ร่วมห้องอย่างนั้นหรือ
จะร่วมห้องได้อย่างไร
“ใต้เท้าของพวกข้าเดินทางไกลมาจากเมืองหลวง เหนื่อยล้ายิ่งนัก ทว่าศาลาพักม้ากลับเต็มเสียนี่ แม้จะให้พวกข้าไล่คนพวกนั้นออกไปก็ทำได้อยู่หรอก เพียงแต่ข้าทำใจไม่ได้…” ชายผู้นั้นเอ่ยกระซิบ
“ทำใจอะไรของเจ้า ที่นี่เป็นศาลพักม้า ไม่ใช่โรงเตี๊ยมเสียหน่อย เร็วเข้า เร็วเข้า ไล่เจ้าพวกนั้นออกไป ข้าจ่ายเงินซื้อห้องชั้นบนสองห้อง” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยขัด
ชายผู้นั้นยิ้มพลางส่ายหน้า
“ท่านชายพูดเป็นเล่นไป ข้ามิกล้าหรอก” เขาเอ่ย “มีทั้งคนเฒ่าคนแก่มีทั้งหญิงสาว น่าสงสารจะตายไป”
“น่าสงสารหรือ หากสงสารเจ้าก็ไปนอนในป่าเสียเองสิ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเย้ยหยัน
“เช่นนั้นใต้เท้าของพวกข้าก็น่าสงสารเช่นกัน” ชายผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าคิดจะทำเช่นไรกันแน่” ท่านชายหวังสิบเจ็ดถาม
“เรื่องนั้นก็พูดยากอยู่เหมือนกัน” ชายผู้นั้นเอ่ย “พวกข้ามีตราขุนนางก็จริง แต่ไม่มีเงิน ท่านว่าอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะใช้ตราขุนนางแลกกับห้อง ส่วนท่านก็ให้เงินกับคนที่ถูกไล่ออกไป เช่นนั้นแล้วพวกเราก็เท่ากับได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”
ท่านชายหวังสิบเจ็ดตาเป็นประกาย
บ่าวชราพยักหน้าในทันที
ความคิดนี้ไม่เลวนี่
สมเหตุสมผล
“เช่นนั้นข้าขอห้องชั้นบนสองห้อง” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยขึ้นในทันใด “ข้ามีหญิงสาวเดินทางมาด้วย”
ชายผู้นั้นร้องอ๋อ ก่อนสีหน้าจะเป็นกังวลขึ้นมา
“ตามกฎแล้วห้องชั้นบนเป็นห้องสำหรับเหล่าขุนนาง…” เขาเอ่ย “เช่นนี้ก็แล้วกัน ห้องเดี่ยวสองห้องได้หรือไม่”
เช่นนั้นก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนตามโถงทางเดิน ไม่ต้องมากความ
ท่านชายหวังสิบเจ็ดพยักหน้า
“เอาเถิด กู่ป๋อ ท่านไปจัดการกับพวกเขาก็แล้วกัน” เขาโบกมือไปมาพลางเอ่ยหน้าชื่น
บ่าวชราพยักหน้ารับ พลางมองไปทางชายผู้นั้น
“ขอถามได้หรือไม่ ท่านผู้อาวุโสรับราชการที่ใด” เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“มิบังอาจ มิบังอาจ ข้าก็แค่ขุนนางผู้น้อยประจำถนนไท่ชางของสำนักขนส่งเพียงเท่านั้น” ชายผู้นั้นตอบด้วยรอยยิ้ม
สำนักขนส่งอย่างนั้นหรือ บ่าวชราตกตะลึงในทันใด นี่เป็นสำนักที่ดูแลภาษีอากรที่นาของแผ่นดินเชียวนะ เป็นเหมือนน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงราชสำนัก ส่วนใหญ่เจ้ากรมเมืองจะส่งขุนนางมาดูแลโดยตลอด หากขุนนางผู้น้อยจากสำนักขนส่งได้รับหน้าที่นี้ ย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ในใจของของบ่าวชราชื่นมื่นขึ้นมาในทันที คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้สร้างสัมพันธ์ระหว่างทางเช่นนี้ ดูแลภาษีอย่างนั้นหรือ ย่อมมีประโยชน์ต่อตระกูลหวังที่ค้าขายทางเรือเป็นแน่
“ใต้เท้าช่างถ่อมตนยิ่งนัก” เขาเอ่ยเยินยอ
ชายผู้นั้นไม่เกรงใจอีกต่อไปก่อนจะพยักหน้ารับ
“เช่นนั้นก็ขอบคุณเงินของพวกเจ้าด้วย” เขาเอ่ยพลางหันไปบอกทหารองครักษ์ด้านหลัง พร้อมกับส่งสายตาสั่งการ “พวกเจ้าไปเดินเรื่องกับท่านผู้อาวุโส เร็วเข้าล่ะ รถม้าของใต้เท้าใกล้จะมาถึงแล้ว”
ทหารองครักษ์ขานรับ บ่าวชราพยักหน้าก่อนจะเดินตามไป ส่วนท่านชายหวังสิบเจ็ดก็รีบเดินออกไปบอกข่าวด้านนอก ทว่าเหมือนคิดอะไรได้บางอย่างจึงกลับเข้าไปอีกครั้ง
“ท่านใต้เท้า ให้คนครัวเตรียมเหล้ากับอาหารด้วยละ” เขาเอ่ยเสียงดัง
เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พลางมองท่านชายหวังสิบเจ็ดเดินจากไป
ริมถนนหน้าศาลาพักม้า เหล่าผู้ติดตามจากตระกูลโจวตั้งกระโจมเป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับก่อกองไฟ จากนั้นก็มีคนสองสามคนยกเนื้อ ผัก และเหล้าสองไหที่ซื้อมาจากครัวเดินเข้ามา
“ศาลาพักม้าแห่งนี้มีเหล้าชั้นเยี่ยมซ่อนไว้ด้วยหรือนี่…” พ่อบ้านเฉาเอ่ยกับเฉิงเจียวเหนียง
“ยามดึกเช่นนี้ดื่มเพียงเพื่อคลายหนาว อย่าได้ดื่มมาก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ” พ่อบ้านเฉาพยักหน้าพลางเอ่ย
“เห็นหรือไม่ ข้างแรมข้างนอกเช่นนี้ แม้แต่ดื่มเหล้าก็ยังทำตามใจตนไม่ได้” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ย พลางเดินโซเซเข้ามา ท่าทางดูลำพองใจนัก
“ออกบ้านออกเรือนมา ทั้งยังอยู่ระหว่างทาง จะทำอันใดตามใจตนก็คงมิได้อยู่แล้ว” พ่อบ้านเฉาเอ่ย
บ่าวผู้นี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!
“ใครใช้ให้เจ้าพูด!” ท่านชายหวังสิบเจ็ดถลึงตาตะโกนใส่เขา ก่อนจะมองไปทางเฉิงเจียวเหนียง “เอาละ ได้ห้องมาแล้ว เก็บของของเจ้าให้เรียบร้อยแล้วเข้าพักเถิด ส่วนพวกเจ้า…”
เขาหันไปหาพ่อบ้านเฉาและบ่าวไพร่ ก่อนจะส่งเสียงเย้ยหยัน
“โถงทางเดินก็คนเต็มแล้ว พวกเจ้าก็นอนที่นี่ก็แล้วกัน จะได้ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ตั้งกระโจม”
“เจ้าไปเอาห้องมาได้อย่างไร”
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมาถาม นางนั่งอยู่บนเก้าอี้สี่ขาสวมเสื้อคลุมและหมวก
ท่านชายหวังสิบเจ็ดลำพองใจเสียยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเชิดหน้าแล้วเอ่ยพึมพำ
“ข้ามีวิธีของข้า” เขาเอ่ย
จังหวะที่พูดนั้น ภายในศาลาพักม้าก็วุ่นวายขึ้นมา
“ออกไป ออกไป ไม่ได้ยินท่านผู้เฒ่าพูดรึ” ทหารองครักษ์สองนายเอ่ยพลางสะบัดแส้ในมืออย่างแรง
ชายชราที่อุ้มเด็กอยู่หลบไม่ทัน พอเบี่ยงตัวหลบเพื่อปกป้องเด็กน้อยในอ้อมอกจึงโดดแส้ฟาดไปถึงสองครา
เด็กน้อยร้องไห้เสียงดัง หญิงสาวกรีดร้อง ห้องโถงที่เดิมทีก็แออัดอยู่แล้วก็โกลาหลวุ่นวายขึ้นมา
“ท่านทหารเฒ่าบอกว่าให้พวกเขาปูฟูกนอนที่นี่ได้…” ผู้ดูแลศาลาพักม้าเข้าม้าห้าม ใบหน้าของเขาซีดเผือด เหงื่อท่วมไปทั้งกาย
“ปูฟูกอะไรกัน ไสหัวออกไป พวกข้าจะกินข้าวและนอนพักที่นี่” เหล่าทหารองครักษ์ตะโกนพลางง้างแส้ในมือ ก่อนจะหันไปมองอีกทาง “พวกเจ้า ให้เงินพวกมันไปสิ ให้พวกมันออกไปหาที่นอนที่อื่น”
บ่าวชราและผู้ติดตามมองอย่างตกตะลึก
พอได้ยินคำพูดของทหารองครักษ์ คนทั้งห้องโถงจึงหันมองมาที่พวกเขา สายตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างไม่ปกปิด
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นนั้น…” บ่าวชรารีบเอ่ยขึ้น เหงื่อซึมไปทั่วหน้าผาก
เรื่องมันชักจะชอบมาพากลเสียแล้ว…
ทว่าในยามดึกสงัดเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดสนใจคำพูดของเขา
“พวกข้าไม่ต้องการเงิน พวกข้าจะพักที่นี่” ชายหนุ่มที่ถูกไล่ออกไปตะโกนอย่างเดือดดาล
พอที่คนนำก็มีคนพากันตะโกนตามมา
“ใช่ พวกเราไม่ต้องการเงิน”
“ผู้ใดอยากได้เงินของพวกเจ้ากัน!”
“ใช้อำนาจบาตรใหญ่กลั่นแกล้งผู้อื่น! คิดว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปรหรือย่างไร!”
พอเห็นผู้คนพากันเกรี้ยวกราด ทหารองครักษ์จึงหัวเราะออกมา ก่อนจะสะบัดแส้ในมืออย่างแรง
“พวกเจ้าจะทำอย่างไรได้ จะฟ้องร้องหรือ ข้าจะบอกอะไรให้พวกเจ้าฟังนะ ใต้เท้าของข้าเป็นผู้ถือตราแทนพระองค์ของฝ่าบาท หากยังไม่รีบไสหัวไปอีก ขัดขวางราชการของใต้เท้า พวกเจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”
ขุนนางจากราชสำนักหรือนี่
คนทั้งโถงชะงักไปครู่หนึ่ง ความเกรี้ยวกราดเมื่อครู่คลายลง เหลือเพียงความจนใจและความกล้ำกลืนในความไม่เป็นธรรมนี้
ผู้ดูแลศาลาพักม้าสีหน้ายุ่งเหยิง ก่อนจะก้าวออกมาอย่างอดไม่ได้
“แม้จะพูดเช่นนั้นก็เถอะ หากไล่พวกเขาเหล่านี้ออกไป มีทั้งหญิงสาว คนแก่ เด็กเล็ก ดึกดื่นเช่นนี้อันตรายนัก…” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
“ข้าก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล” ทหารองครักษ์เองก็สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนจะเหลียวไปถลึงตาใส่บ่าวชราและผู้ติดตามที่อยู่ข้างๆ “ยังไม่รีบให้เงินพวกเขาอีก!”
บ่าวชราเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย
“เงินพวกนี้ พวกเจ้าเอาไปหาที่พักที่อื่นเถิด…” เขาเอ่ยพลางยื่นเงินให้เหล่าผู้คนในห้องโถง
ไม่มีผู้ใดรับเงินจากเขา แถมยังมีเสียงเย้ยหยันอีกต่างหาก เหล่าคนหนุ่มพยุงคนแก่ หญิงสาวอุ้มเด็กน้อย แม้จะวุ่นวายแต่กลับพากันเดินออกจากโถงไปแต่โดยดีอย่างหน้าประหลาด ส่วนอีกฝากหนึ่งที่ลานท้ายเรือนก็มีเสียงผู้คนกำลังก่นด่าไม่หยุดหย่อน
“นี่มันใช้อำนาจกลั่นแกล้งกันชัดๆ!…”
“ขุนนางเลวคนไหนกัน…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงม้าดังมาจากด้านนอกของศาลาพักม้า ทหารนับหลายสิบนายที่แต่งกายเช่นเดียวกับทหารองครักษ์ก็มาพร้อมกับรถม้าอีกหนึ่งคัน
“ใต้เท้าเฝิงมาถึงแล้ว!”
เหล่าทหารองครักษ์ในศาลาพักม้าตะโกนดังลั่น ยามตะโกนก็ไม่ลืมที่จะสะบัดแส้ไล่ผู้คนให้พ้นทาง
“รีบไสหัวไป อย่ามาขัดขวางการพักผ่อนของใต้เท้าเฝิง”
เพราะถูกขับไล่ออกมา ฝูงชนจึงเริ่มวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง เด็กน้อยที่เพิ่งปลอบจนสงบไปก็ร้องไห้ขึ้นมาอีก ภายในศาลาพักม้าโกลาหลวุ่นวาย
เมื่อเห็นความสับสนวุ่นวาย เฉิงเจียวเหนียงจึงลุกยืนขึ้น
“เจ้าได้ห้องมา คงไม่ใช้ด้วยวิธีการเช่นนี้หรอกใช่ไหม” นางถาม
“ข้าให้เงินแล้ว ไม่ได้ไล่ออกไปเฉยๆ เสียหน่อย” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ย พลางมองความโกลาหลภายใน แม้จะตกใจไม่น้อยแต่ก็รู้สึกชอบใจอยู่เหมือนกัน
เพียงแค่ให้เงินก็ไล่คนออกไปได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือนี่!
“เหอะ คนเป็นนายอย่างข้า ไม่เอาความกับบ่าวไพร่กับเจ้าหรอก พวกเราเดินทางกันมาเหนื่อยนัก พวกเจ้าก็เข้าไปนอนข้างในก็แล้วกัน” เขาหันไปมองพ่อบ้านเฉาและบ่าวคนอื่นๆ ก่อนจะส่งเสียงเย้ยหยัน
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองเขา
“คนพวกนั้นคือใครกัน” นางยกมือชี้ไปที่เหล่าทหารองครักษ์ด้านใน
“อ๋อ คนกันเองน่ะ พวกเขาช่วย…” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ยอย่างลำพองใจ
ทว่าไม่ทันพูดจบ เฉิงเจียวเหนียงก็ก้าวเดินไปข้างหน้าเสียแล้ว
“นี่ นี่ เจ้าจะเข้าไปทำอะไร” ท่านชายหวังสิบเจ็ดสีหน้าดูสับสน
เฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจเขา ก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าประตู
“ใครก็ได้มานี่ที” นางเอ่ย
แม้พ่อบ้าเฉาจะไม่กล้าเข้าไปใกล้ ทว่าก็ยังคงยืนอยู่ในระยะที่ได้ยินคำสั่งนั้น พอได้ยินก็ขานรับในทันที
“จัดการเจ้าพวกสามหาวที่กล้ากลั่นแกล้งชาวบ้านพวกนี้เสีย!” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางมองดูลานกว้าง
พ่อบ้านเฉาขานรับในทันใด จากนั้นผู้ติดตามอีกเจ็ดแปดคนก็คว้าท่อนไม้ที่ติดตัวมาแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในลานกว้าง
“กล้าดีอย่างไรมากลั่นแกล้งชาวบ้านชาวช่อง สมควรตีให้ตาย!”
สิ้นเสียงตะโกน ทหารองครักษ์ทั้งสี่นายก็ถูกคนของตระกูลโจวล้อมไว้แล้ว ก่อนจะพากันตะลุมบอนในทันใด
จู่ๆ ก็ถูกทุบตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เหล่าทหารองครักษ์จึงไม่ทันได้ตอบโต้ ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าผู้ติดตามก็ล้วนแต่เป็นคนฝีมือดีที่นายใหญ่โจวตั้งใจคัดเลือกมา ไม่นานทหารองครักษ์ทั้งสี่นายก็ถูกตีจนล้มกองลงบนพื้น แม้แต่บ่าวชราก็ยังหนีไม่รอด
ผู้คน ณ ลานกว้างต่างตกตะลึง พอได้สติขึ้นมาก็ได้ยินเสียงตะโกนของพวกเขา ชั่ววินาทีนั้นไม่รู้ว่าผู้ใดโห่ร้องออกมาว่าเยี่ยมเป็นคนแรก จากนั้นผู้คนก็ร้องตะโกนว่าเยี่ยมไม่หยุด
ท่านชายหวังสิบเจ็ดชะงักไป
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! ทำอะไรของเจ้า” เขาที่เพิ่งได้สติตะโกนลั่นจนตัวโยน
เฉิงเจียวเหนียงไม่สนใจเขา ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปทางประตู ประจวบเหมาะกับขณะที่ชายผู้หนึ่งลงมาจากรถม้าที่จอดหน้าประตูพอดี
เสียงร้องโหยหวนที่ดังลั่นออกมาทำให้ชายผู้นั้นตกใจไม่น้อย พอเปิดหมวกออกมาดูก็ต้องตกตะลึงในทันใด
“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เขาตะโกน
ขุนนางผู้น้อยประจำถนนไท่ชางจากสำนักขนส่งที่ออกมาต้อนรับก็ตกใจไม่แพ้กัน มองเห็นคนเหล่านั้นกำลังง้างไม้ฟาดอย่างแม่นยำกลางลานกว้าง เหงื่อเย็นก็พลันผุดขึ้นมาทั่วทั้งร่างอย่างห้ามไม่อยู่
โชคดีที่เขารีบออกมาต้อนรับใต้เท้าเสียก่อน ไม่เช่นนั้นก็ถูกทุบตีจนนอนกองกับพื้นเช่นเดียวกัน..
พวกนั้นคือใครกัน
ผู้คนที่มาพักที่ศาลาพักม้าส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นขุนนาง คงก่อเรื่องยั่วโมโหใต้เท้ากระทัง
แม้คนใหญ่คนโตนั้นจะน่ากลัว ทว่าเขานั้นไม่กลัว
“ใต้เท้า ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” ขุนนางผู้น้อยตอบ สีหน้าดูประหลาดใจเช่นกัน “คนพวกนั้นคงจงใจก่อเรื่องสินะ!”
เขาเอ่ยพลางสั่งการทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ
“ยังไม่รีบไปจับคนชั่วนั่นอีก!”
เหล่าทหารองครักษ์ขานรับแล้วหยิบอาวุธขึ้นมาในทันที
“ช้าก่อน ช้าก่อน ไปถามดูเสียก่อน ว่าเหตุใดถึง…” ชายร่างผอมผู้นั้นรีบเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้า ยังต้องถามอันใดอีกหรือขอรับ ไม่พูดไม่จาก็ตีคนเสียขนาดนี้ ต้องเป็นคนชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย!” ขุนนางผู้น้อยเอ่ย พลางเร้งเร้าทหารองครักษ์
พอสิ้นเสียงของเขา ก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้นจากข้างหลัง
“ไม่พูดไม่จาก็ดีคนเสียขนาดนี้ ทหารพวกนั้น ต้องเป็นโจรผู้ร้ายอย่างแน่นอน!”
ขุนนางผู้น้อยแลใต้เท้าผู้นั้นเหลียวมามอง ก็เห็นหญิงสาวในเสื้อคลุมคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังท่ามกลางความมืดมิด
“เหลวไหลอะไรของเจ้า เจ้าเป็นใครกัน” ขุนนางผู้น้อยขมวดคิ้วตะโหน
“คนธรรมดาผู้ผดุงความยุติโธรรม”
คนธรรมดาผู้ผดุงความยุติโธรรมอย่างนั้นหรือ
บ้าไปแล้วหรืออย่างไร
ผดุงความยุติธรรมอย่างนั้นรึ เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องง่ายหรืออย่างไร อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องใจตัวดีนัก!
ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ยืนอยู่ด้านหลังตาเบิกโพลงสะดุ้งโหยง ผู้หญิงนี้บ้าไปแล้วจริงๆ !