บทที่ 1251 – ก่อนเริ่มการประลอง ยอมรับคำท้าทาย

 

ชิงสุ่ยไม่คาดคิดว่าจะมีใครเข้ามาและกล้าท้าทายกับเขาในขณะที่เขาพึ่งก้าวข้ามขีดพลัง นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือชะตาได้วางแผนเอาไว้? อย่างไรก็ตามเขาเองก็รู้สึกมีความสุขจริงๆก่อนที่เขาจะจากไป เขาเองเคยรู้สึกกังวลว่าจะสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองได้อย่างไร มันเปรียบเสมือนอาหารที่มาวางตรงหน้าคนที่กำลังหิว

 

อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงกล้ารวมตัวกันและท้าทายเขา? มันเป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่เคยใกล้ชิดกับองค์หญิงใหญ่เมื่อครั้งก่อน? หรือพวกเขาจะเป็นกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเหล่าชนชั้นสูงของนิกายสวรรค์เร้นลับ หรือมาในตัวแทนแขกของแดนศักดิ์สิทธิ์?

 

หัวใจของชิงสุ่ยก็สูบฉีดขึ้นอีกครั้งทันทีที่เขาเห็นชื่อรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ มันคงเป็นไปได้ว่าเขาคงรู้สึกว่าตัวเองประมาทจึงต้องการจะต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง หรืออาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาได้ส่งกับใครบางคนที่มีพลังนอกเหนือความสามารถที่พวกเขามี เช่น ถ้าหากชิงสุ่ยถูกสั่งสอนโดยคนระดับสูงของนิกายโลกานฤเบศและได้รับความพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะสามารถบอกได้ว่าชิงสุ่ยนั้นอ่อนแอกว่าพวกเขา

 

เพียงชั่วครู่เดียวความคิดที่แตกต่างของชิงสุ่ยก็เป็นประกายอย่างต่อเนื่อง เขาไม่รู้สึกกังวลใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่หวาดกลัวผู้ใด แต่เขาก็จะไม่ทำร้ายทุกคน เพราะยังมีองค์หญิงใหญ่ ชิงซา และคนอื่นๆอาศัยอยู่ที่นี่อีก

 

ในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังคบคิดเรื่องเหล่านั้น เทียน เจียงก็ได้มาถึง เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเขาจะมีความสงบและมั่นคงมากขึ้น อย่างไรก็ตามคิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อยเมื่อเห็นจดหมายท้าทายในมือของชิงสุ่ย เขาพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “นี่คงเป็นความปรารถนาของพี่ใหญ่ ข้าคงไม่อาจหยุดเขาได้”

 

“จะหยุดเขาไปทำไม? หรือว่าเจ้าไม่เชื่อใจในนิกายโลกานฤเบศ?”ชิงสุ่ยถามเทียนเจียงอย่างฉับพลัน

 

“ข้าไม่เข้าใจ?”เทียนเจียงดูตกใจและจับจ้องสายตาไปที่ชิงสุ่ย

 

“ข้าจะบอกว่า ถ้าหากพี่ชายของท่านพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้ และผลจบลงคือการท่านได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ควบคุมนิกายโลกานฤเบศ ท่านจะสามารถควบคุมมันได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยวางจดหมายลงบนโต๊ะหิน

 

“น้องชาย ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้านั้นยังคงไม่มากพอที่จะสามารถควบคุมนิกายโลกานฤเบศได้”เทียนเจียงถอนหายใจ

 

“อย่าเพิ่งรีบร้อน ข้ายังคงรอได้อีกนาน”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว

 

เทียนเจียงรู้สึกได้ว่าปัจจุบันชิงสุ่ยเป็นคนที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แม้ว่ามันจะดูคาดเดายากแต่มันก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจเชื่อได้เช่นกัน คราวนี้มีคนเพียงไม่กี่คนมารวมตัวเพื่อท้าทายเขา หลายๆคนบอกว่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายประมาทเมื่อครั้งล่าสุด ดังนั้นถ้าหากครั้งนี้ชิงสุ่ยยอมรับคำท้า ผลลัพธ์ที่จะจบลงก็คงไม่ดีสำหรับเขา

 

“พี่ชาย ได้โปรดช่วยข้าส่งข้อความนี้ไปบอกพวกเขาว่า ข้ายอมรับคำท้า แต่จะต้องแลกมาด้วยการเดิมพันบางสิ่งบางอย่าง”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว

 

“น้องชาย แม้ว่าเจ้าจะปฏิเสธคำท้าครั้งนี้คนนอกก็จะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ทำไมเจ้าถึงไม่ปฏิเสธมัน?”เทียนเจียงพยายามโน้มน้าว

 

“ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่เป็นไร ได้โปรดช่วยข้าส่งข้อความนี้ให้กับพวกเขาด้วย ขอเพียงแค่พวกเขาสัญญา ข้าก็จะยอมรับคำท้าครั้งนี้ การเดิมพันจะทำให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ บอกพวกเขาว่าไม่ต้องกังวล”ชิงสุ่ยยิ้มครั้งนี้เขาคิดที่จะช่วยปูทางให้กับองค์หญิงใหญ่

 

เทียนเจียงหยุดที่จะโต้แย้งกับชิงสุ่ยเพราะเขารู้ดีว่าชิงสุ่ยจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความคิดในสิ่งที่เขาตัดสินใจไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้ดีว่าชิงสุ่ยเป็นคนที่จะไม่ทำอะไรถ้าหากไม่มั่นใจ

 

เมื่อเขามาครั้งแรก เขาสังเกตเห็นทันทีว่าชิงสุ่ยนั้นแตกต่างไปจากเดิม แม้จะไม่ค่อยมั่นใจ แต่อย่างน้อยความสัมพันธ์ที่เขามีกับชิงสุ่ยก็ได้พัฒนาไปอีกก้าว

 

” พรุ่งนี้เที่ยงที่ลานประลองสวรรค์เร้นลับ”ชิงสุ่ยยิ้มขณะกล่าวยืนยันเวลากับเทียนเจียง

 

การที่ชิงสุ่ยยอมรับคำท้าทาย มันจึงส่งผลให้ชื่อของเขากระจายไปทั่วนิกายสวรรค์เร้นลับอีกครั้ง

 

ผู้คนมากมายต่างพูดถึงหลังจากผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียว ตอนนี้ไม่มีใครกล้าดูถูกชิงสุ่ยอีก เขาสามารถบังคับให้เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกันเพื่อท้าทายกับผู้อื่น อีกทั้งเขายังดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิทักษ์อิสระซึ่งเป็นตำแหน่งที่แสนพิเศษ

 

………………..

 

“น้องชายซุย เจ้าจะเข้าร่วมเป็นสักขีพยานอีกหรือไม่?”ชายชรานามสกุลเฉาระเบิดเสียงหัวเราะขณะกล่าว

 

“ท่านคิดว่ามันยังมีความหวังลงเหลืออีกอยู่หรือ?”

 

“ข้าคิดว่าไม่นะ ดูเหมือนช่องว่างจะกว้างเกินไป”

 

“มันก็จริง แต่อีกเส้นทางหนึ่งคือการดูแลสาวน้อยคนนั้นให้ดีที่สุด ในอนาคต เธอจะเป็นผู้ครอบครองนิกายสวรรค์เร้นลับ เมื่อเธอได้ปกครองที่แห่งนี้ มันจะกลายเป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาทวีปอู่เซียตะวันตก นิกายสวรรค์เร้นลับก็อาจจะมีกำลังมากพอที่จะก้าวขึ้นไปสู่อีก 3 ทวีป นี่แหละคือโอกาส”

 

“เจ้ากำลังพูดถึงเจ้าหนูน้อยซูหนี่รึ?” ชายชราสกุลเฉาถามด้วยท่าทีที่แปลกไป

 

“ฮ่าๆ เรื่องนี้ยังต้องน่าสงสัยอีกหรือ? เจ้าก็ดูนั่นสิ อนาคตของเจ้าหนูซูหนี่จะต้องถูกช่วยเหลือโดยเจ้าเด็กนั่น”ชายชราในชุดมังกรทองกล่าวพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะ

 

………………………..

 

“เจ้าเปลี่ยนไปจริงๆ!!”องค์หญิงใหญ่แสดงความตกใจเมื่อเห็นชิงสุ่ย

 

“ข้าดูหล่อขึ้นใช่ไหมล่ะ?”ชิงสุ่ยรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

“ผิวหนังของเจ้าดูซีดจาง แถมยังนุ่มนวลราวกับเด็กผู้หญิง”องค์หญิงใหญ่กล่าวอย่างจริงจัง

 

“นี่ข้าเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?…..”

 

เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชิงสุ่ย เธอก็เอื้อมมือของเธอไปลูบหัวเขาก่อนจะดึงมือกลับ

 

“นี้เจ้ากำลังจะขึ้นต่อสู้อีกแล้วอย่างนั้นหรือ? เจ้ามันใจหรือไม่ว่าเจ้าจะเอาชัยชนะมาได้?”องค์หญิงใหญ่กล่าวขณะที่เดินไปรอบรอบ

 

“ท่านก็รู้จักข้านี่ ข้าเคยทำอะไรที่ข้าไม่มั่นใจอย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยกล่าวตอบ

 

“เป็นเช่นนั้นก็ดี แล้วก็ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะจากที่นี่ไปก็บอกข้าด้วย ข้าจะเป็นคนไปส่งเจ้าเอง!!”องค์หญิงใหญ่ยิ้มขณะมองหน้าชิงสุ่ย

 

“ท่านกำลังคิดถึงข้าอย่างนั้นรึ?”ชิงสุ่ยก้าวเท้าตรงไปยืนอยู่ข้างหน้าเธอ

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? ข้าไม่เห็นจำเจ้าได้เลย”องค์หญิงใหญ่ยิ้มขณะกล่าว

 

“ข้าขอถามอะไรท่านสักอย่างได้หรือไม่?”ชิงสุ่ยถามด้วยความรู้สึกแปลกๆ

 

“ถามอะไรหรือ?”องค์หญิงใหญ่รับรู้ได้ถึงรูปลักษณ์ที่ดูแปลกไปของชิงสุ่ย

 

“ข้าสามารถบอกได้ว่าทุกคนล้วนมีอารมณ์ส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่ทราบว่าท่านเคยคิดถึงใครสักคนหนึ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาหรือไม่? เช่นการที่ท่านฝันถึงใครสักคนนึง”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างตั้งใจขณะที่มองไปที่องค์หญิงใหญ่ ถ้าหากท่าทางของเธอเปลี่ยนไป เขาก็จะหยุดคำพูดลง

 

“เจ้าต้องการคำตอบเช่นไร?”องค์หญิงใหญ่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆราวกับว่าเธอไม่มีความรู้สึก แต่เธอกลับถามคำถามชิงสุ่ยกลับข้อหนึ่ง

 

“ข้าต้องการคำตอบที่แท้จริง”

 

“แล้วเจ้าสามารถแยกแยะระหว่างคำตอบที่แท้จริงกับคำตอบจอมปลอมได้หรือ?”

 

“ไม่!!”

 

” ก็ดี เช่นนั้นเจ้าก็จงบอกคำตอบที่เจ้าอยากได้ยิน ข้าจะได้ตอบในสิ่งที่เจ้าต้องการไม่ดีกว่าเหรอ?”องค์หญิงใหญ่ตอบพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อย

 

” ดูเหมือนมันจะสมเหตุสมผลดี ถ้าเช่นนั้นข้าก็อยากให้ท่านตอบว่าท่านมีอารมณ์ และคนที่ท่านมักจะฝันถึงก็คือชายที่ชื่อว่าชิงสุ่ย และทุกครั้งที่ท่านฝัน ท่านก็จะจมลงสู่ความสุขที่ครอบงำพร้อมกับความรู้สึกทางเพศที่ท่านต้องการ……….”

 

ก่อนที่ชิงสุ่ยจะกล่าวจบ องค์หญิงใหญ่ก็เม้มปากของเธอ

 

เธอไม่คาดคิดว่าเจ้าเด็กน้อยคนนี้จะไม่ค่อยมีมารยาท และเขาก็แสดงความกล้าหาญออกมา โดยการที่เขาประทับปากของเขาลงบนปากของเธอและเริ่มแลกลิ้นผ่านช่องปากของเธอ ผนวกกับมือที่ค่อนข้างซุกซน ในตอนนี้องค์หญิงใหญ่ถูกเติมเต็มไปด้วยความตกใจ

 

“เจ้าไม่ให้ความเคารพข้าเลย”องค์หญิงใหญ่ลดศีรษะของเธอลงและกล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่

 

หัวใจของชิงสุ่ยหยุดเต้นไปชั่วขณะ พร้อมกับยื่นแขนทั้งสองข้างไปจับที่ไหล่ของเธอและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่ ข้ายังคงเคารพการกระทำท่านอยู่เสมอ แต่ด้วยเพราะเหตุผลบางประการมาทำให้ข้ารู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้มองเห็นใบหน้าอันขี้อายขอท่าน ข้าจะปฏิบัติต่อท่านเฉกเช่นคู่รักที่พร้อมจะแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าท่านจะบอกว่าท่านจะไม่แต่งงาน แต่ข้าก็จะเป็นคนเติมเต็มส่วนที่ขาดหายให้ท่านเอง”

 

เมื่อองค์ยืนใหญ่ได้ยินคำพูดของชิงสุ่ยร่างกายของเธอก็เริ่มสั่นสะท้าน เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองการกระทำที่รุนแรงของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นเธอก็ยิ้มอย่างนิ่มนวล “ข้าไม่เคยคิดที่จะแต่งงาน แต่ถ้าหากเจ้าต้องการทำเช่นนั้น ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้า”

 

“แล้วท่านลืมความจริงเรื่องที่ข้ามีภรรยาอยู่แล้วได้อย่างนั้นหรือ?”ชิงสุ่ยจ้องมององค์หญิงใหญ่ด้วยความสับสน ความคิดของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้

 

“ข้าไม่ได้ยึดติดอยู่กับสิ่งที่อยู่รอบตัวเจ้า นอกจากนี้ข้าก็แค่อยากบอกว่า เจ้าอย่าได้คิดไม่ซื่อ มิฉะนั้นข้าจะไม่สนใจเจ้าไปอีกตลอดชีวิต”องค์หญิงใหญ่เผยรอยยิ้มที่แสนผ่อนคลาย

 

“เจตนาที่หยาบคาย? คิดไม่ซื่อ?”ชิงสุ่ยเสแสร้งแกล้งถามราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร

 

“อย่าถอดเสื้อของข้า……..” ดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่จะไม่รู้ว่าเธอควรจะตอบสนองอย่างไรให้เหมาะสม เธอรู้ว่าชิงสุ่ยกำลังล้อเล่นกับเธออยู่ดูเหมือนเธอจะตระหนักได้ถึงแผนการของชายคนนี้

 

“โอ้ ข้ารู้ แต่ถ้าหากข้าไม่ถอดเสื้อผ้าออกแล้วข้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการได้อย่างไร?”ชิงสุ่ยถามกลับด้วยรอยยิ้ม

 

เมื่อองค์หญิงใหญ่ได้ยินเช่นนั้นเธอก็รีบกล่าวต่อว่า “เจ้าหนูน้อย ความห้าวหาญของเจ้าช่างมากจริงๆ”

 

“ข้ากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับผู้อื่น แม่นางซู ได้โปรดสร้างแรงจูงใจให้ข้าด้วยเถิด”ชิงสุ่ยเผยรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย

 

องค์หญิงใหญ่ยังคงเดินหน้าต่อและเริ่มกอดชิงสุ่ย จากสิ่งที่เธอกล่าวมาก่อนหน้านี้ถือได้ว่ามันเป็นสัญญาที่มีต่อชิงสุ่ย ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกแล้วว่าการมีปฏิสัมพันธ์ในครั้งนี้คือสิ่งที่น่าเกลียด

 

ชิงสุ่ยมองหน้าอันงดงามของเธอก่อนจะเริ่มบรรจงจูบอีกครั้ง กลิ่นหอมพร้อมกับผิวที่นุ่มเรียบลื่นยิ่งทำให้มือของเขาซุกซน และทำให้องค์หญิงใหญ่ตกตะลึง

 

ผลกระทบยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เธอมองดูชิงสุ่ยเธอก็ลดศีรษะลงแนบที่หน้าอกของเขา  ต่างฝ่ายต่างโอบกอดซึ่งกันและกัน

 

ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงยอดปทุมถันที่กระชับและความนุ่มนวลทั่วร่างกาย เขาไม่อาจต้านทานการแข็งตัวขององค์ชายตัวน้อยของเขาได้อีกต่อไป มันเริ่มกดลงทับจุดซ่อนเร้นที่แสนงดงามของเธอ

 

ทันทีทันใดที่ส่วนสำคัญของเขาสัมผัสกับร่างกายของเธอ ร่างกายที่แสนงดงามขององค์หญิงใหญ่ก็เริ่มสั่นระทวย ขาที่เรียวยาวของเธอแปรเปลี่ยนเป็นงูเข้ารัดรางกายของเขา องค์ชายตัวน้อยของชิงสุ่ยก็ค่อยๆขยับเหนือจุดซ่อนเร้น

 

ชิงสุ่ยสูดรับลมหายใจแห่งความเย็น นี่เป็นความรู้สึกที่แสนสบาย หลังจากที่เขาได้ดื่มด่ำกับความสุขอันแสนยาวนาน เขายังคงสวมกอดเอวสาวงามดูที่มือของเขายังคงจับอยู่บริเวณก้นที่นุ่มนวลดุจหยก

 

“ถ้าหากเจ้าพยายามทำอะไรเกินเลยมากกว่านี้ ข้าจะจากไปทันที”

 

เสียงที่แสนนุ่มนวลและอ่อนโยนขององค์หญิงใหญ่ดังขึ้น

 

ถึงแม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่วัตถุที่ตั้งตระหง่านกำลังกระตุ้นราวกับว่ามันกำลังเคลื่อนไหวขึ้นลงเล็กน้อย

 

อ้อมแขนของชิงสุ่ยโอบกอดก้นอันทรงเสน่ห์ของเธอ เขาลดศีรษะลงพร้อมกับสายตาพร่ามัว ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงพร่า และเธอก็สวมกอดแขนทั้งสองข้างของเธอลงบริเวณข้างคอของชิงสุ่ย เธอต้องการขยับร่างกายของเธอขึ้นเล็กน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์ในส่วนล่าง

 

แต่อย่างไรก็ไม่ทราบ ยิ่งเธอพยายามขยับเขยื้อนมากเท่าไหร่ร่างกายทั้งสองอย่างแออัดมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้เธอจะสมเสื้อผ้าแต่ความปรารถนาอันแรงกล้าของชิงสุ่ยก็ส่งผลถึงเธออย่างเห็นได้ชัด เขาเหมือนคนที่กำลังจะอดตายทั้งทั้งที่เห็นเนื้อปรุงสุกแสงอร่อยอยู่เบื้องหน้า แต่สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้คือการเลียสัมผัสแต่ไม่อาจกัดกินมัน

 

แม้เวลาจะผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแต่สิ่งเดียวที่ชิงสุ่ยทำได้คือการโอบกอดหญิงสาวโฉมงาม จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนโชกอยู่ด้านล่างตัวเขา แต่มันไม่ได้มาจากเขา มันมาจากหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนซึ่งกำลังสั่นเครือ

 

เธอช่างเป็นหญิงสาวที่แสนอ่อนไหวจริงๆ…………………