บทที่ 40 ชายแดนเหนือเกิดเรื่อง ฮ่องเต้กระอักเลือด (2) Ink Stone_Romance
เหยียนหลิงจวินออกมาจากเรือนพักชั่วคราวของสองพี่น้อง ฝากจดหมายไปกับคนที่เจอระหว่างทางไปให้อิ้งจื่อซึ่งยังอยู่ที่โรงเตี๊ยม ตัวเองก็ตรงเข้าเมืองหลวงอย่างไม่รอช้าแม้แต่วินาทีเดียว
ส่วนธุระที่ทำให้เขาต้องออกจากเมืองหลวง กับเรื่องของเจิ้งตั๋วที่กำลัง ‘เจ็บหนัก’ นั้น เขาปล่อยให้พัดหายไปตามสายลมตั้งนานแล้ว
แค่คิดว่าฉู่สวินหยางหนีไปด้วยความโกรธ เขาก็ยิ่งร้อนใจ พยายามคาดเดาเส้นทางที่นางจะใช้ แล้วเร่งฝีเท้าม้าทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่หยุดพัก ขณะเดียวกันก็ทำสัญลักษณ์ลับทิ้งไว้ข้างทางให้อิ้งจื่อ ให้นางใช้อีกเส้นทางที่ใกล้กว่าตัดเข้าเมืองหลวง ป้องกันไว้เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เขาเร่งเดินทางอย่างไม่หยุดพักตลอดสามวันสองคืน ห่างออกไปข้างหน้าอีกยี่สิบลี้ก็จะเข้าเขตเมืองหลวงแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของฉู่สวินหยาง เหยียนหลิงจวินจึงเริ่มฉุกคิด…
ตามหลักแล้ว ในช่วงเวลาไม่ปกติเช่นนี้ เด็กน้อยควรจะรู้ความไม่หนีเที่ยวไปทั่ว แล้วตรงกลับเมืองหลวงทันที
เขาได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนั้น กอดความหวังอันน้อยนิดเอาไว้ แล้วมุ่งหน้าตรงไปที่วังบูรพา
ข่าวที่ได้รับบอกว่าฉู่สวินหยางไม่ได้กลับมาที่นี่
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?” พ่อบ้านเจิงจีได้ยินจุดประสงค์ในการมาของเขาก็อดจะถามอย่างกังวลไม่ได้ “ตั้งแต่ท่านหญิงติดตามท่านชายออกจากเมืองหลวงไปก็ไม่ได้ส่งจดหมายกลับมาเลย ท่านหญิงเองก็ไม่ได้กลับมาด้วย เหตุใด…”
เหยียนหลิงจวินพลันเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ เม้มปากเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายพลิกตัวขึ้นม้า “ถ้าท่านหญิงกลับมาหรือมีข่าวของนาง รบกวนพ่อบ้านเจิงส่งคนไปบอกข่าวข้าที่จวนสกุลเฉินที!”
“ขอรับ!” เจิงจีพยักหน้า ใจเริ่มกังวลตามไปด้วย
ฉู่สวินหยางไม่เหมือนกับเด็กผู้หญิงคนอื่นในวัยเดียวกัน แต่อย่างไรก็แค่เด็กที่เพิ่งโตเท่านั้น อยู่ข้างนอกตัวคนเดียว…
ประจวบว่านายท่านใหญ่เล็กทั้งสองของจวนก็อยู่กันไกลโพ้น ไม่มีใครจะคนตัดสินใจได้เลย
เจิงจีกุลีกุจอปิดประตูจวน เขาไม่กล้าชะล่าใจ ทางหนึ่งรีบสั่งให้คนส่งจดหมายของวังบูรพาไปตามหัวเมืองต่างๆ หากว่ามีข่าวฉู่สวินหยางกลับเข้าเมืองมาให้รีบแจ้งกลับโดยด่วน ทั้งยังคัดองครักษ์มือหนึ่งอีกยี่สิบกว่าคน กระจายตัวสืบหาข่าวตามเส้นทางเข้าเมืองต่างๆ ด้วย
ทางนี้เขาจัดการเรื่องราวครบถ้วนแล้ว กำลังสั่งให้คนไปหยิบค่าเดินทางที่ห้องเก็บเงิน เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ก็รีบร้อนเข้ามาพร้อมจดหมายฉบับหนึ่ง
“ท่านพ่อบ้าน มีคนส่งมาเมื่อครู่นี้ขอรับ!”
เจิงจีรับจดหมายมา รู้สึกเบาใจในทันที…
เป็นลายมือของฉู่สวินหยาง มองปราดเดียวก็ดูออกแล้ว เขาคลี่ออกพลางกวาดตามองข้อความสั้นๆ ในนั้น ในใจก็เกิดความสงสัย…
ฉู่สวินหยางคล้ายเดาออกแต่แรกว่าเหยียนหลิงจวินจะมาตามหานาง เนื้อความระบุชัดห้ามมิให้เปิดเผยข่าวคราวให้เขารู้
เจิงจีบอกให้องครักษ์แยกย้ายกลับไป เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจทำตามคำสั่งนายน้อยของตน จึงไม่ได้ส่งข่าวไปบอกเหยียนหลิงจวินทางนั้น ทั้งยังรีบเขียนจดหมายส่งให้ฉู่ฉีเฟิงรายงานว่าคนปลอดภัยดี
แม้ว่าเขาจะกระทำอย่างเงียบเชียบ แต่ก็ไม่อาจรอดหูรอดตาเหยียนหลิงจวินไปได้ ทันทีที่ได้ยินว่าวังบูรพามีความเคลื่อนไหว เขาก็เดาออกว่าต้องเป็นเรื่องของฉู่สวินหยาง…
เด็กคนนั้นจงใจซ่อนตัวจากเขา นางไม่ได้กลับมา คงจะเที่ยวเล่นระหว่างทางมากกว่า
อิ้งจื่อเดินทางผ่านเส้นทางลัด และกลับมาถึงไวกว่าเขาครึ่งค่อนวัน พอเห็นว่าเขาหน้าดำทะมึน ก็เปิดปากเบาๆ ว่า “นายท่าน ฝ่าบาททรงทราบว่าท่านกลับมาแล้ว เมื่อครู่ขันทีเย่าสุ่ยมาที่นี่ แจ้งว่าช่วงนี้อาการปวดศีรษะของฝ่าบาทกำเริบบ่อยครั้ง ให้ท่านรีบเข้าวังด่วนเจ้าค่ะ”
ฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวัง ถ้าหากเขายังต้องการใช้ฐานะของหมอหลวงเพื่อรั้งกายอยู่ในเมืองหลวงต่อ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธ
“อืม ไปเตรียมตัวเถอะ!” เหยียนหลิงจวินบอก ลอบจิกเล็บกลางฝ่ามือก่อนจะหมุนกายเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง
ยังถือว่าฉู่สวินหยางให้ความเท่าเทียมกับเขาและฉู่ฉีเฟิง ทิ้งให้พวกเขาสองคนตีกันเอง นางรู้ว่าฉู่ฉีเฟิงรับราชโองการให้ลงใต้ไม่อาจปลีกตัว แล้วยังหลอกเขาให้กลับมาติดแหง็กอยู่ที่เมืองหลวง ส่วนตัวนางเองไม่รู้ไปเที่ยวเล่นตามใจถึงไหนแล้ว
ถึงกระนั้น…
เขาก็ไม่รู้จะจัดการนางอย่างไรดี
เหยียนหลิงจวินหงุดหงิดยิ่งนัก เตรียมข้าวของเสร็จแล้วก็พาเชินหลานเข้าวังไป
ดูเหมือนสองสามวันที่เขาจากเมืองหลวงไปอาการของฮ่องเต้จะทรุดลงมาก เวลานี้ยังไม่ทันตรวจฎีกาเสร็จก็สั่งให้คนพากลับตำหนักแล้วเอนตัวอ่านต่อบนตั่งนอน
ฮ่องเต้เป็นโรคหวาดระแวง ภายในตำหนักไม่อนุญาตให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องล่วงล้ำเข้าไป เชินหลานจึงได้แต่รออยู่ข้างนอก
เหยียนหลิงจวินถือล่วมยาเข้าไป ยังไม่ทันผ่านเข้าประตูก็ได้ยินเสียงไอรุนแรงจากด้านในตำหนัก มันฟังดูแหบแห้งและทุ้มต่ำ ราวกับใช้บางอย่างถูบนกระดาษทราย ทำให้คนได้ยินรู้สึกแย่ยิ่งนัก
เหยียนหลิงจวินก้าวเข้าไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ คารวะให้เขาทีหนึ่ง “กระหม่อมถวายพระพรฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้กำลังขมวดคิ้วกวาดสายตาอ่านฎีกาอย่างครุ่นคิด เมื่อถูกขัดจังหวะจึงช้อนตาขึ้นมองเขาทีหนึ่ง นัยน์ตามีเงาบางอย่างแวบผ่าน บางอย่างที่ทำให้คนมองไม่เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้งว่า “มาแล้วรึ?”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหยียนหลิงจวินยืดหลังตรงแต่หลุบตาลงเล็กน้อยไม่สบตากับพระองค์ ก่อนจะเดินเข้าไปตรวจชีพจรให้พลางเอ่ยว่า “สองสามวันที่หม่อมฉันไม่อยู่ ได้ยินว่าฝ่าบาทประชวรอีกแล้ว เป็นความผิดของกระหม่อมเอง”
ท่าทางของเขาคล้ายจะนบนอบ แต่ความจริงแล้วปล่อยตัวตามสบาย หากเป็นขุนนางเฒ่าที่รู้จักนิสัยฮ่องเต้จริงๆ มาได้ยินบทสนทนาเรื่อยเปื่อยของคนทั้งคู่เข้า คงได้สะดุ้งจนตัวโยนแน่
ฮ่องเต้วางตัวเป็นกษัตริย์ผู้น่าเกรงขามมาโดยตลอด ทั้งยังไม่โปรดจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเปิดใจกับเหล่าขุนนางคนใดมากเป็นพิเศษ
แต่ทว่า…
กับเหยียนหลิงจวินไม่เหมือนกัน
ท่าทีที่พระองค์ปฏิบัติต่อเขา ดูไม่ระแวดระวังและไม่ป้องกันตัวสักเท่าไร
“หลายวันก่อนกลับจากห้องทรงอักษรกลางดึก เลยถูกไอเย็นเล่นงานเข้า จากนั้นก็แย่จนลุกไม่ขึ้นอีก” ฮ่องเต้เอนตัวพิงตั่งปล่อยให้เขาจับชีพจรตามสบาย พลางถอนใจอย่างเหนื่อยล้า “แก่แล้วจะทำอย่างไรได้!”
เหยียนหลิงจวินฟังแล้วก็แค่หัวเราะเบาๆ
เขาจับชีพจรให้ฮ่องเต้เสร็จก็เขียนใบสั่งยาส่งให้เย่าสุ่ย จากนั้นก็ดึงเข็มทองออกมาแล้วปักลงไปสองเล่มเพื่อเปิดเส้นเลือดให้ไหลเวียนสะดวก
สีหน้าของฮ่องเต้ย่ำแย่ มองแล้วดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ได้แต่นอนอิงหมอนหลับตานิ่ง
เหยียนหลิงจวินใช้หางตาเหลือบไปทีหนึ่ง ก่อนจะลอบมองฎีกาบนโต๊ะน้ำชาข้างๆ ซึ่งฮ่องเต้กำลังอ่านเมื่อครู่นี้
เหยียนหลิงจวินแทงเข็มเข้าที่หลังมือของพระองค์อีกเล่ม ฮ่องเต้ครางเสียงเบา จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “เจิ้งตั๋วมิใช่เจ็บหนักรึ เจ้าอาสาไปรักษาอาการเขานี่ ทำไมถึงกลับมาเร็วนัก?”
——————————————————