บทที่ 39.3 ปีนกำแพงกลางดึก เปิดสงครามกับพี่เขย (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 39 ปีนกำแพงกลางดึก เปิดสงครามกับพี่เขย (3) Ink Stone_Romance

เหยียนหลิงจวินกับเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ตามหลักแล้วเวลานี้ควรจะวิ่งเต้นช่วยเขา แล้วหมางใจกับวังบูรพาเพื่อเว้นระยะห่าง ละครฉากนี้ถึงจะแสดงได้สมจริงหน่อย

แต่เขากลับไม่ยอมเดินหมากตามที่ควรจะเป็น เขาละทิ้งซูอี้ แล้วไล่ตามฉู่สวินหยางออกจากเมืองหลวงอย่างร้อนใจและเปิดเผย

อย่างไรเสียผู้ที่มีข้อพิพาทต่อกันก็คือวังบูรพากับซูอี้ เหยียนหลิงจวินจะยืนอยู่ข้างไหน…

ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก

เพียงแต่ว่า…

หากชื่อเสียงเรื่องเห็นสตรีสำคัญกว่าสหายถูกแพร่ออกไป อย่างไรก็ไม่เป็นผลดีต่อตัวเขา

อีกอย่าง เห็นชัดว่าเขากำลังเอาคืนฉู่สวินหยางที่จากไปโดยไม่ยอมร่ำลา ถึงได้ลากนางออกมาอยู่ในที่สว่างด้วย

ฉู่สวินหยางอ้าปากค้าง คล้ายว่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ พลันนึกถึงบทสนทนาในวันที่ฉู่ฉีเฟิงเปิดใจคุยกับนางได้ ในใจพลันสับสนขึ้นไปอีก

มุมปากของเหยียนหลิงจวินยกค้าง เอาแต่มองหน้านางไม่หยุด

การถูกจดจ้องเช่นนี้ ยิ่งทำให้ฉู่สวินหยางวุ่นวายใจมากกว่าเดิม

หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง นางถึงก้าวขาเข้าไปหาเขาอย่างเชื่องช้า

เพราะว่านางเอาแต่ก้มหน้ามองพื้นอย่างใจลอย เหยียนหลิงจวินจึงไม่อาจรับรู้อารมณ์ของนางได้ทั้งหมด แค่เห็นนางเดินตรงมาหาตน รอยหยักมุมปากก็ยิ่งกดลึกกว่าเก่า

จากนั้น เขาก็ยื่นมือส่งให้นาง

นิ้วมือของเขาเรียวยาวได้สัดส่วน ฝ่ามือกว้างหนา แสงโคมสะท้อนให้เห็นผิวกระด้างสีอ่อนที่สันมือด้านใน สีสันของมันแฝงความอบอุ่นเอาไว้หลายส่วน

ฉู่สวินหยางจ้องมองฝ่ามือที่ยื่นค้างอยู่กลางอากาศของเขา นางเม้มปากเล็กน้อย เมื่อจิตใจไม่ได้ต่อต้านคัดค้าน จึงวางมือของตนลงบนฝ่ามือของเขา

วินาทีที่ยื่นมือออกไปหา นางพลันรู้สึกถึงความชื้นรอบกรอบตา…

อย่างที่ฉู่ฉีเฟิงพูดไว้ไม่มีผิด สำหรับเรื่องของเหยียนหลิงจวิน นางเหมือนกับแมลงเม่าที่พร้อมบินเข้ากองไฟโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

แม้ว่าฉู่ฉีเฟิงจะพร่ำวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียมาโน้มน้าวนางตั้งมากมาย แต่ปฏิกิริยาแรกของนางเมื่อเหยียนหลิงจวินปรากฏตัวมันหาใช่การผลักไส แต่เป็นการไขว่คว้าอะไรบางอย่างตามจิตใต้สำนึก

ก่อนหน้านี้ที่รีบร้อนขึ้นจากน้ำ บนร่างของฉู่สวินหยางมีเพียงเสื้อคลุมตัวไม่หนาไม่บางเพียงตัวเดียว มือนางจึงค่อนข้างเย็นอยู่บ้าง

เหยียนหลิงจวินจับมือนางไว้ ออกแรงดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดตนอย่างง่ายดาย

เขาหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มมาห่อนางไว้อีกชั้น ก่อนจะฝังหน้าลงมาหอมแก้มนาง “เดี๋ยวก็ป่วยหรอก!”

น้ำเสียงเบาแผ่วเจือแววหยอกล้ออยู่ในที แม้ฟังแล้วไม่ได้อ่อนโยนเอาใจเหมือนอย่างที่ฉู่ฉีเฟิงใช้กับนาง แต่ฉู่สวิน

หยางกลับรู้สึกอุ่นวาบและสะท้านไปทั้งหัวใจ

นางช้อนสายตาขึ้นมองเขา

เมื่อสบตากับนาง หัวใจของเหยียนหลิงจวินพลันกระตุก

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขารู้สึกว่าสายตาของนางในวันนี้ทั้งเจิดจ้าและสับสน มิใช่ความเปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างที่เคยเห็นบ่อยๆ มันเหมือนมีประกายคลื่นโถมผ่าน รอยยิ้มเล็กๆ ที่ควรจะสดใสก็แฝงความเลือนรางไม่ชัดเจน ตอนที่นางมองมายังเขา เหมือนดั่งดอกรุ่งอรุณที่เบ่งบานบนผาหิมะชันสูง ทั้งทะนงตนและโอหังถึงเพียงนั้น แต่ความโดดเดี่ยวและการโรยราของมันนั้น ก็ทำให้คนมองรู้สึกปวดใจยิ่งนัก

ด้วยกลัวเหลือเกินว่า…

หากลมหนาวพัดผ่านมาเมื่อใด พอเขาเงยหน้ามองไปก็จะไม่พบร่องรอยใดใดของนางอีก

ภาพมายาอันว้าวุ่นแล่นผ่านสมองเขา หัวใจของเหยียนหลิงจวินพลันร้อนรนตามไปด้วย “เป็นอะไรไป…”

ยังไม่ทันจบคำ ริมฝีปากก็ถูกเปลวไฟนุ่มร้อนประทับปิดแน่น

ฉู่สวินหยางประคองหน้าเขาไว้แล้วจูบอย่างลึกซึ้ง ริมฝีปากที่เหนี่ยวพันกันให้ความรู้สึกอ่อนหวานยากเกินจะอธิบาย

นางจูบเขาอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังรู้สึกถึงความเก้งก้างไม่ประสา

แต่นี่เป็นครั้งแรกของนาง แม้เสียงหัวใจเต้นจะหลอมรวมกับลมหายใจหอมหวานจนยุ่งเหยิงไปหมด แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น…

เหยียนหลิงจวินพยายามอดกลั้นอย่างสุดชีวิต เขาฝืนไม่จูบตอบ คล้ายกลัวว่าหากตนขยับเพียงนิดเดียว จะทำให้ความงดงามที่อยู่ในมือของเขาแตกสลายหายไป

สุดท้าย ฉู่สวินหยางก็ฝังหน้าลงกับซอกคอของเขา ไม่ขยับเขยื้อนอีก

“ซินเป่า…” ถึงตอนนี้เหยียนหลิงจวินจึงกล้าเปิดปากทำลายความเงียบ เสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบพร่า ทั้งยังเจือการหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง ฝ่ามือที่ประครองอยู่บนแผ่นหลังนางร้อนผ่าวจนยากจะทนไหว ไม่รู้เป็นเพราะถูกผ้าห่มคลุมจนร้อน หรือเพราะอุณหภูมิของทั้งสองที่พุ่งสูงขึ้นกันแน่

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” เขายกมือลูบผมที่หมาดของนาง “มีใครทำให้เจ้าโมโหหรือ?”

“เหยียนหลิง…” ฉู่สวินหยางทิ้งตัวในอ้อมแขนเขา น้ำเสียงเจือความเศร้าสร้อยชัดเจน “ในเมื่อครั้งนี้เจ้าจากมาแล้ว ก็อย่าได้กลับไปอีกเลยนะ”

รอยยิ้มมุมปากของเหยียนหลิงจวินยกค้างแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น

คืนนี้ตั้งแต่ที่สองคนสบตากัน เขาก็สัมผัสได้ว่าฉู่สวินหยางมีบางอย่างผิดปกติ พอมาได้ยินวาจาเช่นนี้ก็ยิ่งมั่นใจ…

นางแปลกไปจริงๆ!

“เกิดอะไรขึ้น?” เขาถาม ยกมือดันนางออกจากอกเพื่อให้เห็นหน้า ฉู่สวินหยางไม่ยอมขยับ เอาแต่ฝังหน้าอยู่ที่ไหล่ของเขาแล้วเอ่ยเสียงนุ่มเบาทว่าแจ่มชัดว่า “ข้าคิดดูแล้ว ข้าเอาแต่ยื้อเจ้าไว้ผูกมัดเจ้าไว้แบบนี้ มันไม่ยุติธรรมต่อเจ้า ดังนั้นก็ฉวยโอกาสนี้ไว้ เจ้าไปเสียเถอะ กลับไปที่หนานฮวา กลับไปอยู่ข้างกายบิดาเจ้า เชื่อข้าเถอะว่าเขา…ต้องการเจ้ามากกว่าข้า!”

ฉู่สวินหยางพูดทุกอย่างจนจบแล้ว ถึงกล้าถอนหายใจอย่างโล่งอก นางยอมเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่เขา แล้วคิดจะผละตัวหนีห่าง

อารมณ์ของเหยียนหลิงจวินสั่นไหว รู้เพียงว่าในสมองมีเสียงดังวุ่นวายกึกก้อง ทว่าสัญชาตญาณกลับสั่งให้เขาเกร็งแขนไว้แน่นไม่ยอมให้นางหนี

ถึงแม้จะยังพอรักษารอยยิ้มไว้ได้ แต่อารมณ์บนหน้าเขาก็แข็งทื่อเต็มที “ซินเป่า เจ้าเคยสัญญากับข้า…”

“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว!” ฉู่สวินหยางตอบด้วยน้ำเสียงรวบรัด หางเสียงของทุกคำช่างลื่นไหลเด็ดเดี่ยว “เจ้าไปเสียเถอะ!”

“ทำไม?” เหยียนหลิงจวินไม่อาจรักษาสีหน้าไว้ได้อีกแล้ว ในอกพลันมีลูกไฟพลุ่งพล่าน แต่เขากลับหาทางระบายไม่เจอ สายตาของเขาตวัดมองรอบห้องทีหนึ่ง ทั้งรู้สึกว่าท่าทีร้อนเย็นที่เปลี่ยนในเสี้ยววินาทีของนางนั้นยากเกินกว่าหัวใจตนจะรับไหว “เจ้าบอกว่าท่านพ่อกับพี่ชายของเจ้าสำคัญ ข้าก็ไม่เคยคิดจะแย่งชิงตำแหน่งที่หนึ่งของพวกเขาในใจเจ้า เจ้าบอกว่าตอนนี้เจ้ายังมีเรื่องต้องจัดการ เจ้าไม่อาจรับปากเรื่องอนาคตกับข้าได้ ข้าก็ไม่เคยบังคับ…”

———————————————-