“กินข้าวเที่ยงยัง” เห็นเธอเดินมา เฉิงเจวี้ยนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล็กน้อย เลิกคิ้วต่ำ น้ำเสียงอ่อนโยน
อีกด้านของโทรศัพท์ ลู่จ้าวอิ่งตกตะลึง
นายท่านเฉิงคุยกับเขาอย่างไม่ใส่ใจ หรือไม่ก็เย็นชา ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดด้วยเสียงดีขนาดนี้
“นายท่านเจวี้ยน…”
“ยัง เพิ่งมาจากห้องสมุด” ในมือฉินหร่านถือกระเป๋าเป้สีดำ ด้านในบรรจุคอมพิวเตอร์สีดำของเธอ
วิศวกรรมนิวเคลียร์นั้นเกี่ยวเนื่องกับแบบฝึกวิจัยนอกหลักสูตรมากมาย หลังเลิกเรียนฉินหร่านจึงไปห้องสมุดด้วยกันกับพานหมิงเย่ว์
อีกด้านของโทรศัพท์ ลู่จ้าวอิ่งที่เกือบพูดว่า ‘นายท่านเจวี้ยน จู่ๆ คุณเปลี่ยนเป็นแบบนี้ฉันไม่ชินเอามากๆ’ ได้ยินเสียงของฉินหร่านก่อน อดไม่ได้ที่จะกลืนคำพูดนั้นลงไป
“แค่นี้ก่อน พวกเราจะไปถึงเร็วๆ นี้” เฉิงเจวี้ยนถือโทรศัพท์ขึ้นมา พูดประโยคหนึ่งกับลู่จ้าวอิ่ง จึงวางสายโทรศัพท์
เพราะวันหยุดใกล้เข้ามา การจราจรของผู้คนบนถนนสายนี้ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวงจึงหนาแน่น ขับรถช้ากว่าการเดิน รถของเฉิงเจวี้ยนจึงยังอยู่ที่ถิงหลาน
ที่นี่ยังเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง อีกทั้งถนนสายนี้ยังมีถนนคนเดินของกินเล่นอีกสาย คนทั้งเยอะทั้งวุ่นวาย
ร่างของเฉิงเจวี้ยนสูงโปร่ง สูงส่งไม่แยแส ราวกับหงส์ในฝูงกา เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ฉินหร่านจึงเดินตามหลังเขา
คนเยอะมาก ทุกสองก้าว มีคนเข้ามาไม่ขาดสาย ขวางทางสายตา
ข้างหูล้วนเป็นเสียงพูดคุย ทั้งมีเสียงตะโกนเรียกของร้านค้า เสียงเพลง ฉินหร่านขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
และยังมีกลิ่นเหงื่อจากกายของบางคน กลิ่นควันจากของกินเล่น
อีกครั้งหลังจากที่ฉินหร่านถูกชายรูปร่างกำยำล่ำสันชนเข้าจนล้ม เซไปทางเฉิงเจวี้ยนที่อยู่ด้านหน้าเล็กน้อย สีหน้าเขากลับไม่มีทีท่าใด เพียงเหลือบมองชาวรูปร่างกำยำล่ำสันคนนั้น ยื่นมือออกไปคว้ามือของฉินหร่านเอาไว้ น้ำเสียงธรรมดา “ตามมา”
อุณหภูมิร่างกายของเฉิงเจวี้ยนมักจะต่ำ อุณหภูมิที่มือเย็นเล็กน้อย
ฉินหร่านเดินตามเขาไปตามถนนคนเดินของกินเล่น ผู้คนจึงค่อยๆ น้อยลง
“วันนี้มีเพื่อนบางคน วันหยุดตรงกับเธอพอดี” เฉิงเจวี้ยนชะลอก้าว น้ำเสียงไม่เร่งรีบ “มีคนหนึ่งเธอน่าจะจำได้ จางเซี่ยงเกอ”
ฉินหร่านพยักหน้า ตอบกลับเพียงหนึ่งคำ “อืม”
ลู่จ้าวอิ่งเป็นคนเลือกสถานที่ เพื่อให้สอดคล้องกับฉินหร่าน ดังนั้นโรงแรมจึงอยู่ใกล้บริเวณมหาวิทยาลัยเมืองหลวง
ออกมาจากมหาวิทยาลัยเมืองหลวงผ่านถนนคนเดินของกินเล่น เดินไปด้านหน้าไม่ถึงห้านาที ก็ถึงแล้ว
**
ด้านในห้องของโรงแรม ยังมีกลุ่มคนของจางเซี่ยงเกอ
นอกจากลู่จ้าวอิ่งและเจียงตงเยี่ยแล้วก็มีไม่ถึงหกคน ก่อนหน้านี้คนกลุ่มนี้ทุกคนเคยพบกับฉินหร่านแล้วที่พาราไดซ์คลับ ดีที่สุดของกลุ่มคนในวงนั้น คือครั้งนี้ไม่ได้พาผู้หญิงมายุ่งวุ่นวาย ในห้องค่อนข้างเงียบ
กับข้าวเตรียมพร้อมแล้วตอนที่ฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนเข้ามา กลุ่มคนกำลังพูดคุยกันไปเรื่อย มีคนหยิบบุหรี่ออกมา แต่ไม่ได้จุด ชัดเจนว่าลู่จ้าวอิ่งบอกไว้
“คุณฉิน เชิญนั่ง” เห็นฉินหร่านเข้ามา เจียงตงเยี่ยที่นั่งสงบอยู่ลุกขึ้นทันที ช่วยฉินหร่านลากเก้าอี้ออก
และยังช่วยเธอจัดวางตะเกียบ
จากนั้นจึงรับเอากระเป๋าในมือของเธอมาอย่างใส่ใจ วางลงบนโซฟาอีกฝั่งหนึ่ง
ลู่จ้าวอิ่งกับเฉิงเจวี้ยนค่อนข้างชินการเป็นสุนัขรับใช้ของเจียงตงเยี่ย แต่เห็นได้ชัดว่าคนอื่นในห้องไม่ชิน มองอย่างไม่อยากเชื่อ ไม่เว้นแม้แต่จางเซี่ยงเกอ
ทุกคนมองหน้ากัน นึกประหลาดใจในตัวฉินหร่านเล็กน้อย
ทั่วทั้งเมืองหลวง นอกจากระดับอย่างเฉิงเจวี้ยนกับเฉิงเวินหรู ก็หาคนที่ทำให้เจียงตงเยี่ยปฏิบัติด้วยระดับเช่นนี้ได้
ตระกูลเจียงเป็นอีกฝั่งของตระกูลเฉิง แต่วันทั่วไปจางเซี่ยงเกอก็ไม่ใช่คนแบบนี้ ไม่น่าใช่เพราะเป็นคนของเฉิงเจวี้ยนจึงประคบประหงมเอาใจ เพราะไม่จำเป็น
แม้แต่โอวหยางเวย อย่างมากเจียงตงเยี่ยก็สุภาพกับเธอเล็กน้อย
“คุณหนูฉิน ชินกับที่มหาวิทยาลัยบ้างรึยัง มหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีประเพณีต้องให้พักที่หอพัก แต่คุณสามารถมาหานายท่านเจวี้ยนให้แก้ไขได้” จางเซี่ยงเกอได้สติกลับมา เรียกพนักงานเสิร์ฟมาสั่งน้ำผลไม้หนึ่งแก้ว นี่เป็นสิ่งที่เขาเก็บไว้ “จริงด้วย เธอเข้าร่วมองค์กรสมาพันธ์นักเรียนแล้วรึยัง ก่อนหน้านี้แผนกประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยเคยมาขอเงินสนับสนุนจากฉัน ถ้าหากสนใจ มาหาฉันได้”
แม้ว่าที่เมืองหลวงตระกูลจางจะไม่นับว่าอยู่บนสุดของความร่ำรวย แต่เครือข่ายของจางเซี่ยงเกอกว้างขวาง จึงอยู่ได้ ความฉลาดทางอารมณ์สูง ทั้งยังปะปนอยู่ในแวดวงระดับสูงนี้ของเฉิงเจวี้ยน จึงเป็นที่นิยมในเมืองหลวงเป็นพิเศษ หลายคนต่างยอมรับในคุณค่าของเขา
ฉินหร่านนั่งลง ดูโทรศัพท์ ได้ยินคำพูดของจางเซี่ยงเกอ เธอจึงเงยหน้า พูดขึ้นอย่างสุภาพ “ไม่ต้องแล้ว ขอบคุณ”
ทุกวันนี้ไปเข้าเรียนที่ห้องสมุด ตอนหลังคณบดีเจียงส่งต่อหนังสือปีสองปีสามให้เธออย่างต่อเนื่อง
นอกจากฟังบทเรียน เธอก็ไปถามคำถามความเชี่ยวชาญจากอาจารย์เอกวิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ บางครั้งก็ไปถามซ่งลี่ว์ถิงบ้างเป็นครั้งคราว
สมาพันธ์นักเรียนไม่ได้มาหาเธอเพียงครั้งเดียว ต่อมาครั้งก่อนรุ่นพี่คนนั้นมาห้องของเธอติดต่อกันสองครั้ง และยังโทรศัพท์หาฉินหร่านหลายครั้ง
จางเซี่ยงเกอมองฉินหร่าน พยักหน้า ไม่ได้พูดอีก
“นายท่านเจวี้ยน ทำไมฉินเสี่ยวหร่านยังอาศัยในมหา’ลัย” ลู่จ้าวอิ่งไขว่ห้าง หยิบตะเกียบ เอียงหัวมองเฉิงเจวี้ยน เขาจำตอนที่เฉิงเจวี้ยนเข้ามหาวิทยาลัยได้ มีห้องอยู่ใกล้เคียง
เขานั่งลงข้างลู่จ้าวอิ่ง
เฉิงเจวี้ยนวางมือบนโต๊ะ ท่าทีไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อได้ยินคำว่า “บ้าจริง”
น้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก ลู่จ้าวอิ่งยิ้มท่าทีเข้าใจ
สถานการณ์แบบนี้ คือฉินหร่านไม่ยอมรับ
ในเมืองหลวงแม้แต่นายท่านเฉิงก็คุมเฉิงเจวี้ยนไม่อยู่ ลู่จ้าวอิ่งและเฉิงเวินหรูได้รับบทสรุปว่า เจอคู่กัดซะแล้ว
เขาไขว่ห้าง รอยยิ้มที่ปากฉีกกว้าง
ทุกคนกินข้าว พลางสนทนาเกี่ยวกับธุรกิจ คุยเรื่องอวิ๋นกวงกรุ๊ปเมื่อล่าสุด
“ดูการประมูลเมื่อวาน” จางเซี่ยงเกอกินข้าวได้ไม่เยอะแล้ว จึงพิงพนักเก้าอี้ ส่ายแก้วไวน์ในมือไปมาอย่างสบายๆ “หลังไหว้พระจันทร์จะมีการประกาศบริษัทใหม่บางแห่ง น่าจะเป็นบริษัทไอทีขนาดเล็ก แต่ค่อนข้างมีความสามารถ พวกเราก็มีส่วนร่วม ฉันดูแล้วพี่คนโตก็อยู่ด้วย สถานการณ์เป็นยังไงบ้างแล้ว”
พี่สาวคนโตที่จางเซี่ยงเกอพูดคือเฉิงเวินหรู ผู้หญิงแข็งแกร่งอันมีชื่อเสียงในเมืองหลวง คนในแวดวงเมื่อเห็นต่างก็เรียกว่าพี่สาวคนโต นี่คือเส้นทางที่โอวหยางเวยไม่มีในตอนนี้
ท้ายที่สุดไม่ใช่การเป็นลำดับชั้น
เฉิงเจวี้ยนวางตะเกียบ หันหน้ามองฉินหร่าน อีกฝ่ายกำลังแทะซี่โครงอย่างเชื่องช้า เขาจึงหยิบถ้วยใบหนึ่ง รินชาถ้วยหนึ่งเบาๆ แล้ววางลงข้างมือฉินหร่าน น้ำเสียงไม่รีบเร่ง “ไม่รู้ เธอเพิ่งยืมเงินทุนหมุนเวียนมาจำนวนหนึ่ง”
คนบนโต๊ะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเมืองหลวง
เห็นอย่างนี้แล้ว ความคิดเอ่อล้นมากขึ้น ไม่แปลกที่วันนี้จางเซี่ยงเกอบอกว่าไม่สามารถทำการโฆษณาชวนเชื่อกับคนในที่นี้ได้ สถานการณ์เช่นนี้…พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก
ตอนนี้มือข้างหนึ่งของฉินหร่านถือถ้วยชา อีกข้างส่งข้อความหาฉินหลิง
ตอนบ่ายวันนี้ฉินหลิงเริ่มปิดเทอมแล้ว…
[พี่สาว พรุ่งนี้ตอนค่ำมากินข้าวด้วยได้ไหม]
พรุ่งนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ ฉินหลิงมีความคิดนี้มานานแล้ว
ฉินหร่านอ่านจบ เลิกคิ้ว ไม่ใช่ว่าฉินหลิงกับฉินฮั่นชิวกลับตระกูลฉินแล้วหรอกเหรอ พรุ่งนี้ตอนค่ำจะมากินข้าวกับเธอเนี่ยนะ
เธอส่งเครื่องหมายคำถาม ไม่ทันไรฉินหลิงก็เข้าใจ…
[ปู่ฉินบอก ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา]
‘ปู่ฉิน’ ที่ฉินหลิงพูด คือคนที่ฉินฮั่นชิวเรียกว่า ‘ลุงฉิน’
ฟังคำอธิบาย ฉินหร่านดูเหมือนจะเข้าใจ เธอตอบกลับไป ‘ได้’
อาหารมื้อนี้ไม่นาน ฉินหร่านยังต้องกลับไปอ่านข้อมูลต่อ หลังจากคุยกับฉินหลิงเสร็จจึงขอตัวออกไปกับเฉิงเจวี้ยน
เจียงตงเยี่ยกับลู่จ้าวอิ่งยังอยู่กับพวกเขา
จางเซี่ยงเกอและคนอื่นไปส่งพวกเขาที่ประตูทางเข้าและอยู่ต่อ กลับไปดื่มเหล้าที่ห้องต่อ จางเซี่ยงเกอนึกอะไรได้ จึงโทรศัพท์หาแผนกการต่างประเทศมหาวิทยาลัยเมืองหลวง
“หัวหน้าอวี๋” จางเซี่ยงเกอนั่งลงเก้าอี้ จุดบุหรี่ในมือ “มีเรื่องต้องการให้คุณช่วยหน่อย”
หัวหน้าอวี๋แผนกการต่างประเทศมีนิสัยเรียบง่าย เป็นผู้หญิงภาควิชาเศรษฐศาสตร์และการจัดการ มีเสน่ห์ต่อผู้คน “คุณจาง เชิญพูด”
จางเซี่ยงเกอจึงพูดเรื่องที่ต้องการส่งคนเข้าไป
เขามองในระยะยาว ให้การสนับสนุนหัวหน้าอวี๋มากมาย สมาพันธ์นักเรียนมหาวิทยาลัยเมืองหลวงให้เกียรติจางเซี่ยงเกอเป็นอย่างมาก ไม่หวั่นเกรงเมื่อจางเซี่ยงเกอมีปัญหา เกรงว่าเขาจะไม่มีเรื่องให้เสียมากกว่า
หัวหน้าอวี๋เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก เธอเปิดลำโพง และเปิดสมุดบันทึกเพิ่มรายชื่อใหม่ “คุณบอกชื่อและช่องทางการติดต่อมา ฉันจะติดต่อไป”
จางเซี่ยงเกอจึงบอกหมายเลข “166…”
ตอนบอกเลขสามตัวหน้าหัวหน้าอวี๋ยังไม่ได้รู้สึกอะไร จนกระทั่งหัวหน้าอวี๋ของเธอบอกหมายเลขแปดหลักสุดท้ายจึงค่อยเพิ่มเข้าไป
เธอมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง
“หัวหน้าอวี๋ คุณยังอยู่ไหม” จางเซี่ยงเกอรออย่างรีบร้อน จึงถามออกไป
หัวหน้าอวี๋ตอบ “อา คุณจาง คนที่คุณบอกนามสกุลฉินใช่ไหม”
จางเซี่ยงเกอเลิกคิ้ว “ใช่แล้ว”
“ชื่อหร่านตัวเดียว หร่านที่แปลว่าผ่านไป” หัวหน้าอวี๋พูดประโยคนี้แล้วกัดฟันเล็กน้อย
จางเซี่ยงเกอก็กำโทรศัพท์แน่น นั่งตัวตรง “คุณรู้จักคนผู้นี้? พวกคุณทั้งสองรู้จักกันเหรอ” เขาค่อนข้างสงสัย
“คุณบอกฉันอีกรอบ ตอนที่คุณบอกเรื่องนี้กับฉัน เธอไม่รู้งั้นเหรอ” หัวหน้าอวี๋ไม่ตอบ ถามกลับ
“…เปล่า” จางเซี่ยงเกอรู้สึกถึงความไม่ปกติ “เกิดอะไรขึ้น”