บทที่ 39 ปีนกำแพงกลางดึก เปิดสงครามกับพี่เขย (1) Ink Stone_Romance
“เขาสามารถทำให้ข้าหายไปได้ง่ายดาย อีกมือหนึ่งก็ลากข้ากลับมาได้เหมือนแค่พลิกฝ่ามือ แท้จริงก็เพื่อตักเตือนข้า เขาอยากให้ข้าอยู่ข้าก็ต้องอยู่ เขาอยากให้ข้าตายข้าก็ต้องตาย ชีวิตหาได้เป็นของตัวข้าเองไม่ เจ้ายังคิดว่าเขาจะเหลือจุดอ่อนตรงไหนให้ข้าเล่นงานได้อีก?” เจิ้งตั๋วถาม
ถ้าครั้งนี้เขาตายไปก็จบเรื่องจบราว บัดนี้ยื้อชีวิตคืนมาได้ กลับต้องมาเผชิญความจริงที่ว่า…
เวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าวันที่เขาต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด เป็นเพียงเรื่องง่ายดายราวพลิกฝ่ามือไปมาของฉู่ฉีเหยียนเท่านั้น!
“เช่นนั้นตอนนี้…” รองแม่ทัพก็ตื่นตระหนกเมื่อได้ยินความคิดเห็นของเขา เริ่มลุกลี้ลุกลนขึ้นมาทันตา
“ในเมื่อจับตัวได้แล้ว ก็จัดการเสีย!” เจิ้งตั๋วกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ความแค้นที่ข่มไว้ภายในไม่อาจระบายออก
“คิดเสียว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็แล้วกัน ช่วยเขาทำสงครามฉากนี้ให้จบไปก็พอ”
ในเมื่อจับคนไว้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นปล่อยไปอย่างลับๆ อีก
เดิมเพราะฉู่ฉีเหยียนทำงานไม่ได้เรื่อง หากว่าปล่อยคนที่อยู่ในมือไปอีก เจิ้งตั๋วคงได้กระอักเลือดแค้นใจตายพอดี
“ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” รองแม่ทัพผู้นั้นรับคำ ก่อนจากหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
เจิ้งตั๋วเอนกายพิงตั่งนอน หลับตาสงบใจ พักหนึ่งก็หลุดเสียงหัวเราะหยันออกมาอย่างทนไม่ไหว…
ฉู่ฉีเหยียนต่างจากฉู่อี้อัน สองคนอยู่คนละระดับกันจริงๆ
ตอนแรกเป็นเพราะเรื่องของฉู่เยว่เหยา สกุลเจิ้งถึงได้ทำข้อตกลงอย่างลับๆ กับฉู่สวินหยาง ทั้งๆ ที่ฉู่ฉีเหยียนจับสังเกตได้แต่กลับไม่ยอมเคลื่อนไหว ทำให้เขากับฮูหยินเจิ้งได้แต่หายใจไม่ทั่วท้อง
คาดไม่ถึงว่า…
หาใช่เพราะอีกฝั่งนิ่งดูดาย แต่เพราะมันไม่มีค่าให้ต้องใส่ใจต่างหาก
ในสายตาผู้อื่น จวนผิงกั๋วกงมีทั้งชื่อเสียงและอำนาจ แต่ในสายตาของฉู่ฉีเหยียน พวกเขาไม่ได้ต่างอะไรกับหมากตัวหนึ่งที่ใช้ได้ก็ดี ใช้ไม่ก็โยนทิ้งไปเท่านั้น
ก่อนหน้าเขาเลือกไม่แยแส แต่บัดนี้พอลงมือ กลับทำให้ฟ้าดินสะเทือนเลือนลั่น บีบคั้นเขาให้ถึงตาย
มีเด็กคราวหลานที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมวนเวียนอยู่ข้างกาย แต่เขากลับไร้กำลังต่อกรโดยสิ้นเชิง
ทั้งเวลานี้…
สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่เพียงใจคนกับแผนร้าย แต่เป็นความใจเด็ดและอาจหาญในการสังหารคนของเขา
ฉะนั้นตอนนี้เจิ้งตั๋วไม่คิดมากอีกต่อไปแล้ว…
เขาไม่ใช่คู่ปรับของฉู่ฉีเหยียน และสกุลเจิ้งก็ไร้กำลังต้านทาน ‘เจตนาอันสามานย์’ ของเขาอีกด้วย
———————————–
ฉู่ฉีเฟิงออกมาจากกระโจมแม่ทัพ ถามหาว่าฉู่สวินหยางไปทางไหน จากนั้นก็ตามไปทันที
ตอนนี้ฉู่สวินหยางจัดการสองพ่อลูกจนอยู่หมัดแล้ว นางกำลังยืนอยู่หน้าประตูค่าย ปล่อยความคิดล่องลอยไปกับภาพภูเขาและลำธารคดเคี้ยวที่อยู่เบื้องหน้า
ฉู่ฉีเฟิงเดินเข้าไปหา ยกมือจับที่ไหล่ของนาง “ส่งคนออกไปแล้วรึ?”
ฉู่สวินหยางพลันได้สติ ดึงสายตากลับมาจากที่ไกลๆ แล้วส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะถอนหายใจอย่างแฝงความนัยว่า “ใช่!”
เฉี่ยนลวี่กับเจี๋ยหงยืนห่างออกไปค่อนข้างไกล เวลานี้เพิ่งเดินเข้ามา ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจ เอ่ยถามว่า
“ท่านหญิง ต้องหาคนไปเฝ้าไว้หน่อยไหมเจ้าคะ?”
“เฝ้าทำไม? ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาเถอะ อีกอย่าง…แผนวันนี้ก็ไม่ได้แสดงให้พวกเราดูเสียหน่อย” ฉู่ฉีเฟิงไม่รอให้ฉู่สวินหยางพูดก็ตอบให้เสียเอง “ไปดูเจี่ยงลิ่วทีว่าทำไมยังไม่มาอีก!”
“เจ้าค่ะ!” เฉี่ยนลวี่รับคำ หมุนตัวแล้วเลี้ยวหายไป
ฉู่ฉีเฟิงก้มหน้าลงมามองฉู่สวินหยาง เอ่ยว่า “เช่นนี้ สกุลเจิ้งก็ถือว่าอยู่ในกำมือของเขาแล้ว ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องเปลืองแรงอีก”
ฉู่ฉีเฟิงมักจะมีแผนการที่ผู้อื่นคาดไม่ถึงอยู่เสมอ และมักจะเป็นแผนที่สุดโต่ง คนประเภทที่เด็ดขาดไร้ไมตรีเช่นเขา…
เกรงว่าแม้แต่ฮ่องเต้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมก็แทบจะเทียบชั้นไม่ติด
“ใช่ ต้องมาเจอศัตรูเช่นนี้ ทำให้คนปวดหัวเสียจริงๆ” ฉู่สวินหยางเอ่ยสนับสนุนคล้ายจริงคล้ายเล่น ซ้ำยังยกมือนวดขมับเบาๆ เพื่อให้ดูสมจริงอีกด้วย
ฉู่ฉีเฟิงเห็นนางจงใจมุ่นคิ้วจนพันกันก็กลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว ยกแขนโอบไหล่นางแล้วบีบแรงๆ ทีหนึ่ง
—————————————-
หลายวันถัดมา สองพี่น้องโยนเรื่องภาวะสงครามที่ยังดุเดือดไว้เบื้องหลัง ท่องไปทั่วเขตแดนระหว่างสองเมืองราวกับเรื่องราวไม่เกี่ยวกับตน ทั้งยังแวะเที่ยวชมสถานที่โด่งดังไปพร้อมๆ กันอีกหลายแห่ง
เมื่อชาติก่อนเหตุการณ์เกิดอย่างกะทันหัน นับแต่เกิดเรื่องฉู่สวินหยางก็ไปที่แคว้นฉู่ มีบ้างที่จะต้องเดินทางไปกลับระหว่างหน้าด่านกับเมืองหลวง แต่ก็เต็มไปด้วยความเร่งรีบ จึงไม่มีโอกาสได้เที่ยวเล่นให้ทั่วเสียที
การออกมาในครั้งนี้ นางมีความสุขยิ่งกว่าครั้งไหน นางโยนทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปชั่วคราว แล้วออกมาเที่ยวอย่างสบายอกสบายใจ
ฉู่ฉีเฟิงเองตามใจนางเสียทุกเรื่อง สองคนไม่ได้เข้าไปที่ค่ายทหารอีก แต่เช่าเรือนหลังใหญ่ที่เมืองใกล้เคียงไว้พักกาย จะบอกว่าเพลิดเพลินจนลืมหน้าที่ก็คงไม่เกินไปนัก
วันนี้กว่าจะกลับมาจากการสังเกตกระแสน้ำช่วงเย็นที่แม่น้ำหมินเสร็จ ก็ล่วงเข้าเวลาดึกแล้ว เพราะรออยู่ที่ริมแม่น้ำเป็นเวลานาน เสื้อผ้าจึงชื้นแฉะไปหมด
พอเจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่ผสมน้ำอาบให้เรียบร้อยแล้ว ฉู่สวินหยางก็ไล่ให้ทั้งสองไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ตนเองนั่งหลับตาแช่น้ำอยู่ในถัง ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับนั้น พลันได้ยินเสียงลมแปลกๆ พัดเข้ามาจากด้านนอก
จวนหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตเท่าไร เรือนอาศัยแบ่งออกอาณาเขตเป็นสองชั้นเท่านั้น ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาพักที่นี่ องครักษ์ทั้งนอกในก็ถูกฉู่ฉีเฟิงเปลี่ยนเป็นคนของตัวเองทั้งหมด เรือนของฉู่สวินหยางนั้นแม้ตกกลางคืนจะไม่มีคนเฝ้า แต่องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกก็มีเฝ้าอย่างแน่นหนา
ใครกันที่ผ่านด่านองครักษ์เข้ามาได้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้?
ฉู่สวินหยางลืมตาตื่นขึ้น หางตาเหลือบมองฉากกั้นลมที่ด้านหลังตน จากนั้นก็ยกแขนไปดึงเสื้อคลุมอาบน้ำที่แขวนเอาไว้อยู่ด้านบนมาสวม
ตอนที่เหยียนหลิงจวินปีนหน้าต่างเข้ามาก็ใช้สายตาคมกริบสำรวจรอบห้องอย่างรวดเร็ว ด้านในไร้ซึ่งผู้คน เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ฉากกั้นลมลายปักซูโจวบานนั้น
ฉากกั้นทำให้มองภาพได้ไม่ชัด เห็นเพียงเงาของถังอาบน้ำขนาดใหญ่ ภายในไม่เห็นเงาคน แต่ไอน้ำที่หมุนเกลียวลอยเหนือฉากกั้นกลับให้กลิ่นอายต่างไปจากปกติ
เหยียนหลิงจวินลังเลเล็กน้อยก่อนยกเท้าเดินต่อ คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ก้าวผ่านฉากกั้น พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างสกัดเท้าไว้
ในใจเขาร้องเตือนว่าแย่แล้ว แต่คิดจะถอยกลับก็สายเกินไป ฉากกั้นที่เคยตั้งอย่างมั่นคงจู่ๆ ก็เอนล้มมาทางเขาอย่างไม่บอกกล่าว
เหยียนหลิงจวินตกใจ รีบยกแขนกั้นเอาไว้ ไม่รอให้เขาผลักฉากกั้นคืนเข้าที่เก่า ก็มีร่างเงาสีขาวร่วงลงมาจากคานเหนือศีรษะ เสียงลมจากฝ่ามือเล็งตบไปที่กลางกะโหลก
สถานการณ์เช่นนี้ฉู่สวินหยางย่อมไม่ออมแรงแน่ แต่เพราะกลัวจะทำนางบาดเจ็บ เหยียนหลิงจวินจึงไม่ได้ปะทะกับฝ่ามือนางตรงๆ ตอนที่เขาจับฉากลมให้ตั้งอย่างมั่นคงนั้น เท้าก็พลางเคลื่อนถอยไปด้านหลังด้วย
—————————————————–