ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 171

แผนแต่ละแผนในเมืองได้ถูกวางไว้แล้ว แต่ว่าอยู่ในลานเรือนแห่งนี้ กลับรู้สึกสงบสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

องครักษ์ที่ประจำการในบริเวณใกล้เคียงมารายงานวันละสามครั้ง และเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมาที่นี่เพื่อค้นหาเขาเลย

ที่นี่คือถิ่นของเซียวท่า ไม่มีใครรู้ว่าเซียวท่ามีที่พักส่วนตัวที่นี่ อีกทั้งกองกำลังที่กำลังค้นหามู่หรงเจี๋ยจริง ๆ แล้วก็เป็นกองกำลังของอ๋องอานกับมู่หรงจ้วงจ้วง แม้แต่กุ้ยไท่เฟยก็ทำเป็นค้นหาซะใหญ่โตเพื่อตบตาผู้คน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

เพราะนางรู้เรื่องนี้ค่อนข้างดี เห็นมู่หรงเจี๋ยตายด้วยตาของนางเอง องครักษ์ก็กลับมารายงานว่าเซี่ยจื่ออานตายบนสุสานแล้ว

นางคิดว่าเป็นเซียวท่าที่เอาศพของมู่หรงเจี๋ยออกไป ซึ่งที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เรื่องนี้ดูเป็นปริศนา เขาคิดว่าตราบเท่าที่เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารไม่เห็นศพของมู่หรงเจี๋ยเป็นเวลาหนึ่งวัน มู่หรงเจี๋ยก็จะไม่ถูกมองว่าตายไปแล้ว

“เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ที่แท้ก็ยังอ่อนหัดนัก คิดว่าถ้าเอาศพของอาเจี๋ยไป คนพวกนั้นจะไม่มีแผนการอะไรเหรอ? เหลียงไท่ฟู่รู้ตั้งแต่ที่เขาไปพัวพันเข้าวังไปเชิญหวงไท่โฮ่วให้ขึ้นปกครอง เหลียงไท่ฟู่ก็ได้สรุปเอาเองแล้วว่าอาเจี๋ยตายแล้ว”

กุ้ยไท่เฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาที่ยังไม่แห้ง มู่หรงเจี๋ยเป็นบุตรชายของนาง เขาตายไปแล้ว คนเป็นแม่ก็ย่อมจะโศกเศร้าเสียใจเป็นธรรมดา

แต่จะทำยังไงได้เล่า? นางจำเป็นต้องทำ

ป้าซือจู๋ที่คอยรับใช้กุ้ยไท่เฟย กล่าวเบา ๆ ว่า “ไท่เฟย วันนี้พระชายาซุนเซ่อมาที่นี่ นางถามเกี่ยวกับเรื่องของท่านอ๋อง ดูเหมือนว่านางจะรู้เรื่องแล้ว”

กุ้ยไท่เฟยเช็ดน้ำตา “อ๋องอานคิดว่าจะสามารถปิดข่าวได้ แต่คนอื่นก็มีสิทธิที่จะพูด จะปกปิดข่าวได้เช่นไร? ช่างน่าขันเสียจริง บอกพระชายาซุนเซ่อไปว่าอาเจี๋ยตายแล้ว ให้นางเตรียมตัวเป็นหม้าย กลับไปร้องไห้เสียใจที่บ้านเก่านางเสียเถิด จะได้ให้ใต้เท้าซุนรู้เรื่องนี้ด้วยซะเลย”

“หม่อมฉันได้บอกนางไปแล้ว” ป้าซือจู๋กล่าว

กุ้ยไท่เฟยถอนหายใจเบา ๆ “ซือจู๋ ท่านก็โทษข้าด้วย ใช่หรือไม่?”

สีหน้าของป้าซือจู๋ดูจริงจัง “ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันจะโทษไท่เฟยได้เช่นไร? ที่ไท่เฟยทำเช่นนี้เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

กุ้ยไท่เฟยสูดหายใจเข้าลึก และน้ำตาได้ไหลลงมาอีกครั้ง “หากไม่จำเป็น ข้าจะไม่ทำเช่นนี้เลย หลังจากที่เขาขึ้นสู่อำนาจ ข้าก็เสนอให้เขาพาตัวอ๋องแปดกลับมาเมืองหลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่ยอมท่าเดียว อ๋องแปดเป็นน้องชายแท้ ๆ ของเขานะ! ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ข้าได้คุยกับเขาในวังวันนั้น ข้าบอกให้เขาอยู่ห่างจากเซี่ยจื่ออาน เขากลับบอกให้ข้ากลับจวนไปเสวยสุขกับความมั่งคั่งร่ำรวยและยศศักดิ์ที่ข้ามีอยู่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าก็รู้แล้วว่าหวังพึ่งเขาไม่ได้”

ป้าซือจู๋กล่าวเสียงค่อย “ท่านอ๋องอาจหวังเพียงให้ไท่เฟยใช้ชีวิตอย่างสงบสุข”

กุ้ยไท่เฟยยิ้มเย้ยหยัน “เช่นนั้นหรือ? เขาไม่ต่อสู้แล้วข้าจะมีชีวิตที่สงบสุขได้อย่างไร? หากเขามีใจกตัญญูเช่นนี้จริง ที่ข้าเคยบอกเขาก่อนหน้านี้ว่าถ้าองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ก็ให้เขายึดอำนาจและขึ้นครองราชย์เสีย เหตุใดเขาถึงคัดค้านซ้ำแล้วซ้ำเล่า?ตอนนี้ยังรังเกียจที่ข้าเข้าไปยุ่งวุ่นวาย ข้าจะหวังพึ่งพาเขาได้เช่นไร? หากเขาไม่ได้ครองราชย์ จวบจนวันที่ข้าตาย ก็จะเป็นได้เพียงกุ้ยไท่เฟย จะต้องอยู่ใต้หวงไท่โฮ่วทั้งชีวิต ข้าแย่กว่านางตรงไหน? ไม่เลย ข้าไม่ยอมหรอกนะ ในเมื่อเขาไม่เข้าใจความทุกข์ของข้า และไม่รับรู้ถึงความอัปยศที่ข้าได้รับ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความเป็นแม่ลูกเหมือนกัน”

ป้าซือจู๋รินชาให้นาง “ไท่เฟยไม่รู้สึกเสียใจหรือเพคะ?”

กุ้ยไท่เฟยยังคงยิ้มเย้ยหยัน แต่กลับยังคงร้องไห้อยู่ ท่าทางนั้นทำให้คนไม่อาจลืมเลือนไปชั่วชีวิต ใบหน้าโหดร้ายบูดเบี้ยว แต่กลับแฝงไปด้วยความเศร้าอย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้ “เสียใจสิ จะไม่เสียใจได้เช่นไร? ข้าเป็นผู้ให้กำเนิดเขา บุตรชายแท้ ๆ ของข้า แต่จะให้ข้าทำอย่างไร? หากข้ามีทางเลือกอื่น จะไม่มีทางให้เขาต้องตายโดยเด็ดขาด ข้ายังคงจำได้เสมอ ในปีนั้นเพื่อให้กำเนิดเขาแล้ว ข้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่มันก็คุ้มค่า จากนั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนก็อยู่เคียงข้างข้าตลอด ทั้งยังแต่งตั้งให้ข้าเป็นกุ้ยเฟย บุตรคนนี้เป็นเหมือนหัวใจของข้ากับฝ่าบาท ข้าละทิ้งเขา ในใจก็รู้สึกเหมือนมีมีดมาเชือด!”

ป้าซือจู๋หลั่งน้ำตาอย่างเงียบ ๆ “บ่าวเข้าใจความทุกข์ใจของไท่เฟย”

กุ้ยไท่เฟยกุมมือของป้าซื่อจู๋ไว้และกล่าว “ตั้งแต่ที่ข้าเป็นปฏิปักษ์กับนางมา เจ้าก็สนับสนุนข้ามาโดยตลอด ท่านจำไว้ด้วยว่า ข้าถูกนางบีบบังคับจนไม่มีทางเลือก เลยจำต้องทำเช่นนั้น”