ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 172

ป้าซือจู๋ปลอบนางและพูดอย่างไม่จริงใจ “ใช่เพคะ หม่อมฉันเข้าใจดีว่าไท่เฟยไม่มีทางเลือกแล้ว”

“จากระยะทางแล้ว อ๋องแปดจะมาถึงเมื่อใด?” น้ำเสียงของกุ้ยไท่เฟยเปลี่ยนไป สีหน้าดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย และความเศร้าโศกก่อนหน้านี้ก็ได้จางหายไปจากใบหน้าของนาง

ป้าซือจู๋กล่าว “ก่อนที่ไท่เฟยจะลงมือ อ๋องหนานหวายได้เริ่มออกเดินทางแล้ว เมื่อคำนวณระยะเวลาดูตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้ก็น่าจะมาถึงตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว แต่ว่าเพื่อไม่ให้ผู้คนเกิดความสงสัย คาดว่าเร็วสุดก็คงไม่เกินคืนพรุ่งนี้ เขาถึงจะเข้าเมืองมาได้”

“จริงด้วย อ๋องแปดมักจะมัดระวังในการทำสิ่งต่าง ๆ เสมอ ถ้าเขาเข้าเมืองมาเร็วเกินไป ก็จะทำให้ผู้คนสงสัย แม้ว่าคืนพรุ่งนี้จะดูเร็วไปสักหน่อย แต่ก็สมเหตุสมผลดี อย่างไรเสียพี่ชายของเขาก็เสียชีวิต เขาก็ต้องเป็นทุกข์อยู่แล้ว เขาเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อกลับมา ไม่มีใครสงสัยแน่นอน”

ป้าซื่อจู๋มองดูแผลที่หน้าผากของนางและกล่าว “วันนั้นไท่เฟยไม่ควรกระแทกไปจริง ๆ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา มันจะดีแล้วเหรอ?”

กุ้ยไท่เฟยเอื้อมมือไปแตะแผลที่หน้าผากแล้วดื่มชาในถ้วยอีกครั้งพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าไม่ทำเช่นนี้ นางจะออกคำสั่งหรือ? นางดูมีเมตตา หากไม่ใช่เพราะนอกพระตำหนักยังมีข้าราชบริพารอยู่มากมาย นางคงไม่ออกคำสั่งเช่นนี้หรอก”

ป้าซือจู๋ไม่ได้แสดงความคิดเห็น แต่ยังคงรินชาให้นางอยู่เรื่อย ๆ

ในตอนเย็นของวันถัดไป อ๋องหนานหวายหรือมู่หรงชวน กับองครักษ์ไม่กี่คนที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางได้มุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวง

นอกพระราชวังโซ่วอัน ยังคงมีข้าราชบริพารคุกเข่าอยู่เหมือนเดิม สองสามวันมานี้ คนเหล่านี้ผลัดเปลี่ยนกันมาคุกเข่า ทุกวันเหลียงไท่ฟู่ก็จะอยู่ที่นี่สามถึงสี่ชั่วยาม และเวลาที่เหลือเขาก็ออกจากวังไปทำธุระ

เมื่ออ๋องหนานหวายเข้ามาในวัง เหลียงไท่ฟู่ ก็อยู่ที่นั่นพอดี

เหลียงไท่ฟู่ยืนอยู่ใต้ขั้นบันไดหินและมองดูชายหนุ่มผิวคล้ำเดินมาทีละก้าว ๆ หลังของเขาเหยียดตรง ใบหน้าแลดูโศกเศร้า ความดุดันที่เคยมีทั้งหมดเมื่อสองสามปีก่อนได้ลดลงแล้ว เขาสวมชุดดำยิ่งสะท้อนผิวของเขาให้ดูคล้ำยิ่งขึ้น มองเพียงผิวเผิน ดูเป็นคนที่หนักแน่น ซื่อสัตย์และจงรักภักดี

เหลียงไท่ฟู่ประหม่าเล็กน้อย ถ้าอ๋องหนานหวายยังคงมีนิสัยอวดดีจองหองเหมือนเมื่อก่อน ก็ต้องรับมือกับเขาสักหน่อย

แต่เห็นได้ชัดว่าสองสามปีมานี้แสงแดดและพายุใต้ฝุ่นจากแดนใต้ได้ขัดเกลาเขา จนทำให้เขาเปลี่ยนไป

“ใต้เท่าไท่ฟู่!” อ๋องหนานหวายเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเหลียงไท่ฟู่ ยกมือคารวะเขาก่อน

เหลียงไท่ฟู่ก็รีบคารวะเขากลับ “ท่านอ๋องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว”

“ยังดี ยังดีที่แม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ก็ได้มาถึงแล้ว” ดวงตาของอ๋องหนานหวายแดงเล็กน้อย และคารวะอย่างนอบน้อมอีกครั้ง “ข้าขอตัวไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ก่อน ไว้ค่อยคุยกันภายหลัง”

เหลียงไท่ฟู่คารวะ และมองตามแผ่นหลังของเขา เขาหรี่ตาลง เผยให้เห็นแววตาอันชั่วร้าย

“ใต้เท้าไท่ฟู่ ข้าเกรงว่าที่มู่หรงชวนกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อมารับส่วนแบ่ง” เสนาบดีกรมมหาดไทยที่คุกเข่าอยู่กล่าว

ในบรรดาทั้งหกกรม มีเพียงเสนาบดีกรมมหาดไทย เท่านั้นที่เหลียงไท่ฟู่สามารถใช้งานได้ ใต้เท้าซุยเสนาบดีสำนักตรวจราชการไม่พอใจเสนาบดีกรมมหาดไทยมานานแล้ว ดังนั้นเขาได้แต่พึ่งพาเหลียงไท่ฟู่

เหลียงไท่ฟู่กล่าวอย่างเย็นชา “บางทีเขาอาจเป็นคนที่ลงมือฆ่ามู่หรงเจี๋ยก็เป็นได้ เพิ่งจะกี่วันเองที่หวงไท่โฮ่วมีพระราชเสาวนีย์ออกไป? เขาก็เดินทางจากแดนใต้มาถึงเมืองหลวงเสียแล้ว แม้ว่าจะบอกว่าเดินทางทั้งวันทั้งคืน แต่ว่าข้าก็ไม่เชื่อในสายสัมพันธ์พี่น้องอันลึกซึ้งที่เขามีต่อมู่หรงเจี๋ยหรอกนะ”