บทที่ 1252 – รางวัลแด่ผู้ชนะ เจ้าในตอนนี้เปรียบดั่งมดที่ข้าสามารถขยี้ได้ทุกเมื่อ

 

ชิงสุ่ยรับรู้ได้ว่าหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา ยังคงกอดเขาแน่นและไม่ยอมเคลื่อนย้ายไปไหน มันเป็นความสุขที่ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์

 

ร่างกายของชิงสุ่ยในตอนนี้ ราวกับกำลังถูกเผาไหม้ มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาอาจจะกระทำ? แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเลย อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะจบลงอย่างรวดเร็ว เขายังคงถูกเติมเต็มไปด้วยความรู้สึกเพลิดเพลินของร่างกายที่ถูกันไปมา แม้จะเป็นเพียงภายนอกแต่มันก็มีผลอย่างมากต่อจิตใจ

 

อย่างไรก็ตามการที่ได้สัมผัสกับสุภาพสตรีโดยเฉพาะหญิงงามที่มีใครเทียบได้ ยิ่งทำให้ความรู้สึกของเขาพุ่งพล่านและอยากเพลิดเพลินกับการแสดงออกของเธอมากขึ้น

 

ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดที่หัวไหล่ก่อนจะได้ยินเสียงร้องอุทานดังขึ้น “เจ้าคนพาล!!”

 

ด้วยเหตุนี้ องค์หญิงใหญ่จึงรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเธอจะกังวลเกี่ยวกับบริเวณส่วนล่างของชิงสุ่ยที่กำลังเปียกชื้น……………

 

องค์หญิงใหญ่ต้องการล้างเนื้อล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนตัวเขานั้นกำลังใช้ความพยายามทั้งหมดในการปราบปรามเปลวเพลิงที่แสนชั่วร้ายในร่างกายของเขา

 

การกระทำของเธอในตอนนี้ได้สูญเสียความสงบนิ่งเยี่ยมเย็น ชิงสุ่ยรู้ดีว่าชีวิตนี้เขาจะต้องพัวพันกับผู้หญิงคนนี้อย่างแน่นอน

 

เขาไม่สามารถต่อต้านความงามของเธอได้ เขายอมรับกับตัวเองว่าเขารู้สึกหลงใหลในตัวของเธอ ในเวลาเดียวกัน ความขัดแย้งที่แฝงอยู่ก็ทำให้ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าควรจะก้าวต่อหรือถอยหลังดี

 

แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ก็ตาม แต่ชิงสุ่ยย่อมรู้ดีว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจแบ่งปันใช้ที่ตนรักให้กับผู้อื่น แม้ว่าโลกนี้อยู่บนพื้นฐานแห่งความผิดปกติ แต่ชิงสุ่ยก็รับรู้ได้ถึงมุมมองเหล่านั้น

 

ในชีวิตก่อนเขาใฝ่ฝันถึงการมีภรรยาหลายคนรวมถึงนางสนม แต่ในสังคมเหล่านั้นการแต่งงานกับผู้หญิงหลายคนคือสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยและถือว่าเป็นสถานะที่เท่าเทียมกันทั้งสองคน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกมาตลอดว่ามันไม่เป็นธรรมกับผู้หญิงของเขา

 

ตั้งแต่บัดนั้นจะถึงตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วสำหรับเขาที่จะมีภรรยาเพียงแค่คนเดียว นี่คือโชคชะตาของเขาที่คงถูกลิขิตเอาไว้ ชิงสุ่ยยังคงย้ำเตือนกับตนเองว่าเขาไม่ควรเพิ่มจำนวนผู้หญิงข้างกายและควรมุ่งมั่นที่จะชำระหนี้แค้นและมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ควรทำ

 

แต่ชายหญิงเปรียบเสมือนหยินและหยางของโลก ซึ่งทั้งสองอย่างล้วนมีเสน่ห์และดึงดูดซึ่งกันและกัน มนุษย์เปรียบดังสิ่งมีชีวิตที่หิวกระหายอาหารและความปรารถนา นี่คงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงตัณหาราคะ

 

การผสานระหว่างหยินและหยางคือศาสตร์แห่งความลึกลับ มันจะนำมาซึ่งพลังอันแสนพิศวง การแลกเปลี่ยนจิตใจและจิตวิญญาณของคนทั้งสองซึ่งนำไปสู่สรวงสวรรค์พร้อมจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง

 

ชิงสุ่ยสายหน้า ถ้าหากไม่ใช่เพราะกลิ่นที่ค้างติดร่างกายของเขาอยู่นั้น เขาคงคิดว่าทั้งหมดเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา หลังจากรอเพียงชั่วครู่หนึ่ง เขาก็ไม่เห็นองค์หญิงใหญ่กลับมา ชิงสุ่ยรับรู้ได้ทันทีว่าเธอจะต้องรู้สึกเขินอายอย่างยิ่ง

 

เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินมุ่งตรงไปยังห้องที่องค์หญิงใหญ่อยู่ และเคาะประตูเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็ว เบื้องหน้าปรากฏเป็นองค์หญิงใหญ่ที่สวมชุดวิหคเพลิงทองคำ เสน่ห์ของเธอเปล่งประกายออกมาผ่านชุดที่สวมใส่ พร้อมกับแก้มอมชมพูและดวงตาที่พร่ามัว เธอพยายามหลีกเลี่ยงการจ้องตากับชิงสุ่ย

 

“พี่สาวซูเป็นอะไรหรือไม่…….”

 

ทุกอย่างเป็นไปดั่งที่คาด องค์หญิงใหญ่ร่วมมือออกมาบิดหูข้างนึงของเขาและกล่าวว่า “เจ้าเด็กเล่ห์เหลี่ยม เจ้ากำลังจะทำอะไรกับข้า……”

 

“ข้าไม่ได้ทำอะไร ทุกอย่างดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอตัวไปทำอาหารก่อนล่ะ”

 

“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้นำเรื่องนี้ออกมาพูด”องค์หญิงใหญ่ยังคงแสดงความเขินอาย

 

ชิงสุ่ยฉวยโอกาสสวมกอดเธอและกระซิบข้างหูเบาๆว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้เจ้ารู้สึกดีหรือไม่?”

 

องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงกระเส่าว่า “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนี้ บางทีถ้าหากเจ้าทำผลงานได้ดี ข้าก็อาจจะมีรางวัลให้”

 

“ข้าชอบการได้รับรางวัล ถ้าหากข้าชนะ ท่านจะต้องให้รางวัลแก่ข้า”ความโลภปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิงสุ่ย

 

“ถ้าหากเจ้าชนะ ข้าจะให้รางวัลกับเจ้า จงตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้และเอาชนะให้ได้ในวันพรุ่ง”

 

หลังจากกล่าวจบองค์หญิงใหญ่ก็ออกจากห้องของชิงสุ่ยไป

 

……………….

 

ช่วงเที่ยงของวันรุ่งขึ้นฝูงชนจำนวนมากได้มารวมตัวกันใกล้ๆลานประลองสวรรค์เร้นลับ ภาพที่ปรากฏเต็มไปด้วยชีวิตที่ถูกเติมเต็มไปด้วยความสนุก ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้รับชมการต่อสู้ที่แสนน่าตื่นเต้นบนลานประลองสวรรค์เร้นลับในระยะเวลาอันสั้น

 

คราวนี้ ชิงสุ่ยไม่ได้มาสาย อีกทั้งเขายังมาก่อนเวลาถึง 15 นาที เขานั่งอยู่ใกล้กับผู้คนจากพาไลหิมะหวน ซึ่งผู้คนภายในพาไลหิมะหวนแตกต่างจากครั้งก่อนมาก ชิงสุ่ยได้บอกให้องค์หญิงใหญ่รับสมัครผู้คนโดยตั้งเงื่อนไขที่สูงขึ้นสำหรับการเข้าร่วม เป้าหมายหนึ่งก็คือการสร้างความสามัคคีภายในพาไลหิมะหวน และทำให้พวกเขารู้สึกว่าทุกคนคือครอบครัวใหญ่

 

ชิงสุ่ยปรากฏตัวขึ้นเป็นคนแรกบนลานประลองสวรรค์เร้นลับ จากนั้นเขาก็ชูกำปั้นขึ้นและชี้ออกไปทางผู้คนที่อยู่ด้านล่างลานประลอง

 

“ในวันนี้ ข้ามาที่นี่ก็เพราะ เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ นิกายโลกานฤเบศและคนจากหอจันทรา พวกเขาได้ส่งจดหมายท้าทายแก่ข้า ข้าจะไม่พูดมาก ผู้เข้าร่วมแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบชีวิตและความตายของตนเอง ผู้ที่พ่ายแพ้จะต้องยอมรับเงื่อนไขของผู้ชนะเพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด แน่นอนว่ามันก็ขึ้นอยู่กับผู้ชนะว่าจะตัดสินใจยอมรับมันหรือไม่”ชิงสุ่ยกล่าวข้อตกลงคือจำกัดให้กับผู้คนได้ยิน

 

“หยิ่งยโสเหลือเกิน มันก็เป็นเพียงเด็กที่โชคดีคิดหรือว่าจะสามารถต่อต้านเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้?”

 

” เขาช่างเป็นคนที่หยิ่งยโสเหลือเกิน มันคิดว่าตัวเองอยู่สูงส่งกว่าผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?”

 

“อีกเดี๋ยว มันก็คงรู้ตัวว่าชีวิตกำลังจะดับสิ้น”

 

“ชิงสุ่ย พวกเราเชื่อใจในตัวเจ้า ล้มพวกมันซะ พวกมันก็แค่อวดอ้างชื่อเสียงข่มขู่ผู้อื่นไปทั่ว”

 

“ถูกต้องพวกมันเอาแต่กลั่นแกล้งผู้อื่นผู้คนมากมายรอคิดบัญชีกับพวกมัน”

 

…………..

 

ฟู่ เหยียนเทียนทะยานลงสู่ลานประลองสวรรค์เร้นลับ และเหลือบมองไปทางชิงสุ่ยด้วยความสงบ

 

“วันนี้เจ้าจะต้องระมัดระวังให้มาก ครั้งนี้ ข้าจะไม่ออมมือแล้ว”ฟู่ เหยียนเทียนจ้องมองชิงสุ่ย พร้อมทั้งหยิบง้าวสงครามออกมา

 

“ถ้าหากเจ้าแพ้ เหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องรับใช้ภายใต้คำสั่งพาไลหิมะหวน”ชิงสุ่ยเปล่งวาจา

 

ฟู่ เหยียนเทียนรู้สึกทึ่ง เหตุผลก็เพราะสิ่งที่ชิงสุ่ยได้กล่าวออกมาเป็นสิ่งที่ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน

 

“จะทำอย่างไรถ้าหากเจ้าพ่ายแพ้?”

 

“ถ้าหากข้าพ่ายแพ้ เจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการกับตัวข้า”ชิงสุ่ยกล่าวตอบ

 

“เอาล่ะทุกคนจงเป็นสักขีพยาน พวกเรามาเริ่มกันเถอะ”ฟู่ เหยียนเทียนก้าวไปข้างหน้าและกล่าววาจาให้ทุกคนได้ยิน

 

” โปรดแสดงกระบวนท่าของเจ้าเถิด มิฉะนั้นเจ้าจะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นอีก”คำพูดของชิงสุ่ยส่งผลให้ฟู่ เหยียนเทียนแสดงปากที่บิดเบี้ยว ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งเดียวกันกับที่เขาได้กล่าวไว้เมื่อครั้งที่แล้ว

 

“เดี๋ยวเจ้าจะได้เห็นดีกัน!!”

 

ฟู่ เหยียนเทียนปลดปล่อยพลังแห่งความห้าวหาญทั้งหมดออกมาพร้อมทั้งเปิดการใช้งานของเกราะอสูรสำแดง แสงสว่างอันร้อนแรงถูกระเบิดออกมาอย่างรวดเร็ว ง้าวสงครามที่อยู่ในมือของเขาเริ่มทอแสงและเคลือบไปด้วยเจตนาแห่งการฆ่าฟัน

 

“มาดูกันว่าเจ้าสามารถปกป้องตัวเองได้หรือไม่ เจ้าจะสู้กับข้าได้อย่างไรถ้าหากเจ้าไม่นำอสูรของเจ้าออกมา?”

 

คราวนี้ชิงสุ่ยไม่ได้เรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำออกมา ฟู่ เหยียนเทียนจึงพยายามที่จะทำให้ชิงสุ่ยพิการภายในกระบวนท่าเดียว

 

กระบี่ดารายุพฆาต!!!!

 

รูปแบบ8ดาราคล้อย 8 สวรรค์!!!

 

ฝ่ามือพุทธองค์ทองคำสะท้านที่ 7

 

ฝ่ามือทองคำขนาดยักษ์ทั้ง 7  ผสานกันเป็นรูปดอกบัว เข้าโอบล้อมฟู่ เหยียนเทียนที่กำลังถือง้าวสงคราม

 

ความสามารถในการคุมขังของชิงสุ่ยไม่เพียงแต่จะสามารถจัดการกับฟู่ เหยียนเทียนที่มีพลัง 2000 สุริยา แต่เขายังสามารถคุมขังผู้คนที่มีพลังมากถึง 4000 สุริยาได้ และยิ่งผสานเข้ากับ รูปแบบ8ดาราคล้อย 8 สวรรค์แล้ว ยิ่งสร้างความอันตรายเป็นทวีคูณ

 

“เจ้าในตอนนี้เปรียบดั่งมดที่ข้าสามารถขยี้ได้ทุกเมื่อ!!!”ชิงสุ่ยจ้องมองฟู่ เหยียนเทียนที่ถูกกักขังและกล่าวอย่างสงบนิ่ง

 

ฟู่ เหยียนเทียนทำได้เพียงแค่ตกตะลึง ในเมื่อเขาถูกคุมขังด้วยพลังพลังจิตที่แข็งแกร่งกว่าแลh;เขาจะต่อสู้ได้อย่างไร? สำหรับการคุมขังโดยผู้ที่มีพลังปราณจิตสูงกว่าการทำลายจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง นั่นก็หมายความว่าชิงสุ่ยย่อมสามารถสังหารเขาได้โดยง่าย

 

เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เขาแข็งแกร่งขึ้นเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดเมื่อต้องเจอกันในครั้งก่อน

 

“ฟู่ เหยียนเทียน จงเลือกทางของเจ้าซะ เจ้าจะต่อสู้ต่อหรือจะยอมสวามิภักดิ์ต่อพาไลหิมะหวน”

 

ความเงียบกำลังครอบงำหลงเหลือเพียงแค่เสียงลมหายใจและอาการหอบที่ผิดปกติ

 

ฟู่ เหยียนเทียนตกอยู่ในอาการท้อแท้โดยสิ้นเชิง เขาพ่ายแพ้เพียงกระบวนท่าเดียว นี่หรือคือคนที่เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะ? อัจฉริยะที่ได้รับพรจากสวรรค์ ในช่วงขณะ เขาก็เริ่มเข้าใจในบางสิ่งบางอย่าง

 

“ปุ!!!”

 

เลือดสดๆไหลออกอย่างรวดเร็ว ร่างกายของฟู่ เหยียนเทียนซูบผอมขาดความมีชีวิตชีวา จุดตันเถียนกำลังรั่วไหล เขากำลังจะกลายเป็นคนพิการ แม้ว่าจะไม่ตายแต่ก็พิการไปตลอดชีวิต

 

ชิงสุ่ยไม่ได้บังคับใดๆทั้งสิ้น เขาทำได้แค่ตอนหายใจและเฝ้าดูฟู่ เหยียนเทียนถูกหามออกจากลานประลอง ตระกูลฟู่เองก็ไม่อาจเชื่อสายตาตัวเอง อนาคตของพวกเขากำลังเสื่อมโทรมลง

 

” เทียน เจียนเซียน ขึ้นมาเถิด!!!”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับหันไปทาง นิกายโลกานฤเบศ

 

ชายรูปร่างสูงโปร่งและดูห้าวหาญปรากฏตัวขึ้นกลางลานประลองสวรรค์เร้นลับ ลักษณะภายนอกอาจดูคล้ายกับเทียนเจียงแต่กลิ่นอายที่พิศวงนั้นทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดคล้ายคลึงกับฟู่ เหยียนเทียน

 

ฟู่ เหยียนเทียนพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว เขาจะไม่ยอมให้ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นติดกัน 2 ครั้ง เรือที่ขับเคลื่อนขุมพลังมาเป็นเวลาหลายปีและจะต้องสูญเสียไปทั้งสองคนเป็นเรื่องที่รับไม่ได้

 

อย่างไรก็ตาม เทียน เจียนเซียนก็ไม่ได้ดีกว่า เขาเองก็รู้สึกท้อแท้เมื่อต้องก้าวขึ้นสู่ลานประลองสวรรค์เร้นลับ แม้ว่าเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งกว่าฟู่เหยียนเทียน แต่เขาก็ต้องยอมรับคำท้า และทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะให้ได้ ความพ่ายแพ้คือความอัปยศอดสูในสายตาของผู้ฝึกตน นอกจากนี้เขายังยืนอยู่ข้างเดียวกับผู้ที่ออกจดหมายท้ารบผู้อื่น นั่นก็ยิ่งทำให้การที่พวกเขาพ่ายแพ้ พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับคลื่นน้ำแห่งความเยาะเย้ยอันแสนน่ากลัว

 

“เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำของนิกายโลกานฤเบศ จงช่วยเหลือน้องชายของเจ้าเพื่อให้เขาขึ้นมาเป็นผู้นำนิกายโลกานฤเบศคนใหม่ เขาเหมาะสมมากกว่าเจ้า ในอนาคต เขาจะต้องบรรลุในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ข้าสงสัยว่าเจ้าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าพูดหรือไม่?”ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว