บทที่ 39.5 ปีนกำแพงกลางดึก เปิดสงครามกับพี่เขย (5)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 39 ปีนกำแพงกลางดึก เปิดสงครามกับพี่เขย (5) Ink Stone_Romance

คืนวานกว่าเขาจะหาฉู่สวินหยางพบอย่างยากลำบาก ทั้งยังต้องมาเจอความเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเห็น จะต้องเป็นไอ้หน้าเหม็นที่ใส่ไฟเขาต่อหน้าฉู่สวินหยาง จนทำให้นางหวั่นไหวและสับสนแบบนี้

ในใจแม้จะเจ็บแค้น แต่สีหน้าของเหยียนหลิงจวินก็ยังคงรอยยิ้มเป็นมิตรไว้เช่นเดิม

 “ท่านผิงกั๋วกงบาดเจ็บหนัก ฝ่าบาทสั่งให้ข้ามาดูแล!”

เจิ้งตั๋วบาดเจ็บก็ใช่ว่าในค่ายไม่มีหมอ ต่อให้ฮ่องเต้อยากจะส่งใครสักคนมาเพื่อปลอบขวัญทัพทหาร สำนักหมอหลวงมีคนตั้งมากมาย ทำไมต้องให้เหยียนหลิงจวินมาเองด้วย? ไม่ต้องคิดก็พอรู้ เขาคงจะออกหน้าขันอาสา เมื่อเป็นเช่นนี้ ข่าวว่าเขาไล่ตามฉู่สวินหยางลงใต้คงแพร่ไปทั่วเมืองหลวงแล้ว

“ในเมื่อใต้เท้าเหยียนหลิงมีงานต้องทำ เช่นนั้นพวกข้าก็ไม่รบกวนเวลาแล้ว เชิญเถอะ!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว แล้วคว้าข้อมือฉู่สวินหยางเดินหนีทันที

นัยน์ตาเหยียนหลิงจวินทอแสงเดือดดาล ตอนที่ทั้งสองเดินผ่านเขา ก็ยกมือคว้าแขนอีกข้างของฉู่สวินหยางเอาไว้

“บาดแผลของท่านผิงกั๋วกงมิได้หนักหนา ข้าน้อยตอนนี้ไม่ยุ่งเลยสักนิด ว่าแต่คังจวิ้นอ๋องท่านนั้นได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้มาที่นี่ แนวรบตอนนี้ตึงเครียดหนัก แต่กลับไม่เคยโผล่หน้าไปดูเลย? หากว่าฝ่าบาทตรัสถามขึ้นมา คงจะแก้ตัวลำบากกระมัง?” เหยียนหลิงจวินกล่าว แค่ชั่วพริบตา แม้รอยยิ้มจะยังสง่าน่าชมแต่ก็แฝงเจตนายั่วยุอย่างโจ่งแจ้ง “ความจริงคังจวิ้นอ๋องจะไปคุมทัพก่อนก็ได้ ท่านหญิงทางนี้ข้าน้อยจะดูแลให้เป็นอย่างดี ท่านยังมีอะไรให้กังวลอีกเล่า?”

ฉู่ฉีเฟิงลดสายตามองที่มือของเขา แล้วใช้พัดในมือปัดข้อมือของเหยียนหลิงจวิน

ดวงตาเหยียนหลิงจวินสว่างวาบ ฝ่ามืออีกข้างกระแทกลมใส่พัดในมือเขาออกไป

สองคนใช้กำลังภายในตีกันอยู่กลางถนน

ฉู่สวินหยางคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะลงมือกันอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ เมื่อครู่นางที่ตกอยู่ในฐานะคนกลางเพิ่งจะได้สติคืนมา

“ท่านพี่…” นางขมวดคิ้ว พยายามดึงแขนเสื้อของฉู่ฉีเฟิงด้วยท่าทีร้อนใจ

เดิมก็แค่อยากจะแยกมือที่จับกันของคนทั้งสองออก แต่วินาทีที่เห็นสายตาเช่นนั้นของฉู่สวินหยางเหลือบมองไปทาง

ฉู่ฉีเฟิง ในใจของเหยียนหลิงจวินพลันเกิดไฟกองหนึ่งลุกพรึบขึ้นมาทันที

หัวคิ้วของเขากดแน่น ฝ่ามือที่ผลักด้ามพัดอยู่พลิกกลับแล้วเปลี่ยนทิศทาง มันสะบัดอ้อมวนไปมา ลอดผ่านการป้องกันของฉู่ฉีเฟิง ก่อนจะตบใส่ที่หน้าท้องของเขา

ฉู่ฉีเฟิงแค้นใจ เอนตัวหลบไปด้านหลังจนพ้นฝ่ามือของเขา นิ้วมือควบคุมพัดอย่างคล่องแคล่ว แล้วตบลงที่เสื้อของ

เหยียนหลิงจวิน

มือของทั้งคู่เหมือนหยอกล้อกันไปมา ท่วงท่าว่องไวล้ำเลิศ ขนาดคนที่มีพื้นฐานพลังไม่เลวอย่างเจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่ยังมองตามจนตาพร่าไปหมด

คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนต่างก็หยุดมองด้วยคิดว่าเป็นการแสดงกายกรรม หาได้รู้สึกถึงไอสังหารที่แฝงอยู่ในทุกกระบวนท่าที่โต้ตอบไปมาของทั้งสองคนไม่

พัดของฉู่ฉีเฟิงที่ตบลงมายิ่งกระตุ้นเหยียนหลิงจวินให้โมโห ขณะที่ก้มตัวหลบก็ยื่นเท้ากวาดไปทางเขา

ระหว่างพวกเขา นี่ไม่ใช่เรื่องอารมณ์ชั่ววูบอีกต่อไป แต่เป็นการเอาจริง

แรกสุดคนทั้งสองต่างก็จับข้อมือฉู่สวินหยางไว้ไม่มีใครยอมปล่อย ตอนนี้พอสถานการณ์ดุเดือดจึงไม่ทันสนใจอย่างอื่นอีก พวกเขาแทบจะคลายมือออกพร้อมๆ กัน ต่างฝ่ายต่างถอยกันไปคนละฝั่ง

ฉู่ฉีเฟิงอับอายจนกลายเป็นโทสะ พลิกมือชักดาบยาวออกจากเอวของเจี่ยงลิ่ว

เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่เห็นว่าเหยียนหลิงจวินกำลังจะเสียเปรียบ ขณะที่สายตาสอดส่ายมองหาอาวุธที่พอจะช่วยเขาได้ เหยียนหลิงจวินก็แสยะยิ้มเย็น แล้วดึงมีดสั้นออกมาจากขลุ่ยยาวที่พกติดกาย

ใครๆ ก็มองออก มาถึงจุดนี้แล้วย่อมไม่มีผู้ใดอ่อนข้อ สองคนพุ่งตัวเข้าหากันตวัดมีดดาบฟาดฟันจนแยกฝั่งไม่ออก

เจี๋ยหงกับพวกเจี่ยงลิ่วต่างก็ยืนมุงอยู่ด้านนอกด้วยความร้อนรน ผู้คนที่ล้อมดูเห็นว่าเริ่มชักดาบเล่นมีดกันจริงแล้ว เพราะกลัวจะโดนลูกหลงบาดเจ็บจึงพากันถอยห่างไปไกล

ฉู่สวินหยางยืนอยู่บนถนน มองสองคนที่ประมือกันด้วยสีหน้าบึ้งตึง ห้ามปรามสักคำก็หามีไม่ เพียงสะบัดชายแขนเสื้อแล้วเบียดแทรกฝูงชนเดินจากไปลำพัง

สองคนกำลังฟาดฟันดุเดือด แม้แต่ผู้ชมอย่างพวกเจี๋ยหงก็จดจ่ออยู่กับสงครามย่อมๆ เบื้องหน้า ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงการหายตัวไปของฉู่สวินหยาง

ฉู่ฉีเฟิงกับเหยียนหลิงจวินต่างก็ไม่ชอบขี้หน้ากันมาแต่แรก ทั้งคู่ประมือกันไม่หยุดจนไปถึงหลังคาของโรงน้ำชาข้างๆ ต่างฝ่ายก็หน้าดำหน้าแดงไม่มีใครยอมใคร

ช่วงที่วุ่นวายนั้นเอง เป็นเหยียนหลิงจวินที่โฉบสายตาลงไปมองด้านล่างทีหนึ่ง พอไม่เห็นร่างของฉู่สวินหยาง อารมณ์ก็เริ่มสงบขึ้น

ฉู่ฉีเฟิงโจมตีเขาจนร่นถอยไปก้าวหนึ่ง เดิมวางแผนจะกระโจนใส่ซ้ำ แต่พอไล่ตามสายตาของเหยียนหลิงจวินไป ถึงค่อยพบว่าหาฉู่สวินหยางไม่เจอแล้ว

ทั้งคู่ต่างไม่มีกะจิตกะใจจะสู้ต่อ โดยเฉพาะฉู่ฉีเฟิง…

เมื่อครู่เลือดขึ้นหน้าจนไม่ทันได้สังเกต พอสายตากวาดผ่านฝูงชนที่ชมดูอย่างหนาแน่นแล้วถึงได้ร้อนใจขึ้นมาทันที

“เลิกตามมาเกาะแกะเสียที ไม่อย่างนั้น…ข้าจะไม่เกรงใจอีกแน่!” ฉู่ฉีเฟิงสะบัดชายเสื้อเพื่ออำพรางรอยขาดจุดหนึ่งบนตัว ก่อนเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

เขาทำเสียงขึ้นจมูกใส่ แล้วกระโดดนำลงจากหลังคาไปก่อน

เหยียนหลิงจวินยกมือเช็ดแก้มซ้ายที่ถูกบาดเป็นแผลบางๆ แล้วกระโจนตามลงมา เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่แพ้กัน “ข้าไม่ได้ตามเจ้าเสียหน่อย…จะหลงตัวเองทำไม?”

ฉู่ฉีเฟิงฟังแล้วสำลักจนหน้าแดง หันขวับไปถลึงตาใส่เขาอย่างโมโห “เจ้า!”

เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่เห็นรอยแผลข้างแก้มเหยียนหลิงจวินก็เป็นห่วง กำลังจะเข้าไปหา แต่ถูกสายตาเป็นนัยของเหยียนหลิงจวินหยุดเอาไว้ก่อน

ตอนนี้ฉู่ฉีเฟิงไม่ชอบขี้หน้าเขา แต่เพราะสาวใช้ทั้งสองเป็นคนของฉู่สวินหยางจึงไม่ได้พูดอะไร แต่ถ้าทั้งคู่แสดงจุดยืนต่อหน้าคนกลางถนนเช่นนี้ ฉู่ฉีเฟิงก็จะมีเหตุผลที่จะใช้ไล่ตะเพิดคนแล้ว

สาวใช้ทั้งสองก็ฉลาดหัวไว แม้จะกังวลแต่ก็รีบหุบปากฉับ

ฉู่ฉีเฟิงโบกมือ ลมหอบใหญ่พร้อมพลังสายหนึ่งพัดคนจากไปทันที สาวใช้ทั้งสองกระวีกระวาดไล่ตาม แต่ก่อนไปก็ยังหันกลับมามองเหยียนหลิงจวินอย่างเป็นห่วง

เหยียนหลิงจวินยืนนิ่งอยู่กับที่ จนกระทั่งคนกลุ่มนั้นหายไปไม่เห็นเงาแล้วถึงได้เก็บอาวุธ เขาเดินฝ่าฝูงชนที่กระซิบกระซาบเสียงเซ็งแซ่ออกไปด้วยสีหน้าไม่ยี่หระ

ฉู่ฉีเฟิงเร่งกลับเรือนพักเมืองตะวันตกโดยไม่หยุดเท้า ได้ยินองครักษ์ที่อยู่เวรรายงานว่าฉู่สวินหยางกลับมาถึงแล้ว ถึงค่อยผ่อนลมอย่างโล่งอก เขาไล่ผู้ติดตามอยู่ออกไป จากนั้นก็สาวเท้าเข้าด้านในทันที

เวลานี้ฉู่สวินหยางปิดประตูเรือนอารมณ์เสียอยู่ด้านในเพียงลำพัง

เติบใหญ่มาขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกของฉู่ฉีเฟิงที่ทำเรื่องเหลวไหลไม่คำนึงถึงฐานะเช่นนี้ หลังจากจบเรื่องตนเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก และเมื่ออยู่ต่อหน้านางก็ยิ่งรู้สึกผิดขึ้นหลายส่วน เท้าเขาย่ำวนไปวนมาที่ลานด้านหน้าอยู่หลายรอบ ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าแล้วตัดสินใจเคาะประตู

ฉู่สวินหยางนอนฟุบอยู่บนตั่งยาว ใช้หมอนนุ่มทับศีรษะเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะเคาะอย่างไรก็ไม่ส่งเสียงตอบ…

แม้นางจะรู้มาตลอดว่าฉู่ฉีเฟิงไม่ชอบเหยียนหลิงจวิน แต่นึกไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะย่ำแย่ถึงขนาดเหมือนน้ำกับไฟ ไม่มีใครยอมใครราวกับเป็นศัตรูคู่แค้น ตอนนี้นางรู้สึกสับสนยิ่งนัก

ไม่ใช่ว่านางโกรธใคร แค่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำเช่นไรต่างหาก

อีกคนเป็นพี่ชายที่นางจะไม่มีวันทอดทิ้ง ส่วนอีกคน…

ไม่ว่านางจะพูดจนปากเปียกปากแฉะเท่าไร ก็ดื้อรั้นไม่ยอมปล่อยมือนางอย่างเหยียนหลิงจวิน

สองคนนี้ นางไม่อาจเลือกใครได้เลย

“สวินหยาง? เจ้าเปิดประตูก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย!” ฉู่ฉีเฟิงเคาะประตูอยู่ครึ่งวันแต่ไร้เสียงตอบกลับ เพิ่งจะเปิดปากเรียกนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังมาจากด้านบนทันที

ฉู่ฉีเฟิงพลันเดือดจัด เงยหน้าขึ้นก็เห็นเหยียนหลิงจวินนั่งอยู่บนกำแพงด้านข้าง มองเขาด้วยสายตาเย็นชา

รอบข้างเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียง ชัดเจนว่า…

องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกต้องถูกเขาวางยาจนสลบไปแล้ว!

—————————————————-