บทที่ 39 ปีนกำแพงกลางดึก เปิดสงครามกับพี่เขย (2) Ink Stone_Romance
ขณะที่ฉุกละหุก ฉู่สวินหยางไม่ทันคิดว่าจะเป็นเขา คิดแค่ว่าอาจมีนักฆ่าลอบเข้ามา เห็นว่าคนหลบหลีกคล้ายจะหนี มือที่ฟาดพลาดลงพื้นจึงเปลี่ยนไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่เพิ่งพาดเอาไว้บนฉากกั้นแทน ก่อนจะใช้แรงสะบัดไปเกี่ยวข้อเท้าของเหยียนหลิงจวิน แล้วกระชากกลับมา
เพราะเมื่อครู่นางรีบลุกจากถัง บนพื้นจึงแฉะไปด้วยน้ำ เหยียนหลิงจวินถูกนางดึง เท้าพลันลื่นพรืด ร่างสูงเสียการทรงตัวแล้วล้มไปเบื้องหน้า
หัวใจเขากระตุกวูบ กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว มือรีบคว้าขอบถังอาบน้ำเอาไว้ กำลังจะเปิดปาก ฉู่สวินหยางก็พุ่งตัวใส่เสียก่อน ไม่ปล่อยให้เขาได้พูดก็แทงศอกสะกัดจุดเขาทันที
เหยียนหลิงจวินรู้สึกเย็นวาบในอก เพราะเขาออมแรงให้บวกกับแรงกระแทกเมื่อครู่ของฉู่สวินหยางที่ใส่มาเต็มที่ ร่างทั้งร่างจึงกระเด็นแล้วล้มหัวทิ่มตกลงไปในถัง
น้ำกระเด็นเซ็นซ่าน เสียงตู้มดังไปทั่วทิศ
น้ำร้อนในถังทะลักเข้าหูตาจมูกปาก เหยียนหลิงจวินแทบจะขาดอากาศหายใจ ด้วยเพราะรู้ทันถึงกระบวนท่าต่อไปของฉู่สวินหยางว่านางจะฟาดฝ่ามือลงมาอีก จึงรีบคว้าข้อมือของนางไว้ก่อน
กำลังของเขารุนแรงจนน่าตกใจ แม้ว่าฉู่สวินหยางจะออกท่าสังหารด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่ก็ยังถูกเขาหยุดเอาไว้ได้
ฉู่สวินหยางเริ่มเครียดพลางสูดหายใจลึกอย่างไม่รู้ตัว มือซ้ายกำลังจะลงมือต่อ เบื้องหน้าพลันเกิดเสียงน้ำกระเด็นซ่าน เหยียนหลิงจวินฉวยโอกาสที่นางเผลอลุกขึ้นมาจากน้ำแล้ว
เพราะว่าล้มลงไปทั้งตัว ทั่วร่างเขาจึงเปียกโชก ปิ่นปักผมหลุดหาย ผมดำขลับทิ้งตัวกระจายอยู่ทั่วบ่า
อาจเพราะเพื่อความสะดวกในการเดินทางตอนกลางคืน วันนี้เขาจึงเลือกสวมเพียงเสื้อคลุมสีดำอย่างง่ายๆ มองดูแล้วอึมครึมยิ่งนัก โดยเฉพาะดวงหน้าที่กล้ามเนื้อเกร็งจนขึ้นสัน มันดำทะมึนจนเหมือนกับก้นหม้อ
“ทำไมถึงเป็นเจ้าล่ะ?” มุมปากของฉู่สวินหยางกระตุก ยืนตะลึงนิ่งกับที่
เหยียนหลิงจวินยืนเปียกชุ่มอยู่กลางถัง น้ำจากใบหน้าและเส้นผมหยดติ๋งๆ เป็นทาง
เป็นครั้งแรกในชีวิตเขาที่ต้องพบเจอเรื่องน่าอดสูเช่นนี้ เดิมตอนที่ปีนขึ้นมาจากถังก็อับอายคับแค้นจนเกิดโทสะ ยิ่งมาอยู่ต่อหน้าฉู่สวินหยาง เขายิ่งอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แต่พอสายตาของสองคนสบกัน จนได้เห็นความระแวดระวังภัยในดวงตานาง เขาก็สงบอารมณ์ได้ในทันที
แม้จะเปียกมะล่อกมะแล่กไปทั้งตัว แต่จะให้ยืนพูดจากันอยู่กลางถังก็ใคร่จะไม่ใช่ที่ เขาจึงทรุดตัวกลับลงไปนั่งในถังอย่างไม่ยี่หระ ขยับตัวพิงขอบถังอย่างสบายใจ แล้วถามกลับว่า “แล้วเจ้าคิดว่าเป็นใครเล่า?”
ฉู่สวินหยางถลึงตาใส่เขา พลันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“ที่นี่ก็ไม่ได้หายากเสียหน่อย!” เหยียนหลิงจวินมองผ่านหน้านางไป ทำทีคล้ายสำรวจตรวจตราทั่วห้อง ย้อนถามกลับว่า “ก่อนจะมาทำไมไม่บอกข้าสักคำ?”
เขาถามเหมือนว่ามันเป็นเรื่องทั่วๆ ไป ไม่ได้ติดใจเอาความ
ฉู่สวินหยางพลันร้อนตัว หลบตาเขาตามสัญชาตญาณ ตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าออกมานี่ แล้วซูอี้จะทำอย่างไร?”
“มีอิ้งจื่ออยู่ คงไม่ปล่อยให้เขาตายในคุกหรอก” เหยียนหลิงจวินว่า เสื้อผ้าชุ่มน้ำที่แนบกายทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว คิ้วจึงขมวดตามด้วยความรำคาญ สีหน้าดูไม่สู้ดี
“เจ้าลุกออกมาก่อนเถอะ ข้าจะให้เจี๋ยหงหาเสื้อผ้ามาให้!” ฉู่สวินหยางคิดเล็กน้อย ก่อนจะหมุนกายเดินออกไป
เหยียนหลิงจวินเอนหลังพิงต่อ มองเส้นผมที่ขาดติดอยู่กับโครงฉากกั้น กับกล่องเล็กๆ ที่ใส่ของจุกจิกซึ่งหล่นอยู่ใกล้ๆ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองแผ่นหลังของฉู่สวินหยางที่สะท้อนอยู่บนฉากกั้นลม เขาค่อยๆ ลุกขึ้นพลางก้าวขาออกมาด้านนอก แล้วบิดน้ำที่ปลายเสื้อคลุมและปลายแขนเสื้อให้พอหมาด
ตอนที่เดินออกมา ก็เห็นฉู่สวินหยางยืนละล้าละลังอยู่ที่หน้าประตู
เขาหัวเราะก่อนจะผิวปากเป็นจังหวะสั้นๆ
ฉู่สวินหยางสะดุ้งโหยง หันกลับไปก็เห็นเขาเดินโขยกเขยกตัวเปียกเข้ามาหา
ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก เฉี่ยนลวี่รีบร้อนมาถึง เรียกเสียงเบาว่า “ท่านหญิง…”
ฉู่สวินหยางฝืนเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะเปิดประตูออกฝั่งหนึ่ง
เฉี่ยนลวี่กวาดตามองด้านใน เห็นเหยียนหลิงจวินยืนตัวเปียกอยู่ข้างหลังนางก็ชะงักกึก จากนั้นค่อยเข้าใจเรื่องราว แล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “นายท่านรอสักครู่ บ่าวจะรีบกลับมา!”
พูดจบก็งับประตูให้อย่างเงียบเชียบแล้วจากไปทันที
เหยียนหลิงจวินถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วโยนไปด้านข้าง เสื้อผ้าด้านในแนบติดไปกับตัว แม้แต่กล้ามเนื้อที่หน้าท้องก็ยังอวดให้ได้เห็นรางๆ
ฉู่สวินหยางเบนสายตาหนีอย่างไม่กระดาก
ยังดีที่เฉี่ยนลวี่ทำอะไรว่องไว ไม่นานก็ส่งเสื้อป้ายตัวในมาให้ “ท่านหญิง ทางนี้ไม่มีเสื้อผ้าที่พอดีตัวนายท่าน บ่าวเลยไปรื้อจากลังของคังจวิ้นอ๋องมาให้เจ้าค่ะ นายท่านทนใส่ไปก่อน หากเสื้อผ้าของท่านจัดการเรียบร้อยแล้ว บ่าวจะรีบนำกลับมาให้เจ้าค่ะ!”
เหยียนหลิงจวินรับเสื้อมา ก่อนจะโยนเสื้อคลุมตัวนอกที่ถอดไว้ด้านข้างให้นางไป
เฉี่ยนลวี่เอาแต่หลบเลี่ยงแม้แต่สายตาก็ไม่กล้าชายมอง กอดเสื้อผ้าไว้แล้วหนีหายไปทันที
ฉู่สวินหยางหยิบผ้าสะอาดจากชั้นวางให้เขาผืนหนึ่ง ตัวเองก็หมุนตัวหันหลังให้ นั่งลงข้างๆ โต๊ะที่อยู่นอกเรือน
เหยียนหลิงจวินมองแผ่นหลังนางแล้วหัวเราะ ก่อนจะผลัดเสื้อผ้าเปียกออกอย่างว่องไว
ร่างกายของฉู่ฉีเฟิงยังไม่โตเต็มที่ แต่เพื่อความสบายตัว ปกติเสื้อป้ายตัวในจะตัดให้ค่อนข้างหลวม เขาจึงพอจะสวมเสื้อตัวนั้นได้
เมื่อฉู่สวินหยางไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวที่ด้านหลังแล้ว ก็ค่อยๆ เบนหน้าไปมองอย่างระมัดระวัง
ภายใต้แสงโคม เหยียนหลิงจวินในเสื้อป้ายตัวในสีขาวกำลังนั่งอยู่ที่ขอบเตียง มองมาที่นางด้วยท่าทางสุขุม
เห็นว่านางหันกลับมา เขาจึงยกมือตบที่บนเตียง “มานั่งนี่สิ?”
ฉู่สวินหยางไม่ได้ขยับ ยังคงถามคำถามก่อนหน้านี้ “เจ้าใช้เหตุผลอะไรออกมาจากเมืองหลวง? เจ้าออกมานี่แล้วซูอี้เล่า?”
ที่นางจากมาอย่างไม่คิดจะเอ่ยคำลา ก็เพราะต้องการเล่นละครให้ผู้อื่นเห็นถึงความแค้นระหว่างวังบูรพากับซูอี้ แต่ว่าเหยียนหลิงจวินกลับทำมันให้เป็นเรื่องใหญ่โตเกินจริง
ต่อให้นางจะจากมาโดยไม่บอกลาเขาก่อน เขาก็น่าจะเข้าใจถึงเจตนานี้ดี แต่นี่นางเพิ่งจะก้าวขาออกมา เขาก็ทิ้งซูอี้ไว้ในคุกแล้วตามนางมาติดๆ เสียได้
“ก็คิดเสียว่าข้าหลงสตรีจนลืมสหาย ทิ้งเขาไว้อย่างไม่ไยดีก็แล้วกัน” เหยียนหลิงจวินตอบขำๆ อย่างไม่ใส่ใจ “นี่ไม่ใช่เวลามาวิตกเรื่องนี้ ตอนนี้พวกผู้ดีสูงศักดิ์ทั้งเมืองหลวงคงรู้หมดแล้วว่าข้าตามเจ้าออกจากเมืองหลวงมา คงต้องคิดหาวิธีแล้วล่ะว่าจะกลับไปเก็บกวาดเรื่องนี้อย่างไร!”
เพื่อให้เคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก จำต้องให้ความกระจ่างแก่ทุกคน
ไม่ว่าอย่างไรซูอี้ก็จะไม่เอนเอียงมาหาทัพของวังบูรพาอย่างแน่นอน
—————————————————–