคืน ลู่เซิ่งเข้าไปในโลกด้านนอกผ่านการชักนำจากผ้าไหมอีกครั้ง

“นายน้อย เมื่อครู่ท่านพูดว่าอะไรเจ้าคะ” เพิ่งจะลืมตา เขาก็เห็นหญิงสาวงดงามที่เผยทรวงอกเรียบเนียนกึ่งหนึ่งในอ้อมอกของตน นางกำลังเงยหน้ามองเขาคล้ายกับกำลังถามอะไรอยู่

“ไม่มีอะไร” เขาเรียบเรียงความทรงจำ ช่วงเวลาที่ตนจากไป จ้าวเฉิงซวนได้กระทำเรื่องที่สอดคล้องกับสถานะของตนตามขั้นตอนและนิสัยที่ได้วางเอาไว้เหมือนโปรแกรม

“ไม่มีอะไร” ลู่เซิ่งมองนอกหน้าต่าง ฟ้ามืดโดยสิ้นเชิงแล้ว

เขามองปฏิทินที่วางอยู่บนโต๊ะ ยืนยันว่าตั้งแต่คืนนี้ไปจะเป็นขอบเขตเวลาที่อาวุธเทพอะไรนั่นจะปรากฏขึ้นมา

“เจ้าอยู่ในบ้าน ข้าจะออกไปเดินตลาดกลางคืนสักพัก” ลู่เซิ่งลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ครั้นผูกสายมัดเอวเสร็จ ก็ผลักประตูออกไป

เพิ่งจะออกมา เขาก็เห็นจ้าวเฉิงเย่ผู้เป็นพี่สาวจอมเอาเปรียบที่กำลังพิงราวกั้นพูดคุยกับคนอื่นอยู่

จ้าวเฉิงเย่เห็นน้องสามที่เดินออกมาแล้วเช่นกัน ทั้งสองอยู่ห่างกันเป็นระยะทางมากกว่าครึ่งของระเบียง นางไม่มีคำพูดจะกล่าวกับน้องชายผู้เลวร้ายคนนี้เช่นกัน

“นั่นน้องชายเจ้ากระมัง ไม่ไปดูแลหน่อยหรือ ตั้งแต่นี้ไปด้านนอกจะสับสนวุ่นวายแล้ว” สหายที่พูดคุยอยู่ด้วยเลิกคิ้ว

จ้าวเฉิงเย่ครุ่นคิดเล็กน้อย รู้สึกจนปัญญา มีน้องชายแบบนี้ไม่อาจไม่สนใจจริงๆ

นางก้าวหลายก้าวเป็นก้าวเดียว ไล่ตามจ้าวเฉิงซวนไป

เพิ่งจะไล่ตามออกมาจากจวนตระกูลจ้าว นางก็เห็นน้องสามกำลังพิงเสาศิลาหน้าประตู โดยหันหลังให้นาง และกำลังเช็ดอะไรบางอย่างในมือ

“น้องสาม คืนนี้ไม่ปลอดภัย เจ้าควรอยู่ในจวนอย่าออกไปไหน อย่าทำให้ข้ากับพี่ใหญ่เป็นห่วง” จ้าวเฉิงเย่เข้าไปใกล้ๆ ด้วยความหงุดหงิดอยู่บ้าง

“อื้อ ทราบแล้วขอรับพี่รอง” ลู่เซิ่งหันมาด้วยรอยยิ้ม ในมือไม่มีอะไร คล้ายกับเมื่อครู่เพียงแค่ถูมือตามปกติเท่านั้น

“เข้าใจแล้วก็ดี” จ้าวเฉิงเย่พยักหน้า กวาดตามองสองมือของเขาอย่างเคลือบแคลงเล็กน้อย ในที่สุดก็หมุนตัวเข้าไปในจวน

ลู่เซิ่งมองตามจนนางเข้าไป มีดสั้นในแขนเสื้อก็โผล่คมออกมาเล็กน้อย บนคมมีดมีจุดสีแดงห้าจุดเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง แสดงตำแหน่งผีล่องหนที่ปล่อยไปก่อนหน้านี้

‘พยายามอย่าสร้างความเสียหายมากเกินไป ต้องใช้วิธีที่สันติหน่อย’ ลู่เซิ่งชักมีดสั้นออกมาควงพร้อมกับยิ้มแย้ม “เช่นนั้นก็ตัดมือตัดขาให้หมดก็แล้วกัน”

อย่างไรขอแค่รอดก็พอ หากรอดอยู่ ก็จะไม่เสียสารกายมากเท่าไหร่

……………………………………….

[1] ทั่นฮวา คือผู้ที่สอบได้อันดับที่สามในการสอบจอหงวน