บทที่ 349 ภารกิจ (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 349 ภารกิจ (3)

พรึ่บ

ลู่เซิ่งเก็บมีดสั้นในมือเข้าไปในแขนเสื้ออย่างฉับพลัน

เขาห้อยมือข้างหนึ่งลงพลางมองข้ารับใช้ที่อยู่ไม่ไกล

“ไปจูงลมขาวมาให้ข้า”

“ขอรับนายน้อย” ข้ารับใช้คนหนึ่งรีบวิ่งเหยาะๆ ไปยังคอกม้าเพื่อจูงพาหนะสำหรับนั่งของเขามา

ลู่เซิ่งมองท้องฟ้ายามราตรีที่มืดสลัวรอบๆ ก่อนพลิกตัวขึ้นหลังม้า

“นายน้อย ท่านจะไปยังเหลาสมบัติดึกขนาดนี้เชียวหรือ ก่อนหน้านี้ข้าน้อยกับตระกูลหลี่…เอ๋ นายน้อย รอข้าน้อยก่อน” คนคุ้มกันที่เตรียมจะขี่ม้าตามมายังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นลู่เซิ่งสะบัดบังเหียน ห้อทะยานออกไปจากที่นี่

พวกข้ารับใช้ตะโกนและไล่ตามมาอยู่ด้านหลัง แต่ไม่มีประโยชน์ใดๆ

ลู่เซิ่งจ้องมองเส้นทางด้านหน้าเงียบๆ ด้วยดวงตาสงบนิ่ง ม้าสีขาวห้อตะบึงในตลาดกลางคืน ไม่ชนคนหรือแผงลอยใดๆ ภายใต้การควบคุมของเขา

ม้าเร็วตัดผ่านเขตตลาดอย่างค่อยเป็นค่อยไป รอบๆ เริ่มวังเวง แต่ในความวังเวงมีความแหลมคมปะปนอยู่ แสดงให้เห็นว่ามีอันตรายบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในความมืด

คนชุดแดงและคนชุดขาวสองคนกำลังต่อสู้กันบนพื้นโล่ง ที่อยู่ด้านหน้าแผงลอยข้างถนนซึ่งอยู่อีกฝั่ง ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันจนเลือดขึ้นหน้า แต่ละดาบล้วนถึงชีวิต ไม่มีความปรานีแม้แต่น้อย

ลู่เซิ่งควบม้าผ่านไปจากด้านข้าง ถือโอกาสดึงกระบี่ยาวในมือศพศพหนึ่งข้างกำแพงมาถือไว้ จากนั้นก็ทะลุสนามต่อสู้ไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสวนหิมะม่วง

คนสองคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยา ก็มองไม่เห็นเงาหลังของเขาแล้ว

ด้านหน้าประตูสวนหิมะม่วง

คนกลุ่มใหญ่แบ่งออกเป็นหลายฝ่าย ต่างก็เฝ้ารักษามุมใดมุมหนึ่ง ต่างจ้องมองคู่ต่อสู้ที่อยู่รอบตัวอย่างระมัดระวัง ในคืนนี้ไม่มีใครควรค่าให้วางใจ ขอแค่อาวุธเทพไม่มาอยู่ในมือหรือสูญหายไป คนทุกคนอาจกลายเป็นคู่แข่งได้ทั้งสิ้น

ลู่เซิ่งควบม้ามาถึงหน้าประตูใหญ่อย่างรวดเร็ว ทุกคนตอบสนองไม่ทัน ก็เห็นเขาพุ่งเข้าประตูใหญ่ไปแล้ว

“เจ้าเด็กบัดซบโผล่มาจากไหน!” ชายฉกรรจ์สวมห่วงหูสีทองคนหนึ่งกระโจนร่างขึ้น แล้วพุ่งสองมือที่เหมือนกรงเล็บเหล็กใส่ท้ายทอยลู่เซิ่ง

ทว่าม้าเร็วกว่า มันกระโจนไปด้านหน้า หลบพ้นการลงมือของชายฉกรรจ์ รอเขาเตรียมจะลงมืออีกครั้ง ม้าขาวก็หายไปในม่านวิกาลแล้ว ชายฉกรรจ์ไม่ทราบว่ากุมมือร้องอย่างเจ็บปวดและล้มลงกับพื้นเพราะเหตุใด

“ไล่ตาม!” ทุกคนที่อยู่นอกประตูพลันโกลาหล พากันพุ่งเข้าสวนหิมะม่วง

หลังจากทุกคนพุ่งเข้าสวนอย่างอึกทึกครึกโครม สักพักหนึ่งด้านนอกประตูสวนก็มีคนขี่ม้ามาถึงอีกหลายคน

จ้าวเฉินเย่ติดตามอยู่ด้านหลังจ้าวเฉิงเฟิ่งผู้เป็นพี่ใหญ่ นางสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง สวมหมวกขนหงส์สีดำอำพรางใบหน้า ใส่ชุดแนบเนื้อสีดำอมม่วง แสดงให้เห็นถึงความสง่าผ่าเผย

ด้านหน้าพี่น้องยังมีคนอีกคน เป็นบุรุษวัยกลางคนที่ผมเผ้าหนวดเครากระเซิง ดวงตาเหมือนกระดิ่งทองแดง คนผู้นี้สวมเกราะอ่อนสีดำอมเทา สะพายหอกยาวหนักสีดำขนาดเท่าแขนไว้บนหลัง

เขามีฉายาว่าหอกปฐพีกู่ร้อง จงหยวนกุยลุงคนรองของสามพี่น้องแห่งตระกูลจ้าว

“ที่นี่หรือ สวนหิมะม่วง” จงหยวนกุยมีร่างกำยำ ถือหอกพลิกตัวลงจากหลังม้า

“ขอรับ” จ้าวเฉิงเฟิ่งพยักหน้าเอ่ยว่า “นี่เป็นสถานที่ที่ตำนานบอกไว้ว่าเครื่องหมายเทพมังกรสีชาดจะปรากฏ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแย่งชิง สร้างความโกลาหลในเมือง คนของผู้อาวุโสเสิ่นกับมือดีของพรรคเทพมังกรจึงเฝ้าด้านหลังเอาไว้และได้สร้างแนวป้องกันสามแนวขึ้นแล้ว”

“มากพอแล้ว ไปเถอะ พวกเราเข้าไปดูกัน เกรงว่ายอดฝีมือที่แท้จริงจะเข้าไปแต่แรกแล้ว เมื่อครู่ก็แค่พวกนกกาเท่านั้น” พูดจบเขาก็สาวเท้าเข้าไปในสวน

จ้าวเฉิงเฟิ่งกับจ้าวเฉิงเย่ติดตามไป เมื่อมีลุงรองที่กอปรด้วยพลังเหี้ยมหาญนำหน้า ต่อให้ครั้งนี้เกิดอันตราย อย่างไรก็ยังมีที่พึ่ง นอกจากนี้ทั้งสองยังไม่ใช่คนที่มาชิงอาวุธเทพ ดังนั้นจึงไม่ค่อยห่วงอันตรายต่อตนเองนัก

จ้าวเฉิงเย่ยืนอยู่ด้านหลัง มองพี่ใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าแวบหนึ่ง

“เมื่อครู่ข้าได้ยินคนบอกว่าน้องสามออกไปอีกแล้ว” นางกล่าวเบาๆ

“เจ้าเด็กผู้นี้ บอกแล้วว่าอย่าวิ่งเพ่นพ่านก็ยังไม่ฟัง!” จ้าวเฉิงเฟิ่งนิ่วหน้า “ตอนนี้ไม่มีเวลาไปสนใจมัน จัดการเรื่องหลักก่อน”

“แต่ว่า…” จ้าวเฉิงเย่คิดว่าไม่ว่าอย่างไรก็เป็น้องชายของตน หากไม่ดูแล ทางมารดาสามคง…

“ไม่มีแต่ ถ้าหากมารดาสามถามถึง ก็บอกนางว่าข้าเป็นคนพูด ให้นางมาหาข้าเอง” จ้าวเฉิงเฟิ่งกล่าวอย่างเหลืออด

“ก็ได้” จ้าวเฉิงเย่ได้แต่พยักหน้า ถึงอย่างไรทางมารดาสามก็เป็นครอบครัวของขุมกำลังที่แข็งแกร่งสุดขีดในด้านเส้นทางผิดกฎหมาย นางไม่อยากจะรับแรงกดดันโดยไม่มีสาเหตุ

ทั้งสามพานักรบหัวกะทิที่คัดเลือกมาเดินเข้าสวนหิมะม่วง แล้วมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เสียงต่อสู้ดังมาอย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งขี่ม้าวิ่งเหยาะๆ อยู่ริมทะเลสาบ จอกแหนลอยเต็มทะเลสาบน้อยในสวนหิมะม่วง แทบปกคลุมผิวทะลสาบทั้งผืน

แสงจันทร์สีเงินสาดลงมา ระหว่างแหนสีเขียวมรกตส่องประกายระยิบระยับอย่างเลือนราง

กีบม้าย่ำบนพื้นสีดำริมทะเลสาบ ส่งเสียงทึบหนักเบาๆ กลับดังไม่เท้าเสียงคนในยุทธภพที่กำลังตะโกนเข่นฆ่ากันอยู่ไกลออกไป

ตอนที่กำลังจะผ่านริมขอบทะเลสาบผืนน้อยไป ลู่เซิ่งก็หยุดม้าแล้วพลิกตัวลงมา เขาปักกระบี่ไว้บนพื้นโคลน ก่อนรอคอยเวลาให้มาถึงอย่างสงบ

การปรากฏของอาวุธเทพไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นง่ายๆ เหมือนยกมือ ยังต้องดูจังหวะที่เฉพาะเจาะจงด้วย

เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย ลู่เซิ่งยืนอยู่กับที่เหมือนรูปปั้น ม้าก็หยุดนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างน่าประหลาดเช่นกัน

กร๊อบ

อยู่ๆ ในความมืดมิดก็มีเสียงกิ่งไม้หักดังมาเบาๆ

“ที่นี่มีคนอยู่แล้วหรือ…” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากความมืด

“หวังอวิ่นหลงใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งหมุนตัวไปมองความมืดอย่างประหลาดใจ เงาคนดำทะมึนเดินออกมาจากในความมืด

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ลู่นี่เอง” หวังอวิ่นหลงยิ้มอย่างเสแสร้งพร้อมกับเดินออกมา สองมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ เหมือนกับไม่มีการป้องกันตัวแม้แต่น้อย

“กลับนึกไม่ถึงว่าเจ้ากับข้าจะรับภารกิจที่โลกด้านนอกใบเดียวกัน” ลู่เซิ่งยิ้ม เขาได้กลิ่นอายอันแปลกประหลาดบนร่างของคนผู้นี้ แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังซ่อนพลังอยู่เช่นกัน

“ศิษย์พี่ลู่ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ข้าน้อยนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะได้โลกใบเดียวกับศิษย์พี่” หวังอวิ่นหลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าต้องการเครื่องหมายเทพมังกรสีชาดด้วยหรือ” ลู่เซิ่งถามตามตรง

“ท่านก็เหมือนกัน” หวังอวิ่นหลงจ้องมองลู่เซิ่ง คล้ายกับต้องการคาดคะเนว่าความมั่นใจเบื้องหลังเขาคือสิ่งใด

“เจ้าจะแย่งข้าหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว

รอยยิ้มบนใบหน้าหวังอวิ่นหลงแข็งทื่อเล็กน้อย เขาเห็นกระบี่ยาวด้านข้างลู่เซิ่งแล้ว อยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา

“ดูเหมือนศิษย์พี่ลู่จะตัดสินใจแล้วสินะว่าจะเอาไปให้ได้”

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” ลู่เซิ่งไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

“แต่ว่า…ข้าก็มั่นใจในตัวเองมากเหมือนกัน” หวังอวิ่นหลงไม่ถอยแม้แต่น้อย กลับก้าวเข้าหาก้าวหนึ่ง

ลู่เซิ่งหยีตา ดวงตาสาดจิตสังหาร “มีความมั่นใจเป็นเรื่องดี แต่ถ้ามากเกินไป จะกลายเป็นการไม่ประมาณตน”

“ศิษย์พี่ลู่ให้คำแนะนำที่ล้ำค่าจริงๆ ในเมื่อเข้าใจหลักเหตุผลนี้…เหตุใดท่านยังไม่ไปอีกเล่า” หวังอวิ่นหลงกำกระดาษยันต์สีดำแผ่นหนึ่งไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ กระดาษยันต์แผ่นนั้นขยับเองโดยไร้ลม ทั้งยังขยับเขยื้อนบิดพลิ้วอยู่ในมือเขาราวกับเป็นหนอนที่ยังมีชีวิต

ลู่เซิ่งเงียบงันครู่หนึ่ง “ดูเหมือนข้าต้องทำให้เจ้าเข้าใจความแตกต่างระหว่างพวกเราเสียแล้ว…”

พรึ่บ พรึ่บ ฟ้าว!

เกิดเสียงกระจ่างใสดังติดต่อกันสามครั้ง หนามสีดำสามเล่มโผล่ขึ้นมาที่ด้านหลังลู่เซิ่งอย่างฉับพลัน ก่อนจะแทงใส่จุดอ่อนสามจุดบนแผ่นหลังของเขาอย่างแม่นยำ

ขณะเดียวกัน ยังมีขวานศึกสีดำที่ยาวหลายหมี่เล่มหนึ่งหมุนวนร่วงหล่นจากฟ้าด้วยความเร็วสูงพร้อมกับส่งเสียงแหวกลม แล้วจามใส่ศีรษะลู่เซิ่ง

เปรี้ยง!

เยื่อดำกระจัดกระจาย

หวังอวิ่นหลงสะบัดมือขวา กระดาษยันต์ระเบิดกลายเป็นงูหลามยักษ์สีดำสนิทสามตัว แล้วพุ่งออกไปรัดรอบๆ ตัวลู่เซิ่งไว้อย่างแน่นหนา

“โม่หลิง เจ้าจงมา” หวังอวิ่นหลงถอยหลังก้าวหนึ่งพร้อมกับกล่าวอย่างราบเรียบ

“เจ้าค่ะนายท่าน” เสียงสตรีที่แหลมคมชั่วร้ายขานรับขึ้นด้านข้างเขา

ควันสีดำจำนวนมากแผ่กระจายออกมาด้านหน้าเขา จากนั้นก็รวมตัวกันเป็นสตรีที่ร่างเป็นสีดำสนิทและใต้เท้ามีควันดำจำนวนมากตลบอบอวล

ขณะมองลู่เซิ่งที่ถูกพันธนาการไว้หลายชั้น โม่หลิงก็แสยะยิ้มแค่นเสียงอย่างเย็นชา ร่างกายพุ่งไปตรงหน้าอย่างฉับพลัน อักขระค่ายกลสีขาวบริสุทธิ์มากมายปรากฏขึ้นบนหลัง พอพวกมันสาดแสงขึ้น ความเร็วและพละกำลังของนางก็เพิ่มขึ้นเท่าหนึ่ง

ไม่นานอักขระค่ายกลกลุ่มที่ห้าก็ส่องสว่าง พละกำลังและความเร็วของนางเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงกับตอนแรก

“ตายเสียเถอะ!” พละกำลังทั้งหมดของโม่หลิงรวมอยู่บนสองฝ่ามือ นางประกบฝ่ามือแล้วแทงใส่กลางกระหม่อมของลู่เซิ่งอย่างอำมหิต

เปรี้ยง!

แกร๊ก

ในที่สุดเยื่อดำของลู่เซิ่งก็แตกออก เยื่อบางๆ สีดำอ่อนส่งเสียงดังเปรี้ยงภายใต้การโจมตีนี้ ก่อนจะสลายหายไปโดยสิ้นเชิง

“สำเร็จแล้ว!”

ดวงตาของโม่หลิงฉายแววยินดี ในที่สุดดาบฝ่ามือก็ฟันใส่หน้าผากของลู่เซิ่งอย่างหนักหน่วง

ตูม

ทว่าการโจมตีนี้กลับทำให้สีหน้าที่เย็นชาของโม่หลิงค่อยๆ เปลี่ยนไป

“อ้อ…?” ลู่เซิ่งค่อยๆ ยื่นมือออกมา เมินงูหลามสีดำที่รัดพันแขนกับหนามสีดำด้านหลัง จากนั้นก็จับมือของโม่หลิงเอาไว้อย่างสงบนิ่ง

“นี่เป็นกำลังหนุนของเจ้าหรือ”

ในที่สุดสีหน้าที่เชื่อมั่นในตอนแรกของหวังอวิ่นหลงก็ผกผันเล็กน้อย

“เจ้า…”

กร๊อบ

สองมือของโม่หลิงในมือลู่เซิ่งพลันส่งเสียงกระดูกหักเบาๆ มือสีดำสนิทถูกบีบกลายเป็นเลือดเนื้อและของเหลวกลุ่มหนึ่งในมือของเขาอย่างง่ายดายราวกับเต้าหู้

ตูม!

ทรวงอกของโม่หลิงระเบิดกลายเป็นรูขนาดเท่าหัวคนอย่างฉับพลัน เนื่องจากถูกลู่เซิ่งใช้หมัดเจาะทะลวง

กรี๊ด!

นางกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ดิ้นทุรนทุราย จากนั้นก็แอ่นหลังแล้วคุกเข่าลงด้านหน้าลู่เซิ่ง

“พลังระดับปฐมปฐพี มีต้นทุนให้หลงลำพองจริงๆ” ลู่เซิ่งบีบคอโม่หลิงด้วยมือข้างเดียวพลางเดินเข้าหาหวังอวิ่นหลงช้าๆ

“โม่หลิง!” ในที่สุดสีหน้าของหวังอวิ่นหลงก็แปรเปลี่ยนไป โม่หลิงเป็นมารอนิจจังของเขา มีพลังแกร่งกว่าเขาหลายเท่า ถ้าหากแม้แต่โม่หลิงก็ยังทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ยิ่งไม่มีความหวังใดๆ!

ขณะที่ลู่เซิ่งกดดันเข้าใกล้ เขาก็ถอยหลังสองก้าวอย่างมิอาจควบคุม หน้าผากค่อยๆ มีเหงื่อไหลซึมออกมา

“เจ้า…เป็นใครกันแน่!?” หวังอวิ่นหลงนึกไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าศิษย์สำนักพันอาทิตย์ในระดับนี้จะมีคู่ต่อสู้ระดับนี้โผล่มาอย่างกะทันหัน

“ข้าหรือ” ลู่เซิ่งแสยะยิ้ม “มาถามคำถามนี้เอาป่านนี้ ไม่มีความหมายแม้แต่น้อย”

“แน่นอนว่าไม่…” หวังอวิ่นหลงคล้ายกับกำลังได้รับความเจ็บปวดอันมหาศาลตามความเจ็บปวดของโม่หลิง เขากัดริมฝีปากอย่างแรง “พวกเรา จะเจอกันอีก!”

พรึ่บ!

แสงสีดำพุ่งมาถึงด้วยความเร็วที่ลู่เซิ่งตอบสนองไม่ทัน มันม้วนตัวอย่างฉับพลันในตอนที่กระทบกับหวังอวิ่นหลง แล้วห่อหุ้มเขาเข้าไป ก่อนจะลอยออกไปจากที่เดิมในชั่วพริบตา

มือของลู่เซิ่งฟาดใส่ตำแหน่งของหวังอวิ่นหลงอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นโดยพลาดไปแค่ไม่กี่วินาที

ตูม!

พื้นดินระเบิด ดินโคลนกลุ่มใหญ่ปลิวว่อนราวกับสายฝน

ลู่เซิ่งมองท้องฟ้ากลางราตรีที่อยู่ไกลออกไปอย่างงงงันเล็กน้อย แสงสีดำนั้นหายสาบสูญไปแล้ว ต่อให้เป็นเขาก็ตามความเร็วนั้นไม่ทัน

‘เด็กน้อยระดับปฐมปฐพีมีความเร็วที่แม้แต่เราก็ตามไม่ทัน…น่าสนใจ’ เขาพลันรู้สึกว่าสำนักพันอาทิตย์ที่น่าเบื่อในตอนแรกคล้ายมีของเล่นใหม่แล้ว

เขาหันกลับไปมอง โม่หลิงที่ได้รับบาดเจ็บหนักก็หายตัวไปแล้วเช่นกัน

……………………………………….