ตอนที่ 319 พี่ใหญ่ซ่งแห่งมหาวิทยาลัยเมืองหลวง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ในมือฉินหร่าน คือคอมพิวเตอร์สีขาว

ภายนอกบางเฉียบ ดูดีมาก

เป็นการยากมากที่จะพบเจอรูปร่างดอกป๊อปปี้ที่พิมพ์บนคอมพิวเตอร์

เพียงแต่อวิ๋นกวงกรุ๊ปเปิดตัวให้แค่กับกลุ่มเล็กๆ ยังไม่ได้เปิดตัวลงตลาดเต็มที่ รู้ว่าคนที่รู้เรื่องโลโก้นี้มีไม่เยอะ

หยางอี๋และหนานฮุ่ยเหยาไม่ได้ข้องเกี่ยวกับวงการไอที จึงไม่รู้ว่าอวิ๋นกวงกรุ๊ปออกแบบโลโก้การค้าไอทีใหม่ เพียงแค่ชื่นชมว่าสวย

มันสวยจริงๆ

แม้แต่หยางอี๋ที่ไม่มีจิตใจแบบหญิงสาวยังใจเต้นมากเลย

สองคนนี้อาจจะไม่รู้ แต่เหลิ่งเพ่ยซานที่ให้ความสนใจกับอวิ๋นกวงกรุ๊ปเป็นอย่างมากจึงรู้จักเครื่องหมายการค้านี้ ในที่สุดสีหน้าที่ผ่อนคลายมาตลอดก็เปลี่ยนไป

อวิ๋นกวงกรุ๊ปวางจำหน่ายคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ตอนไหนกัน!

โกหกรึเปล่า!

ฉินหร่านเปิดฝาครอบออกอย่างไม่ค่อยใส่ใจ คอมพิวเตอร์เปิดอัตโนมัติ หน้าจอมีสีฟ้าเหมือนเคย จากนั้นเป็นเสียงเครื่องยนต์…

[กรุณาดำเนินการตรวจสอบม่านตา!]

ตรวจสอบเสร็จ ไม่ถึงสองวินาทีก็เปิดเครื่องอัตโนมัติ

ไม่เพียงความราบรื่นโดยรวม ประสิทธิภาพความเร็วยังเห็นได้ชัด

จนกระทั่งรูม่านตาได้รับการรับรอง เหลิ่งเพ่ยซานจึงเอนหลังลงที่เก้าอี้ของตัวเองอย่างแปลกใจ

ระบบตรวจสอบม่านตาปัญญาประดิษฐ์เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของอวิ๋นกวงกรุ๊ป

เหลิ่งเพ่ยซานนั่งพิงเก้าอี้มือไม้อยู่ไม่สุข

“เทคโนโลยีสูงมาก” หนานฮุ่ยเหยาลากเก้าอี้ของตัวเองมาทางฉินหร่าน สายตาดูออกว่าตื่นเต้น “เธอซื้อมาจากไหน มีลิงก์ไหม ฉันก็อยากซื้อเครื่องนึง”

“เธออยากได้เหรอ” ฉินหร่านวางคอมพิวเตอร์ไว้บนโต๊ะ กัดหลอดพูด “ไม่มีลิงก์ ถ้าเธออยากซื้อฉันสามารถช่วยเธอติดต่อเขา”

“เท่าไหร่” ครอบครัวหนานฮุ่ยเหยาไม่ใช่ผู้ดีมั่งคั่ง เป็นตระกูลธรรมดา แต่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ โรงเรียนและในเมืองให้ทุน พ่อแม่และญาติของเธอให้เงินเธอเยอะมาก

หลังจากเข้ามหาวิทยาลัย เธอก็เตรียมหางานพาร์ทไทม์ด้วยตัวเอง และนับว่าเป็น ‘เด็กสาวผู้ร่ำรวย’ และไม่ขาดเงิน

“สามพันมั้ง” ฉินหร่านครุ่นคิด แล้วพูดตัวเลขออกมา

หนานฮุ่ยเหยาตาโต “สามพัน?!”

ตอนนี้เธอใช้คอมพิวเตอร์ที่ใช้เวลาราวสามสิบวินาทีเปิดเครื่องราคาเจ็ดพัน คอมพิวเตอร์ของฉินหร่านเทคโนโลยีสูงขนาดนี้ราคาแค่สามพัน?!

ฉินหร่านชะงักไปพักหนึ่ง และบอกตัวเลข “สองพันก็ได้”

หนานฮุ่ยเหยา “…” สองพันเอาไว้ซื้อมือถือธรรมดาเครื่องหนึ่งเถอะ…

หยางอี๋ก็ดันแว่นลง “ฉินหร่าน ไม่ใช่ว่าเธอพูดเลขศูนย์น้อยไปตัวหนึ่งเหรอ คอมพิวเตอร์นี้สองหมื่นรึเปล่า?”

“ไม่ใช่” เข้าใจแล้วว่าทำไมหนานฮุ่ยเหยาถึงตกตะลึง ฉินหร่านละสายตากลับ พูดอย่างสงบ “แค่สองพัน ราคากันเอง เธอโอนเงินให้ฉัน ฉันให้เพื่อนของฉันส่งให้เธอ”

ได้ยินว่าถูกขนาดนี้ หยางอี๋ก็อยากซื้อด้วย

ฉินหร่านเปิดวีแชท

ทันใดนั้นก็เห็นวีแชทของเฉิงเวินหรู…

[หร่านหร่าน ได้รับคอมพิวเตอร์รึยัง]

[JPG ดีใจ]

ฉินหร่านตอบกลับเฉิงเวินหรูประโยคหนึ่ง จึงคลิกรูปของหนานฮุ่ยเหยากับหยางอี๋ รับเงินของทั้งสองคนมาอย่างสบายใจ

หลังจากรับมา

จึงเปิดช่องสนทนารูป ‘เพื่อนบ้าน’ อีกครั้ง

[โอนแล้ว 2000]

[โอนแล้ว 2000]

หลังจากนั้นสองนาที…

[ได้รับการโอนแล้ว]

[ได้รับการโอนแล้ว]

[?]

เพื่อนบ้านส่งเครื่องหมายคำถามมาอย่างเย็นชา

ฉินหร่านก็ตอบเขากลับประโยคหนึ่ง…

[เงินที่เพื่อนสองคนของฉันซื้อคอมพิวเตอร์]

เพื่อนบ้าน […]

ฉินหร่านส่งช่องทางติดต่อสองคนให้ลู่จือสิง จึงค่อยจบการสนทนา

**

ตอนบ่ายฉินหร่านยังคงไม่เข้าเรียนกับหนานฮุ่ยเหยาและคนอื่น ข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับการเลือกสาขาที่สองของภาควิชาฟิสิกส์ค่อยๆ แพร่กระจายไป

ตอนบ่ายฉินหร่านมีแค่สองวิชาย่อย หนานฮุ่ยเหยากับหยางอี๋ยังคงเรียนเต็มคาบ

หลังเลิกเรียน ฉินหร่านก็เตรียมออกไปหาซ่งลี่ว์ถิง

ขณะเดียวกัน

ที่ห้องปฏิบัติการภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง

ซ่งลี่ว์ถิงกำลังทำการทดลองหนึ่งเกี่ยวกับการกระจายแสงนอกห้องปฏิบัติการ ชายร่างสูงคนหนึ่งถือบันทึกการทดลองเข้ามาหาซ่งลี่ว์ถิง “เสี่ยวซ่ง คณบดีเจียงอยากให้คุณไปกล่าวสุนทรพจน์ให้นักเรียนใหม่ปีหนึ่ง”

“สุนทรพจน์?” ซ่งลี่ว์ถิงหยุดการทดลองลงชั่วขณะ รับเอาบันทึกการทดลองในมือของหงเทามาดูด้วยใบหน้าอบอุ่น “เข้าใจแล้ว”

หงเทาเป็นนักศึกษาปีสี่ที่เพิ่งเข้ามาเป็นคนใหม่ของห้องปฏิบัติการตอนเปิดเทอม

ซ่งลี่ว์ถิงเข้าห้องปฏิบัติการตั้งแต่ต้นปี และยังเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการยอมรับเป็นการส่วนตัวจากรองประธานสถาบันวิจัยอีกด้วย เรื่องนี้ทุกคนในห้องปฏิบัติการต่างรู้ดี

แต่ตอนแรกหงเทาเป็นประธานสมาพันธ์นักเรียน และช่วยเหลือซ่งลี่ว์ถิงมาตลอดทางไม่น้อย ปีนี้ที่เข้าห้องปฏิบัติการได้ ซ่งลี่ว์ถิงก็เป็นหนึ่งในอีกเหตุผลสำคัญ

ซ่งลี่ว์ถิงเป็นคนคลั่งไคล้ในงานวิจัย ไม่มีใครไม่รู้จักเมื่อพูดชื่อเขาในภาควิชาฟิสิกส์ แต่เพราะชอบเก็บตัว เพื่อนของเขาจึงมีไม่เยอะ หงเทาเป็นหนึ่งในนั้น

“ปีนี้ห้องปฏิบัติการภาควิชาฟิสิกส์ของพวกเราอาจจะมีคนใหม่มาคนหนึ่ง” ข้อมูลข่าวสารในมือของหงเทาค่อนข้างมีมากกว่าซ่งลี่ว์ถิง “นั่นคือราชาน้องใหม่ปีนี้ ท่วงท่าดีไม่แพ้คุณในปีก่อนเลย…”

ผลการทดลองในมือยังไม่ออกมา ซ่งลี่ว์ถิงยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ “พวกคุณช่วยฉันสังเกตการทดลองหน่อย”

“คุณมีเรื่องกะทันหันเหรอ” หงเทายื่นบันทึกการทดลองในมือให้นักเรียนอีกคน พวกนี้เมื่อถึงเวลาต้องผ่านการตรวจจากศาสตราจารย์

จากนั้นจึงหันหน้า มองซ่งลี่ว์ถิงอย่างคาดเดาไม่ได้

ตอนที่ซ่งลี่ว์ถิงเพิ่งเข้าเรียนปีหนึ่ง ก็ถูกกลุ่มรุ่นพี่พูดถึงกัน

ผลการเรียนดีเด่น ไอคิวสูงลิ่วกว่านักเรียนใหม่ในปีหนึ่งทั้งหมด ภายนอกโดดเด่น ติดสิบอันดับเดือนประจำมหาวิทยาลัย อย่างน้อยครึ่งหนึ่งก็มีใจให้ซ่งลี่ว์ถิง

สมชื่อเสียงเดือนอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง

แต่…

สังเกตมานาน เพื่อนร่วมห้องของหงเทาและซ่งลี่ว์ถิงก็พบว่า ภรรยาของซ่งลี่ว์ถิงคือการทดลอง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าซงลี่ว์ถิงก็เป็นคนขอให้คณบดีเจียงเตรียมส่วนที่พักในห้องทดลองให้กับเขา

“อือ ไปหาน้องสาว” ซ่งลี่ว์ถิงจัดเรียงข้าวของข้างมืออย่างระมัดระวัง และถอดเสื้อปฏิบัติการ พูดอย่างไม่รีบร้อน

จุดประสงค์หลักที่หงเทาเข้ามาห้องปฏิบัติการเพื่อเป็นลูกมือซ่งลี่ว์ถิง พอเขาจะออกไป หงเทาก็ว่างงานมาก “คุณมักจะพูดถึงน้องสาวสองคนนั้น เป็นใครกัน คนที่รักในการถ่ายภาพคนนั้นเหรอ แล้วก็คนที่น่าดึงดูดคนนั้น ฉันไปดูด้วยได้ไหม”

“ทั้งสองคนอยู่หมด” ซ่งลี่ว์ถิงติดกระดุมคอเสื้อ อายุยังน้อย แต่ที่หัวคิ้วเห็นชัดว่าปกคลุมไปด้วยพลังงาน

รู้จักซ่งลี่ว์ถิงได้ปีกว่าแล้ว อีกฝ่ายยังคงเย็นชาราวกับคนไม่มีความรู้สึก แต่แค่ตอนที่พูดถึงน้องสาวคน จึงเห็นความสนอกสนใจชัดขึ้นเล็กน้อย

“พวกน้องสาวมาเยี่ยมคุณที่เมืองหลวงแล้วเหรอ ฉันไปหาน้องสาวกับคุณได้ไหม” หงเทาสงสัยเรื่องน้องสาวสองคนนี้มานานแล้ว

แต่ซ่งลี่ว์ถิงเป็นพวกคลั่งไคล้น้องสาว อย่าพูดถึงรูปภาพ แม้แต่ชื่ออายุของน้องสาวก็ไม่เปิดเผยสักนิด

ใครก็ถามไม่ได้ ใครถามก็เหมือนไปแย่งความสนใจจากน้องสาวของเขา

หงเทามาที่ร้านกาแฟข้างฝั่งประตูโรงเรียนกับซ่งลี่ว์ถิงอย่างหน้าไม่อาย

เป็นเวลาเรียน แต่คนที่ไม่มีเรียนสองคาบสุดท้ายก็มีไม่น้อย คนนั่งร้านกาแฟครึ่งหนึ่ง ซ่งลี่ว์ถิงมองดู ยังคงเงียบ จึงจับจองตรงนี้

หงเทานั่งลงข้างเขา รอสองนาที ระหว่างนั้น ผู้หญิงที่เดินผ่านทุกคนต่างถูกมองจ้อง จากนั้นถามซ่งลี่ว์ถิงถามว่านั้นใช่พวกน้องสาวไหม

ซ่งลี่ว์ถิงสั่งชานมสองแก้ว เรียวคิ้วเด่นชัด “ไม่ใช่”

“คุณไม่ได้ดูเลย ทำไมรู้ว่าไม่ใช่” หงเทาสั่งกาแฟแก้วหนึ่ง ยังคงจ้องไปที่นอกประตู

ผ่านไปไม่นาน ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น

อีกฝ่ายสวมเสื้อแขนยาวขายาว ในมือกอดหนังสือกองหนึ่ง เห็นเลยว่าผิวหนังที่อยู่ด้านนอกขาวมาก สวมแว่นตากรอบดำ ใบหน้าละเอียดอ่อน อารมณ์ของร่างกายสงบนิ่ง และมีความมืดมนปะปนอยู่นิดหน่อย แต่กลับเห็นได้ถึงความสนใจของซ่งลี่ว์ถิง

หงเทาพูดขึ้นทันที “เสี่ยวซ่ง นั่นใช่น้องสาวไหม! เป็นคนของมหาวิทยาลัยเราด้วยนี่! หน้าตาดีจริงๆ ถ้าเธอไม่สวมแว่นจะยิ่งดูดี!”

ตอนที่พูด พานหมิงเย่ว์ก็เห็นพวกเขาแล้ว จึงเดินมาทางนี้

วางหนังสือลงบนโต๊ะ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ น้ำเสียงเบา “พี่ใหญ่ซ่ง”

“ชินกับหอพักรึเปล่า ฉันอาศัยอยู่ห้องแถวนี้” ซ่งลี่ว์ถิงมองเธอ มอบพวงกุญแจสำรองให้เธอ “เธอมาอยู่ด้วยกันกับฉินหร่านได้ ส่วนโรงเรียนฉันคุยให้เอง”

พานหมิงเย่ว์รับกุญแจมา ครุ่นคิดก่อนตอบ “โอเค”

หงเทารีบแนะนำตัวเองกับพานหมิงเย่ว์

คิดในใจ ไม่แปลกใจที่ซ่งลี่ว์ถิงไม่ให้ใครดูรูปน้องสาวของเขาเลย เช่นนี้ นี่ไม่ใช่แค่เป็นหนึ่งในสิบอันดับดาวของมหาวิทยาลัย เป็นถึงดาวของมหาวิทยาลัยเลยก็ยังได้

“ใช่แล้ว น้องสาวอีกคนล่ะ” หงเทามองไปทางด้านนอก “ไม่เห็นใครเลย”

ซ่งลี่ว์ถิงมองนาฬิกาข้อมือ 4.28 นาที ท่าทีสบายๆ “ยังอีกสองนาที”

สองนาที?

หงเทาเลิกคิ้ว “คำนวณแม่นยำขนาดนั้นเลย?”

ผ่านไปสองนาที

ประตูกระจกร้านกาแฟถูกมือขาวเรียวคู่หนึ่งผลักออก

หงเทาเงยหน้ามอง หญิงสาวร่างสูงเพรียวคนหนึ่ง มือข้างหนึ่งผลักประตู อีกข้างล้วงกระเป๋า ไม่มีทั้งหนังสือและปากกา สวมหมวกไว้บนหัว ปีกหมวกกดลงต่ำ อีกฝ่ายทั้งยังก้มหน้า เห็นใบหน้าได้ไม่ชัด

“นั่นใช่น้องสาวไหม” เขามองซ่งลี่ว์ถิง ชี้ไปทางประตูทางเข้า

ท่าทางของซ่งลี่ว์ถิงชัดเจน ยังไม่ได้มองหน้า ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความนิ่งเรียบของอีกฝ่าย