บทที่ 39.4 ปีนกำแพงกลางดึก เปิดสงครามกับพี่เขย (4)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 39 ปีนกำแพงกลางดึก เปิดสงครามกับพี่เขย (4) Ink Stone_Romance

“อนาคตแบบนั้นข้าก็เคยคิดถึงมัน” ฉู่สวินหยางตัดบทเขา น้ำตาพลันร่วงลงมาอย่างไม่บอกกล่าว ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน นางมองเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่ก็นั่งตัวตรงเผชิญหน้ากับเขา “เหยียนหลิง ชีวิตข้าติดค้างท่านพ่อกับท่านพี่มากมายเหลือเกิน หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ผูกมัด ข้าก็อยากจะลองดูกับเจ้าสักครั้งว่าความรักระหว่างชายหญิงเป็นอย่างไร แต่ว่าตอนนี้… ข้าไม่กล้า!”

“ข้ามิอาจเห็นแก่ตัว ถึงแม้ข้าจะเคยคิดอยากหนีตามเจ้าไป หนีไปจากความถูกผิดทั้งหมด แต่ก่อนที่เรื่องราวทุกอย่างจะจบลง ข้าไม่อาจไปไหนได้ทั้งนั้น ชาติกำเนิดของข้าไม่มีทางลบหายไปพร้อมกับการจากไปของข้า ต่อให้ข้าจะซ่อนตัวอยู่ที่สุดขอบปลายฟ้า แต่เมื่อใดที่ความจริงถูกเปิดเผย ท่านพ่อกับท่านพี่ก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก”

เหตุการณ์ในชาติก่อน นางไม่อาจทนเห็นมันซ้ำรอยได้ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็จะอยู่เคียงข้างพวกเขา

น้ำตาของนางไหลพราก ไม่นานเหยียนหลิงจวินก็มือไม้สับสน เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้นางอย่างร้อนรน เมื่อปลายนิ้วสัมผัสกับของเหลวที่ไหลลงมา หัวใจของเขาก็สั่นไหวไปด้วย

“เจ้าไปเถอะนะ!” ฉู่สวินหยางมองเขา น้ำเสียงที่ออกมาเด็ดขาดมากขึ้นทุกที “ไปจากที่นี่ กลับไปอยู่ข้างกายบิดาเจ้า หากว่าเจ้ายินยอม ก็ให้เวลาข้าสักหน่อย ให้ข้าจัดการเรื่องของตัวเองจนเรียบร้อย ถ้าหากถึงเวลานั้น…”

“แล้วมันคือเมื่อไร?” นางไม่อาจหยุดน้ำตาได้ เช็ดอย่างไรก็เช็ดไม่หมด เหยียนหลิงจวินก้มหน้าไปจูบซับรอยน้ำตาที่หางตานาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบอย่างไม่พอใจว่า “สามปี? ห้าปี? หรือว่าสิบปี? สถานการณ์ของเจ้าตอนนี้เป็นอย่างไรยังไม่ต้องพูดถึง ถ้าจะให้รอจนถึงตอนนั้นจริงๆ…ซินเป่า ข้ามิใช่รอเจ้าไม่ได้ แต่กลัวว่าพอถึงเวลานั้นทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด ถ้าต้องรอสิบปีจริงๆ เจ้าจะยังรู้จักข้าอยู่หรือไม่? จะยังจำข้าได้หรือเปล่า? หากว่ามันเป็นแค่หน้าที่ความรับผิดชอบ สุดท้ายแล้วเจ้าได้มาอยู่ข้างกายข้า แต่ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เจ้าจะยังรู้สึกต่อข้าเหมือนอย่างตอนนี้อยู่ไหม?”

นิ้วของเขาปัดผ่านเบาๆ ที่ข้างแก้มนาง เบื้องลึกในดวงตาสะท้านเงาสั่นไหวอย่างรุนแรง

เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขาไม่เคยมั่นใจในตัวเองสักครั้ง

เพื่อพ่อและพี่ชายของนาง นางสามารถข่มความรู้สึกและชีวิตของตนไว้ในจุดที่ด้อยค่าที่สุด ส่วนเขา…

ก็เก็บงำความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างระมัดระวัง เพราะกลัวจะพลาดพลั้งเผลอทำอะไรให้นางผลักเขาออกไกล ไกลจนเอื้อมมือไม่ถึงนางอีก

ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าจากไปไหน และไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!

เขาก้มหน้าลงไปจูบที่ริมฝีปากนาง

ฉู่สวินหยางไม่ได้หลบหลีก ทั้งยังตอบรับเขาอย่างแผ่วเบา

สัมผัสที่เคล้าด้วยน้ำตา รสจูบที่เหลือทิ้งไว้ในใจจึงมีเพียงความขมฝาด ความรู้สึกชัดเจนสลักแน่นอยู่กลางอก สุดท้ายกลับกลายเป็นความเจ็บแปลบ

“เห็นอยู่ว่าเจ้าไม่ได้รังเกียจข้า…” ปากเขากดแนบอยู่บนริมฝีปากนาง บดนวดแผ่วเบา เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มจนใจ “ซินเป่า ทำไมจะต้องทำเรื่องที่ทรยศหัวใจตัวเองด้วยเล่า?”

ความจริงนางก็เริ่มเปิดใจยอมรับเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมให้เขาใกล้ชิดสนิทสนมถึงเพียงนี้

แต่คำพูดที่บังคับให้เขาจากไปนั่นก็เด็ดขาดเสียจนไม่เหลือโอกาสให้เขาเลย

สองคนมีเสื้อผ้าบนตัวไม่มากและนั่งซ้อนเกยกันอยู่ อุณหภูมิของฝ่ายหนึ่งจึงทอดผ่านอาภรณ์เนื้อบางส่งผ่านไปถึงเนื้อกายของอีกคน

มือข้างหนึ่งของเหยียนหลิงจวินยังเกาะอยู่ที่เอวของฉู่สวินหยาง เอวบางนุ่มนิ่มใต้เสื้อผ้าของนางอยู่ใต้ฝ่ามือเขาทั้งหมด

ตอนนี้นางกำลังนั่งพาดตัวบนขาของเขา เสื้อคลุมเผยอออกเล็กน้อย เผยให้เห็นขาเรียวได้รูป ข้อเท้าเรียบเนียน นิ้วเท้าขาวผ่องน่ามอง และเล็บที่สะท้อนแสงมันวาวเหมือนเปลือกหอย

ความสนิทสนมเช่นนี้ ทั้งเพิ่งผ่านการจุมพิตอย่างลึกซึ้งจนหวั่นใจ กายเนื้อส่วนที่สัมผัสแนบชิดคล้ายว่าจะร้อนผ่าวจนแทบไหม้

ใบหน้าของเหยียนหลิงจวินก็แดงเรื่ออย่างผิดปกติ เขาพยายามควบคุมลมหายใจให้สงบ บังคับสายตาให้มองไปทางอื่นแทนภาพตรงหน้า

เขาอุ้มฉู่สวินหยางขึ้นแล้ววางนางไว้บนเตียง จากนั้นก็ยกมือจัดเสื้อคลุมนางให้เรียบร้อย ขยับผ้าปิดขาเรียวเล็กจนมิด แล้วดึงผ้าห่มมาพร้อมกดนางให้นอนลง

ฉู่สวินหยางไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้เขาจัดการไป เพียงใช้สายตาซับซ้อนมองตามเขาไม่หยุด

เหยียนหลิงจวินเหน็บชายผ้าห่มจนเสร็จ จากนั้นก็ก้มจูบที่หน้าผากนางอีกรอบ

ตอนที่ผละตัวออกนั้นเอง ฉู่สวินหยางกลับยกมือมาโอบคอเขาไว้ ฝังหน้าลงกับซอกคอของเขา เอ่ยเสียงไม่สบายใจ “ถ้าเจ้ายังไม่วางใจ…นอกจากคำสัญญา ข้าให้เจ้าได้หมดทุกอย่าง แต่ช่วงนี้เจ้าจะจากไปก่อนได้หรือไม่?”

เสียงของนางแผ่วเบาและแหบพร่า ฟังแล้วคล้ายคำขอร้องอันไร้ราคา

ร่างของเหยียนหลิงจวินพลันแข็งทื่อ เขานิ่งไปนานแล้วแกะนางออกจากร่างตน จับนางยัดเข้าผ้าห่มดังเก่า ยกมือลูบหน้าผากนาง “ฟ้าสว่างแล้ว นอนเถอะ!”

พูดจบก็รีบหยัดกายลุก ปลดม่านเตียงลงมาให้

ภาพเบื้องหน้าถูกบดบัง ฉู่สวินหยางซุกตัวเข้าขอบด้านในของเตียง

เหยียนหลิงจวินหยิบเสื้อที่เปียกติดมือมา ตอนที่ออกมาก็เห็นเฉี่ยนลวี่ยืนประคองเสื้อคลุมของเขาที่อบจนแห้งเอาไว้ ไม่รู้นางมารออยู่หน้าห้องตั้งแต่เมื่อไร

“นายท่าน!” เห็นเขาออกมา เฉี่ยนลวี่ก็ปรี่เข้าไปแล้วส่งชุดให้ทันที

เหยียนหลิงจวินรับมาไว้ สะบัดเสื้อคลุมร่างก่อนจะกระโดดข้ามกำแพงหายวับไป

————————————

เมื่อคืนฉู่สวินหยางนอนหลับไม่ดีนัก ตื่นเช้าขึ้นมาดวงตาจึงมีรอยช้ำบางๆ ให้เห็น ฉู่ฉีเฟิงเห็นแล้วก็สงสาร คิดจะเปลี่ยนแผนมาหยุดพักผ่อนอยู่ที่เรือนแทน แต่ฉู่สวินหยางไม่เห็นด้วย แล้วทำตัวเหมือนคนไม่มีการไม่มีงานพาเขาเข้าตรอกเล็กทะลุตรอกใหญ่มั่วไปหมด

นางไม่แน่ใจว่าเหยียนหลิงจวินจากไปแล้วหรือยัง แต่ก็พยายามทำตัวปกติ เพราะกลัวว่าใครจะมองออก

ฉู่ฉีเฟิงมองนางเงียบๆ คิดแล้วคิดอีกสุดท้ายก็ตัดสินใจเร่งฝีเท้าไล่ตามนางจนทัน แสร้งถอนหายใจเหมือนเอ่ยเรื่องดินฟ้าอากาศ “ได้ยินว่าเมื่อคืนองครักษ์ที่นอกเรือนถูกทำให้สลบไปหลายคน!”

สีหน้าของเขานิ่งเรียบ ดูไม่มีเจตนาหยั่งเชิง แต่หัวใจของฉู่สวินหยางก็อดจะเต้นแรงไม่ได้ นางเงยหน้ามองเขาอย่างแปลกใจ แต่ยังไม่ทันได้เปิดปาก ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทักทายดังมาจากด้านหลัง “ท่านหญิง ท่านชาย ช่างบังเอิญเสียจริง!”

พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเป็นเหยียนหลิงจวินเดินยิ้มระรื่นเข้ามา

เดิมทีฉู่ฉีเฟิงก็เคลือบแคลงใจอยู่แล้ว พอเห็นเขาปรากฏตัวขึ้นก็เข้าใจทุกอย่าง ชักหน้าตึงทันที

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

“แน่นอนว่ามาทำงาน!” เหยียนหลิงจวินตอบ รอยยิ้มบนหน้านุ่มนวลดั่งลมวสันต์ แต่นัยน์ตากลับแฝงความหนาวเหน็บ…

หากมิใช่ไอ้หน้าเหม็นผู้นี้ใช้วิธีสกปรก เขาก็คงไม่ต้องวุ่นวายไล่ตามมาไกลถึงเพียงนี้

แต่ที่น่าโมโหที่สุดก็คือ…

————————————————–