บทที่ 40 ชายแดนเหนือเกิดเรื่อง ฮ่องเต้กระอักเลือด (1) Ink Stone_Romance
คนผู้นี้ ไม่รู้จักจบจักสิ้นจริงๆ!
“ข้าบอกแล้วไง ว่าไม่ให้ตามมา!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าแข็งทื่อ มือไพล่หลังยืนจ้องเขม็งไปที่เหยียนหลิงจวินซึ่งนั่งอยู่บนกำแพงอย่างสบายอารมณ์
มุมปากเหยียนหลิงจวินกระตุกเป็นรอยยิ้มเยาะ ยั่วโมโหราวกับตนเป็นผู้น้อยที่เหนือกว่า เอ่ยว่า “ข้าก็เคยบอกแล้วไง ว่าไม่ได้มาหาเจ้า!”
“เจ้า…” ฉู่ฉีเฟิงอยากจะตอกกลับบ้าง แต่พอเหลือบไปมองเรือนด้านหลังที่ปิดสนิท ในใจก็กลัวๆ อยู่บ้าง
เขาเข้าใจฉู่สวินหยางดี แม้เขาจะไม่ชอบเหยียนหลิงจวิน แต่หากแสดงออกชัดเจนเกินไป ก็มีแต่จะทำให้ฉู่สวินหยางลำบากใจเท่านั้น
ดังนั้น แม้ฝีปากของเขาจะไม่ด้อยไปกว่าเหยียนหลิงจวิน แต่ครานี้กลับไม่ได้แสดงความสามารถออกมา
ฉู่ฉีเฟิงสูดหายใจลึกเพื่อข่มความโมโห ในที่สุดก็ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงได้ เอ่ยว่า “ไปคุยกันที่อื่น”
เหยียนหลิงจวินเข้าใจดีว่าเขาเป็นอุปสรรคกั้นกลางระหว่างตนกับฉู่สวินหยาง จึงเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดลงมาจากกำแพง
ฉู่ฉีเฟิงมองเขาทีหนึ่ง ยกชายเสื้อคลุมแล้วเดินนำออกไป
เหยียนหลิงจวินเหยียดริมฝีปากป็นเส้นตรง ก้าวขาตามหลังไปด้วยสายตาเย็นเยียบ
เมื่อไปถึงโถงด้านหน้า เจี่ยงลิ่วก็เดิมตามมาเพื่อจะรินน้ำชาให้แต่กลับถูกฉู่ฉีเฟิงห้ามไว้ก่อน เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้ ตอนที่มองหน้าเหยียนหลิงจวินก็ส่งสายตาไม่เป็นมิตรให้อย่างเปิดเผย เอ่ยว่า “เจ้าต้องการอะไร?”
“ข้าน่าจะเป็นคนถามมากกว่า!” เหยียนหลิงจวินยิ้ม เลือกเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่เยื้องไปเล็กน้อยแล้วนั่งลง เลิกคิ้วถามว่า “ข้าก็หลงคิดว่าคังจวิ้นอ๋องเป็นวิญญูชนผู้หนึ่ง แต่การยุแยงลับหลังประเภทนี้ก็ทำได้ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว!”
ฉู่ฉีเฟิงร้องเหอะแล้วแสยะยิ้ม ไร้ท่าทีละอายต่อคำเสียดสีของเขาโดยสิ้นเชิง เพียงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าเคยบอกให้เจ้ารักษาระยะห่างกับสวินหยาง เจ้าไม่เพียงไม่ฟัง ตอนนี้ยังกระพือข่าวให้แพร่ไปทั่วเมือง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีแผนอะไร คิดจะใช้ไม้นี้มาบีบท่านพ่อให้ยอมรับเจ้า? เจ้าคิดว่ามันจะเป็นไปตามเจ้าต้องการอย่างนั้นรึ?”
“ถ้าข้าจำไม่ผิด องค์รัชทายาทยังไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักคำ ทั้งหมดนี่คงเป็นคังจวิ้นอ๋องเจ้าที่คิดไปเองคนเดียว?” เหยียนหลิงจวินกล่าว เอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่รีบร้อน “ข้าไม่สนว่าความสัมพันธ์พี่น้องของเจ้ากับท่านหญิงเป็นอย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าควรรู้ไว้ เจ้าคือพี่ชายไม่ใช่บิดา เรื่องระหว่างข้ากับนาง เจ้าจะไม่พอใจก็ดี แต่เจ้าไม่มีสิทธิมาตัดสินหรือว่าคิดแทนนาง!”
“ว่าไงนะ? นี่เจ้ากำลังสอนข้าอย่างนั้นรึ?” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มเยาะ
เหยียนหลิงจวินกระตุกมุมปาก ไม่ได้ยอมรับหรือว่าปฏิเสธ
บรรยากาศในเรือนพลันเงียบกริบ สถานการณ์ระหว่างทั้งสองตึงเครียดอย่างยิ่ง คล้ายว่าไม่อาจสนทนาต่อได้อีก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาต่างก็รู้ดีถึงความดื้อดึงและไม่ยอมถอยของอีกฝ่าย แม้จะเปิดใจพูดจากัน แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม
เหยียนหลิงจวินไม่มีทางปล่อยมือ ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่มีวันอยู่เฉยปล่อยให้ฉู่สวินหยางต้องเสี่ยงอันตรายเป็นอันขาด
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความเกลียดชัง ไม่ทันรู้ตัวว่าท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีมืดตั้งแต่เมื่อไร
จู่ๆ เจี่ยงลิ่วก็พรวดพราดเข้ามา เอ่ยด้วยสีหน้าร้อนรนว่า “ท่านชาย แย่แล้ว ท่านหญิงหายตัวไปขอรับ!”
ฉู่ฉีเฟิงกับเหยียนหลิงจวินพลันชะงักกึก เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างพร้อมเพรียง
“เมื่อครู่เจี๋ยหงจะเข้าไปถามท่านหญิงเรื่องอาหารเย็น เคาะประตูอยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบ ถึงได้ถือวิสาสะบุกเข้าไปโดยพลการ พบว่าในห้องว่างเปล่าไร้คน ไม่มีร่องรอยของท่านหญิงเลยขอรับ!” เจี่ยงลิ่วตอบ ก่อนจะมาที่นี่ เขาได้ค้นหาทั้งในและนอกจวนแล้ว จึงร้อนใจเสียจนเหงื่อแตกเต็มหน้า
สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงเปลี่ยนไปทันที เขาไม่ถามมากความ ก็ก้าวขายาวๆ จากไป
ตอนที่พวกเขามาถึงเรือนของฉู่สวินหยาง ก็เห็นเฉี่ยนลวี่กับเจี๋ยหงสองคนกำลังเดินวนไปวนมาในเรือนอย่างขวัญหาย
“ท่านชาย ใต้เท้าเหยียนหลิง!”
“ไม่เจอรึ?” สายตาของฉู่ฉีเฟิงกวาดเข้าไปมองด้านในเรือนทีหนึ่ง พอไม่เห็นฉู่สวินหยาง สีหน้าก็ยิ่งร้อนรนตามไปด้วย
“ไม่เจ้าค่ะ!” เฉี่ยนลวี่ตอบ น้ำเสียงลนลานไปหมด “ด้านในหาจนทั่วแล้ว ในเรือนก็ไม่มีของหายสักชิ้น ไม่มีร่องรอยของคนนอกที่บุกเข้ามา แต่ว่า…แต่ว่ากลับหาท่านหญิงไม่เจอ!”
เพราะเห็นว่าฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงทะเลาะกันอยู่ ข้ารับใช้จึงไม่กล้าไปกวนนาง คิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงสองชั่วยามจะเกิดเรื่องขึ้นได้
เหยียนหลิงจวินก้าวเข้าไปในห้องด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ตลอดเวลาไม่พูดอะไรสักคำ เพียงเดินตรวจสอบทั้งในและนอกเรือนหนึ่งรอบ
ประตูเรือนถูกเจี๋ยหงถีบเข้ามาจากด้านนอกจนสลักประตูหลุดออกมา
หน้าต่างทุกบานไม่พบความเสียหาย ไม่มีรอยงัดแงะ แต่เดิมมันก็ไม่ได้ถูกลงกลอนจากด้านใน หากมีคนคิดจะลอบเข้าไปก็แสนจะง่ายดายยิ่งนัก
คิดได้ถึงจุดนี้ สองคนต่างก็กระจ่างแก่ใจ
สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงยิ่งไม่น่ามองไปใหญ่
เหยียนหลิงจวินยิ้มน้อยๆ อย่างไม่อนาทร “ในเมื่อท่านชายติดธุระ เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน”
จบคำ สีหน้าของฉู่ฉีเฟิงก็ดำทะมึนจนแทบมองไม่ได้ ทำให้รอยยิ้มของเหยียนหลิงจวินยิ่งชื่นมื่นขึ้น เดินลมใต้ฝ่าเท้าก่อนหายไปอย่างรวดเร็ว
คนอื่นได้แต่มองด้วยความงงงวย
เจี่ยงลิ่วก้าวออกมาข้างหน้า เอ่ยถามว่า “ท่านชาย ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? ต้องแจ้งทางการให้ส่งคนช่วยตามหาหรือไม่ขอรับ?”
แถบชายแดนฝั่งแม่น้ำหมินกำลังเปิดฉากรบกัน แม้จะควบคุมอาณาเขตสงครามไว้ได้ ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงชาวบ้าน ทว่าช่วงกลียุคนั้นสภาพบ้านเมืองไม่ค่อยสงบ ถ้าเกิดซูหังแพ้ศึกแล้วทำอะไรสิ้นคิดอย่างหมาจนตรอก ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ได้ฟังดังนั้นแล้ว เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่ก็ยิ่งเป็นกังวล
ฉู่ฉีเฟิงทำหน้าเคร่ง เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ไม่ต้อง ปิดข่าวไว้ เจี่ยงลิ่วเจ้าไปเตรียมตัวด้วย พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะย้ายกลับค่าย”
พูดยังไม่จบคำดีคนก็สะบัดชายเสื้อเดินหนีไปแล้ว
“ท่านชาย!” เจี๋ยหงกับเฉี่ยนลวี่ไล่ตามไปอย่างร้อนรน “แล้วท่านหญิง…”
“ถ้ามีคนถาม ก็บอกว่านางล่วงหน้ากลับเมืองหลวงไปแล้ว” ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้หันหน้ากลับมา พูดต่อว่า “พวกเจ้าสองคนก็รีบเก็บของ ตามตัวจูหยวนซาน รีบกลับเมืองหลวงทันที!”
องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกถูกเหยียนหลิงจวินทำให้สลบ เป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นฉกฉวยลงมือได้ แต่ถ้ามีคนคิดร้ายลักพาตัวฉู่สวินหยางไปจริงๆ…
ฉู่สวินหยางไม่ใช่คุณหนูในห้องหอที่อ่อนแอบอบบาง มีหรือจะไม่ทิ้งร่อยรอยอะไรเอาไว้เลย?
ดังนั้นชัดเจนมาก นางคงจะโกรธจนหนีไปแล้ว
ส่วนว่าทำไมแม้แต่เสื้อผ้ายังไม่เอาติดตัวไป ก็คงเพราะอยากจะจัดฉากให้ทุกคนเข้าใจผิด เพราะว่านางยังโกรธเขาอยู่
คิดได้ดังนั้น ฉู่ฉีเฟิงก็โกรธนางไม่ลง ลึกๆ ข้างในรู้สึกเพียงจนใจและหมดแรงเท่านั้น
เมื่อคืนเหยียนหลิงจวินก็ตามมาถึงที่ พอวันรุ่งขึ้นฉู่สวินหยางก็ทำตัวเหมือนปกติไม่ยอมเอ่ยถึง คำพูดที่เขาเคยพูดกับนางก่อนหน้านี้เห็นทีคงไร้ประโยชน์ มีแต่…
จะทำให้นางเจ็บปวดยิ่งกว่าเก่า
เพราะด้วยนิสัยของฉู่สวินหยาง นางไม่มีทำตัวแง่งอน และสร้างความยุ่งยากใจให้เขาในสถานการณ์เช่นนี้
ตอนนี้ควรทำอย่างไร? แล้วยังทำอะไรได้อีกบ้าง?
ฉู่ฉีเฟิงรู้สึกความคิดตีกันยุ่งเหยิง พักใหญ่แล้วก็ยังลังเลสับสน หาทางออกไม่เจอ
—————————————————-