ซ่งลี่ว์ถิงเงยหน้า “ใช่”
หงเทาตาเป็นประกาย รอฉินหร่านมาถึงฝั่งตรงข้าม จึงวางแก้วที่บรรจุชานมอีกใบให้ “น้องสาว คุณรีบนั่งลง”
ซ่งลี่ว์ถิงหันข้างเหลือบมองหงเทา
หงเทาทำทีเพิกเฉย ไม่กล้าพูดถึงน้องสาวอีก
“ขอบคุณ” ฉินหร่านลากเก้าอี้นั่งลง จากนั้นถอดหมวกที่หัวออก วางลงด้านข้าง
วันนี้เธอสวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสบายๆ กางเกงยีนสีดำ ผมปล่อยสยาย ช่วงนี้อากาศอบอ้าว แต่เธอดูสดชื่น อย่างกับมีลมเย็นๆ มาด้วย
มองดูซ่งลี่ว์ถิงก็น่าจะรู้แล้วว่าหน้าตาของน้องสาวเขาไม่แย่แน่นอน รูปลักษณ์ของพานหมิงเย่ว์ดูดีจริงๆ แล้วก็…
หงเทายังนึกไม่ถึง ว่าน้องสาวอีกคนของซ่งลี่ว์ถิงจะดูดีแบบนี้! ข้อมูลข่าวหลายอย่างได้รับการอัปเดต
ฉินหร่านได้ถ่ายรูปหมู่ขนาดใหญ่ในการฝึกทหาร ขึ้นเป็นดาวประจำมหาวิทยาลัยเมืองหลวงโดยสมบูรณ์
ควบคู่ไปด้วยชื่อเสียงราชาน้องใหม่ของเธอ ไม่ถึงหนึ่งวันก็ก้าวขึ้นไปเป็นอันดับต้นๆ!
ที่ผ่านมาอันดับต้นที่เป็นผู้หญิงล้วนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนนับไม่ถ้วน ไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นอันดับต้น ล้วนแต่มีเสียงคนไม่เห็นด้วย
แต่ครั้งนี้กลับแทบไม่มีใครคัดค้าน
หน้าตาเทียบไม่ติด ไอคิวก็เทียบไม่ได้ เทียบอะไรด้วยไม่ได้เลย ใครจะพูดได้ว่าตัวเองไม่เชื่อมั่นในการเลือกอันดับต้นคนนี้
แม้ว่าหงเทาจะเข้ามาในห้องปฏิบัติการแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องสำคัญของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง แม้ว่ารูปภาพจะโพสต์ลงเพียงหนึ่งวันในกระดานสนทนาของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงแล้วหายไปอย่างไม่มีเหตุผล
หงเทาก็เคยเห็นภาพใบหน้าของราชาน้องใหม่จากเพื่อนร่วมห้องคนอื่น
รูปลักษณ์ที่สะดุดตาขนาดนั้น ให้อารมณ์พิเศษ เพียงแค่เห็นก็ต้องลืมไม่ได้!
ได้ยินซ่งลี่ว์ถิงเอาแต่พูดถึงน้องสาวสองคน
แต่เขาไม่เคยบอกเลย…
น้องสาวอีกคนของเขาคือฉินหร่าน!
สมองของหงเทามึนงง ราวกับอยู่ในช่วงเวลาที่มีดอกไม้ไฟแตกกระจายจำนวนนับไม่ถ้วน
ปุ้ง ปุ้ง ส่องประกายไปทั่วทุกที่
สอบเข้ามหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ทั้งบ้าน คนหนึ่งเป็นจอหงวนสอบระดับประเทศปีที่แล้ว คนหนึ่งเป็นจอหงวนสอบระดับประเทศในวันนี้…
ซ่งลี่ว์ถิงเรียกหงเทารอบหนึ่งก็ไม่ได้สติ เขาจึงพูดกับฉินหร่านและอีกคนอย่างสบายๆ “หงเทา รุ่นพี่ปีสี่”
ฉินหร่านกับพานหมิงเย่ว์พูดสวัสดีรุ่นพี่อย่างสุภาพมาก
ซ่งลี่ว์ถิงหยิบแก้ว และมองไปทางหงเทา แนะนำฉินหร่านและพานหมิงเย่ว์ “พานหมิงเย่ว์ นักศึกษาใหม่ปีหนึ่งภาควิชาการเมืองและกฎหมาย ฉินหร่าน นักศึกษาใหม่ปีหนึ่งภาควิชาฟิสิกส์”
สักพักในที่สุดหงเทาก็ได้สติกลับมา เขาปรือตามองซ่งลี่ว์ถิง
“ไม่ได้ศึกษาวิชาเอกที่สองเหรอ” ซ่งลี่ว์ถิงไม่สนใจหงเทา เพียงมองไปที่พานหมิงเย่ว์
พานหมิงเย่ว์ดื่มชานมนิดหน่อย ก้มหน้า “สาขาของพวกเราเรียนเยอะมาก หาเวลาอื่นไม่ได้แล้ว
รู้ว่าวิชาเอกที่สองที่ซ่งลี่ว์ถิงพูดคือการถ่ายภาพ แต่เธอไม่เหมือนกันกับซ่งลี่ว์ถิงและฉินหร่าน ตั้งแต่เด็กพานหมิงเย่ว์เป็นเด็กเร่ร่อน ผลการเรียนย่ำแย่ ทุกอย่างได้มาจากความขยันของตัวเธอเอง แค่ใส่ใจในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียว ให้ทำอะไรแบบจับปลาสองมือเธอก็ทำได้ไม่ดี
ปลายนิ้วของซ่งลี่ว์ถิงแตะที่แก้ว พยักหน้าเล็กน้อย “ในโรงเรียนมีชมรมถ่ายภาพ อย่าเสียเวลาของเธอ การสอบของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงเข้มงวด จะถูกไล่ออกถ้าการสอบกลางภาคและปลายภาคไม่ถึงเกณฑ์ ถ้าเจอเรื่องไม่เข้าใจให้มาถามฉัน”
เขาพูดถึงตรงนี้ ในที่สุดหงเทาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อวานซ่งลี่ว์ถิงให้คนส่งหนังสือแผนกการเมืองและกฎหมายมาให้เขา…
ไม่ได้จำเป็นต้องเรียนวิชาเอกที่สอง
ในที่สุดตอนนี้หงเทาก็หาเสียงของตัวเองเจอสักที เขามองฉินหร่าน “น้องสาว การเคลื่อนไหวในปีนี้ที่เธอมามหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีมากกว่าพี่ใหญ่ซ่งก่อนหน้านี้ เป็นไงบ้าง เตรียมที่จะมาห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ตอนไหน”
สาวสวยคนหนึ่งมาห้องปฏิบัติการ ห้องปฏิบัติการต้องระเบิด หงเทาอยากเห็นห้องปฏิบัติการตอนนั้นเสียจริง
“ไม่แน่ใจ ยังอ่านหนังสือไม่จบ” ฉินหร่านขยับขาเล็กน้อย หรี่ตามองนอกหน้าต่าง เธอได้ยินเสียงหงเทาจึงละสายตากลับมา “ดูสถานการณ์ก่อน”
“เธออยู่วิศวกรรมอัตโนมัติสินะ ฉันก็อยู่วิศวกรรมอัตโนมัติ” หงเทายังจำเนื้อหาของโพสต์ได้ ตบเข้าที่อกแล้วพูด “จากนี้ถ้ามีเรื่องอะไรให้มาหาฉัน”
ซ่งลี่ว์ถิงที่อยู่อีกด้านหันกลับมา น้ำเสียงเยือกเย็น “เธอศึกษาด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์วิชาเอกที่สอง”
หงเทา “…” ก็เขาไม่บอก
อัจฉริยะทุกคนในตอนนี้เย่อหยิ่งขนาดนี้หมดเลยเหรอ
คนหนึ่งอยู่ที่ห้องปฏิบัติการฟิสิกส์ เรียนเอกวิชาที่สองแผนกการเมืองและกฎหมายอย่างซื่อตรง
อีกคนเพิ่งเปิดเรียน ก็สมัครเอกวิชาที่สองแล้วอย่างงั้นเหรอ
แล้วเอกวิชาที่หนึ่งทำไงล่ะ
ที่บ้าบอสุดๆ คือทำให้คณบดีแผนกฟิสิกส์และที่ปรึกษายอมรับได้ด้วย…
**
สี่วันหลังไปพบซ่งลี่ว์ถิง ในที่สุดหนานฮุ่ยเหยากับหยางอี๋ก็ได้รับพัสดุคอมพิวเตอร์ของอวิ๋นกวงกรุ๊ป
ทั้งสองคนแกะพัสดุในห้องพัก
คอมพิวเตอร์ของทั้งสองคนไม่ใช่สีขาว
หนานฮุ่ยเหยาได้รับสีเงิน ของหยางอี๋เป็นสีดำ
หลังจากได้รับคอมพิวเตอร์ หนานฮุ่ยเหยาจึงดาวน์โหลดเกมท่องยุทธภพทันที ความเร็วมากกว่าที่เธอคิดไว้เสียอีก ความเร็วแบบนี้ การ์ดจอแบบนี้ หยางอี๋ที่ไม่เล่นเกม ไม่เข้าอินเทอร์เน็ตบ่อยรู้สึกไม่ถึงหรอก
แต่หยางอี๋ดาวน์โหลดแผนภาพโครงสร้างทางกายภาพ เห็นการจำลองการทำงานทั้งหมดภายในนั้นที่ทำงานอยู่ ก็สามารถคาดเดาได้ว่าคอมพิวเตอร์นี้ดีกว่าคอมพิวเตอร์ในท้องตลาดแค่ไหน
“ฉันค้นหาภาพเหมือนของคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ไม่เจอเลย” หยางอี๋ถือโทรศัพท์ ค้นหาทั่วอินเทอร์เน็ต ต้องการหาราคาเดิมของคอมพิวเตอร์ แต่ไม่เจอ
เหลิ่งเพ่ยซานถือน้ำแก้วหนึ่ง ยืนอยู่ด้านหลังทั้งสองคน มองคอมพิวเตอร์ที่กำลังทำงาน ดวงตาซับซ้อน “ค้นไม่เจอแน่นอน นี่คือคอมพิวเตอร์ในแนวคิดของอวิ๋นกวงกรุ๊ป ทดลองใช้แค่ภายในและยังอยู่ในช่วงพัฒนา”
ต้องการคอมพิวเตอร์ทดลองใช้ในช่วงการพัฒนา นอกเหนือจากเป็นหุ้นส่วนของอวิ๋นกวงกรุ๊ปแล้ว ก็มีบางคนที่มีอำนาจมีเส้นสายในเมืองหลวง
ไม่เพียงแต่ต้องมีอำนาจ ยังต้องมีเส้นสายด้วย
เหลิ่งเพ่ยซานรู้ดี ลูกมือของโอวหยางเวยก็มีครอบครอง คนอื่นมอบให้โอวหยางเวย
ในเมืองหลวงคนเอาอกเอาใจโอวหยางเวยมีมากมาย อย่าว่าแต่หนึ่งเครื่อง สำหรับโอวหยางเวยสองเครื่องก็ไม่ใช่ปัญหา
เหลิ่งเพ่ยซานไม่รู้จริงๆ ว่าฉินหร่านมาจากที่ไหนกันแน่…
ตอนที่คิดถึงตรงนี้ เหลิ่งเพ่ยซานก็นึกขึ้นถึงคนนั้นที่เพิ่งเรียนจบไปที่ฉินหร่านพูดถึง…
“ฉินหร่านล่ะ” เหลิ่งเพ่ยซานเหลือบมอง ไม่เห็นฉินหร่าน คอมพิวเตอร์และกระเป๋าเป้บนโต๊ะของเธอก็ถูกเก็บไปหมดแล้ว
หนานฮุ่ยเหยาเล่นเกมเสร็จรอบหนึ่งแล้วจึงหยุด ปิดคอมพิวเตอร์เตรียมอ่านหนังสือสักพัก “เธอกลับบ้านตอนบ่ายแล้ว”
พรุ่งนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ ก่อนการฝึกทหารโรงเรียนไม่ได้ให้วันหยุดกับนักศึกษาใหม่ปีหนึ่ง
ดังนั้นเทศกาลไหว้พระจันทร์จึงหยุดให้เพิ่มสองวัน ฉินหร่านจึงกลับไปแล้ว
หนานฮุ่ยเหยากับหยางอี๋ไม่ใช่คนในพื้นที่ บ้านของทั้งสองคนห่างจากเมืองหลวงไกลมาก ไปกลับลำบากมากไป สองคนจึงไม่ได้วางแผนกลับไป
“เธอกลับไปแล้วหรอ?” เหลิ่งเพ่ยซานชะงัก “ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้พวกเธอมีเรียนหรอกเหรอ”
“หร่านหร่านศึกษาสองวิชาเอก ตอนนี้เธอกำลังศึกษาวิศวกรรมนิวเคลียร์ แค่ตอนสอบกลางภาคและปลายภาค จึงจะกลับมาสอบเอกวิชาเดิม” หนานฮุ่ยเหยาอธิบาย
สองวันนี้ฉินหร่านไม่ได้มาเข้าเรียนกับพวกเธอเลย หนานฮุ่ยเหยาจึงตั้งใจถามฉินหร่าน หลังจากได้รับคำตอบนี้เธอก็พอใจมาก
“ปีหนึ่งก็ศึกษาสองเอกวิชาได้เหรอ” ไอคิวของเหลิ่งเพ่ยซานไม่ได้ต่ำ ตระกูลเหลิ่งกับตระกูลโอวหยางระดับต่างกันมาก นั่นเพราะเธอฉลาดพอ จึงถูกคนของตระกูลโอวหยางใส่ใจ ได้ยินแล้วหรี่ตา “มหาวิทยาลัยเมืองหลวงไม่ใช่มัธยมปลาย เนื้อหาของศาสตราจารย์ล้วนละเอียดอ่อน”
เหลิ่งเพ่ยซานพูดความรู้สึกที่มีต่อฉินหร่านไม่ออก ตั้งแต่เริ่มเหมือนเป็นคู่แข่งอย่างอธิบายไม่ถูก มาถึงตอนนี้เธอรู้ช่องว่างระหว่างตัวเองกับเธอแล้ว
ไม่กี่วันมานี้มักจะกลับมาที่หอน้อยมาก จึงยิ่งไม่ได้พูดคุยกับฉินหร่าน
ได้ยินคำพูดของหนานฮุ่ยเหยา การสอบกลางภาคปลายภาควิชาเอกที่สองไม่ใช่ปัญหา แต่ศึกษาวิชาเอกที่สอง สอบแล้วยังต้องกลับมาสอบวิชาเอกที่หนึ่งนั่น…
ทุกปีข้อสอบมหาวิทยาลัยเมืองหลวงล้วนยากมาก แต่ไหนแต่ไรอาจารย์ไม่ให้ใจความสำคัญ ไม่ใช่จะผ่านได้โดยไม่ถูกหลอก
แม้แต่เหลิ่งเพ่ยซาน ตอนนี้อยู่แผนกคอมพิวเตอร์ ตอนที่ฟังศาสตราจารย์สอนเนื้อหาแล้วเหม่อลอยไปพักหนึ่งก็ตามไม่ทันไปเยอะ นี่ไม่ใช่ว่าจะอ่านหนังสือเองแล้วจะสามารถเข้าใจได้
อย่าได้พูดถึงไม่เข้าเรียนแม้แต่คาบเดียว…
เหลิ่งเพ่ยซานรู้สึกว่าฉินหร่านมั่นใจตัวเองมากไปรึเปล่า
“ไม่รู้” หนานฮุ่ยเหยากลับกังวล ได้ยินเหลิ่งเพ่ยซานพูดขนาดนี้เธอจึงนั่งไม่ติด เปิดโทรศัพท์ถามฉินหร่านทันทีว่าสอบวิศวกรรมนิวเคลียร์ได้หรือไม่
ฉินหร่านตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หนานฮุ่ยเหยาดูคำตอบ ชะงักไป “คณบดีของพวกเราจำเป็นต้องให้เธอสอบวิศวกรรมอัตโนมัติ ถ้าสอบวิศวกรรมอัตโนมัติไม่ผ่านเธอจะไม่สามารถศึกษาวิศวกรรมนิวเคลียร์”
เหลิ่งเพ่ยซานยิ้มบาง “ฉันรู้อยู่แล้ว”
เพิ่งแค่ครึ่งเทอมเอง ครึ่งเทอมหลังยังต้องย้ายกลับมา
**
ทางฝั่งนี้ ฉินหร่านออกมาจากนอกประตูมหาวิทยาลัยแล้ว
บริเวณรอบของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงค่อนข้างใหญ่ ฉินหร่านเดินมาสิบนาทีเพิ่งออกมาได้ เดินออกมานอกประตูจึงกวาดตามอง เห็นเฉิงเจวี้ยนที่ยืนอยู่บนทางเดินอีกฝั่ง
เพราะอพาร์ตเมนต์ถิงหลานใกล้กับที่นี่มาก เฉิงเจวี้ยนจึงไม่ไม่ได้ขับรถมา ยืนอยู่ตรงทางเข้าด้านหน้า
เสื้อเชิ้ตผูกหูกระต่ายเรียบๆ ถือโทรศัพท์ราวกับกำลังรับสายใครอยู่ เรียวคิ้วดูเกียจคร้านอย่างไม่รู้ตัว
นักเรียนหลายคนไม่มีเรียนตอนบ่ายวันศุกร์ ทั้งยังเพิ่มวันหยุดเข้ามา กลุ่มนักท่องเที่ยวไม่น้อยมายังบริเวณรอบของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง คนอยู่ที่ประตูทางเข้าอย่างไม่ขาดสาย แต่เพียงแวบแรกฉินหร่านก็มองเห็นเขาแล้ว
เฉิงเจวี้ยนเองก็เห็นเธอ หยุดพักไว้ โบกมือไปทางเธอ