ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 77 เรื่องราวของสี่กับเก้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ความเงียบด้านหน้าตำหนักถูกโก่วหานสือทำลาย เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยถาม “นี่เป็นเรื่องหลายปีก่อนที่บันทึกในคลังคัมภีร์เต๋ากุยหยวนท่อนนั้นหรือ”

เฉินฉางเซิงพยักหน้าพลางกล่าวว่า “บทเสริมของม้วนที่สอง”

โก่วหานสือขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ชื่อของเพลงกระบี่ทั้งสี่ที่จริงแล้วมีบันทึกไว้ แต่ผู้ประพันธ์ไม่ได้อธิบายถึงการเรียงลำดับ”

เฉินฉางเซิงกล่าว “ในบันทึกซีจิงกับบันทึกที่โยวหยางล้วนแต่กล่าวถึงนักพรตเต๋าที่ชมอยู่รอบๆ ตามการเล่าต่อของนักพรตเต๋า ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือในลำดับของคลังคัมภีร์เต๋ากุยหยวน”

โก่วหานสือใคร่ครวญชั่วครู่ คัมภีร์ทั้งสองเล่มมีบันทึกเช่นนี้จริงๆ เพียงแค่ก่อนหน้าที่เฉินฉางเซิงจะกล่าวถึง มีคนน้อยยิ่งจะคิดโยงไปถึงเรื่องราวในคลังคัมภีร์เต๋ากุยหยวน สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือคลังคัมภีร์เต๋ากุยหยวนมิใช่คัมภีร์ที่นิกายหลวงได้บันทึกตรวจสอบไว้ ตำราทั้งเล่มหลังจากผ่านมาหลายร้อยปี คนที่เคยอ่านน้อยอย่างยิ่ง

ผู้คนได้ฟังเรื่องราวเริ่มแรก ล้วนแต่ไม่รู้ว่าเขากับเฉินฉางเซิงกำลังสนทนาถึงสิ่งใด

ถึงแม้จะเป็นอาจารย์ที่มีความรู้ลึกซึ้งของบรรดาสำนักต่างๆ จนกระทั่งผู้ยิ่งใหญ่ดังเช่นผู้นำตระกูลชิวซาน ก็รู้สึกราวกับว่ากำลังฟังบัญชาสวรรค์

มุขนายกสำนักการศึกษากลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามเฉินหลิวอ๋องที่อยู่ข้างกาย “พวกเขากำลังกล่าวคัมภีร์เต๋าอะไรรึ”

เฉินหลิวอ๋องไม่ค่อยมั่นใจ พลางกล่าวตอบ “คล้ายว่าจะเป็นคัมภีร์เต๋ากุยหยวนอะไรสักอย่างกระมัง”

มุขนายกสำนักการศึกษากลางโมโหเล็กน้อย พลางเอ่ย “เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”

มีเพียงโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงที่ยังจดจำเรื่องราวบันทึกในคัมภีร์กุยหยวนซึ่งถูกผู้คนลืมเลือนได้ ผ่านพ้นมาแสนนาน บรรพบุรุษของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ต่อสู้นองโลหิตกับผู้แกร่งกล้าเผ่ามารอยู่ที่อำเภอซินเซียง บรรดาผู้ชมการต่อสู้ล้วนแต่คิดว่าสถานการณ์คงจะไม่สู้ดีนัก ทว่าบรรพบุรุษตระกูลถังท่านนั้นได้ออกกระบวนท่าทั้งสี่ต่อเนื่องกัน โจมตีสังหารผู้แกร่งกล้าเผ่ามารในสนามย่อยยับ

กระบวนท่าทั้งสี่ก็คือ คว่ำกุณฑีทอง จมไอสมุทร หน้าต่างเงาโคม และสุดท้ายก็คือแขวนกระบี่ปลูกพนา

การต่อสู้ครั้งนั้นกลายเป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึก อีกทั้งยังสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เป็นเพราะผู้ชมการต่อสู้ล้วนแต่ไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดกระบวนท่าทั้งสี่สามารถใช้ติดต่อกันได้ ชัดเจนว่าคล้ายกับเป็นการเปลี่ยนท่าทางที่ฝืนธรรมชาติ เพราะเหตุใดกระบวนท่าที่ใช้ต้อนรับผู้แข็งแกร่งเผ่ามารซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกหนาวเหน็บพลันเปลี่ยนเป็นเรียบง่ายราบรื่น

“เพราะเหตุใดถึงคิดใช้กระบวนท่าทั้งสี่” โก่วหานสือเอ่ยถาม

“กระบวนท่าแรกใช้คว่ำกุณฑีทองเป็นเพราะตามนิสัยของถังซานสือลิ่ว เขาชื่นชอบกระบวนท่าที่พิลึกกึกกือ แต่เจ้าก็ตอบโต้ด้วยผีภูเขาแบ่งหินผาทันที…แข็งแกร่งยิ่ง”

เฉินฉางเซิงอธิบายต่อ “พลังของกระบวนท่าทั้งสามของเจ้ารวมอยู่ในระหว่างนั้นทั้งหมด สุดท้ายรุ่งโรจน์ร่วงหล่น สันเขาเต็มไปด้วยน้ำค้าง พลังอยู่ที่คำว่าแรงสังหาร”

โก่วหานสือกล่าว “ไม่ผิด”

เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าคิดไม่ออกว่ากระบวนท่าไหนของตระกูลถังถึงจะทัดทานกระบี่ทั้งสามท่าของเจ้าได้ นอกเสียจากใช้กระบวนท่าเวิ่นสุ่ยทั้งสามอีกรอบ…แต่เจ้าคงจะเข้าใจนิสัยของถังซานสือลิ่วดี เรื่องนี้ต่อให้สังหารเขาเสียก็คงจะไม่กระทำเป็นแน่ อีกทั้งขณะนั้นก็ไม่มีเวลาให้ข้าเกลี้ยกล่อมเขา”

ถังซานสือลิ่วโมโห พลางเอ่ย “ข้าแท้จริงแล้วนิสัยเป็นอย่างไรรึ”

เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจเขา มองโก่วหานสือกล่าวต่อ “กล่าวมาแล้วเป็นเรื่องที่บังเอิญจริงๆ คว่ำกุณฑีทองข้าเอ่ยออกมาตามใจ แต่เจ้าตอบโต้ได้แข็งแกร่งโหดเหี้ยมเช่นนี้ ข้าไม่มีทางเลือกมากนัก ด้วยเหตุนี้จึงนึกถึงเรื่องราวคัมภีร์เต๋ากุยหยวนขึ้นมา นึกได้ว่าบรรพบุรุษตระกูลถังเคยใช้กระบวนท่าทั้งสี่”

โก่วหานสือคิดใคร่ครวญ เอ่ยว่า “ปีนั้นผู้แกร่งกล้าเผ่ามารพ่ายแพ้ย่อยยับให้แก่บรรพบุรุษตระกูลถัง การก้าวเดินเต็มไปด้วยแรงสังหาร วิชายุทธ์ดูเยือกเย็น แต่แท้จริงแล้วแตกต่างจากวิชากระบี่เขาหลีซานพวกข้า ข้ายังจดจำกระบวนท่าทั้งสี่ในคัมภีร์กุยหยวนได้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็คิดไม่ถึงว่าสามารถใช้ภายใต้สถานการณ์ก่อนหน้านี้ได้”

เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้าก็ไม่รู้ว่ากระบวนท่าทั้งสี่จะได้ผลหรือไม่ เพียงแต่…เจ้ามาดุดันเหลือเกิน อีกทั้งชีเจียนควบคุมกระบี่ได้แน่นิ่งยิ่ง ข้าคิดไม่ออกว่าจะมีวิธีไหนสามารถทะลุทะลวงได้ จึงทำได้เพียงลองดู”

“คนที่รู้เกี่ยวกับคลังคัมภีร์เต๋ากุยหยวนน้อยยิ่ง คนที่จดจำกระบวนท่าทั้งสี่ยิ่งน้อยไปอีก ภายใต้สถานการณ์ก่อนหน้านี้ คนที่สามารถคิดออก และยังกล้าจะทดลองยิ่งน้อยไปใหญ่”

โก่วหานสือจ้องมองเขาพลางเอ่ยว่า “เจ้าไม่เลวจริงๆ”

เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าออกกระบวนท่าก่อน ทั้งยังออกมากกว่าหนึ่งกระบวนท่า ถ้าหากเจ้าออกกระบวนท่าก่อน ผลลัพธ์อาจจะไม่เหมือนกัน”

โก่วหานสือกล่าว “ไม่เลว ดีว่าเป็นเพียงสนามแรกเท่านั้น”

เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ข้าได้ยินถังซานสือลิ่วกล่าว เจ้าเป็นคนที่ศึกษาตำราเต๋า เป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง”

โก่วหานสือใคร่ครวญ ทางด้านนี้ยากที่จะอ่อนน้อมจริงๆ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เคยกล่าวไว้ ข้าเพียงแค่อ่านตำรามากไปเสียหน่อย”

เฉินฉางเซิง กล่าวตอบ “ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยเอ่ยไว้ พอดี ข้าก็เคยอ่านตำรามาบ้าง”

โก่วหานสือจ้องมองเขา หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยออกมา “มองแล้ว เจ้ามั่นใจอย่างยิ่ง”

ท่าทางของเฉินฉางเซิงสงบนิ่ง ผสานมือทำความเคารพ เอ่ยว่า “โปรดชี้แนะ”

สายลมยามค่ำคืนพัดโชยเบาๆ แสงดาวทาบทับบนใบหน้าของเขา

อยู่ในตำหนักก่อนหน้านี้ โก่วหานสือเคยกล่าวประโยคนี้กับเขา

ตอนนี้ ถึงตาที่เขาเป็นฝ่ายเอ่ยต่อโก่วหานสือบ้าง

เพียงแค่ลำดับเปลี่ยน กลับแทนความหมายเรื่องราวมากมาย

เมื่อโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงเริ่มสนทนากัน กลุ่มผู้คนที่อยู่บนบันไดหน้าตำหนัก ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ภายหลังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งนานยิ่งเบาลง จนกระทั่งเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

โก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงไม่ได้ใส่ใจภาพที่ผู้คนต่างชื่นชมนั้น

แต่สำหรับกลุ่มผู้คน โก่วหานสือยกเฉินฉางเซิงเป็นคู่ต่อสู้ นี่เป็นเรื่องที่สั่นคลอนอย่างยิ่ง

การประลองครั้งที่สองของพรรคกระบี่เขาหลีซานกับสำนักฝึกหลวงจึงเริ่มด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบเช่นนี้

เมื่อสำนักฝึกหลวงลงสนาม ธรรมดาจะต้องเป็นองค์หญิงลั่วลั่ว

เพราะว่าถังซานสือลิ่วชนะชีเจียน เพื่อที่เฉินฉางเซิงจะไม่ต้องลงประลอง นางจะต้องชนะในการประลองสนามที่สองให้ได้

เวลานี้ นางเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

แต่ชัดเจนยิ่งนัก ผู้คนด้านหน้าตำหนักไม่มีใครคิดเช่นนี้

แม้กระทั่งคิ้วของจินอวี้ลวี่ก็ขมวดขึ้น ไม่มีแนวโน้มว่าองค์หญิงจะสามารถชนะฝ่ายตรงข้ามได้

เพราะว่าคู่ต่อสู้ของนางคือกวนเฟยไป๋

อยู่อันดับที่สี่ของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ

ขณะเดียวกัน เขาก็อยู่ในอันดับที่สี่ของประกาศชิงอวิ๋น

กวนเฟยไป๋เดินมาถึงสนาม ทำความเคารพลั่วลั่ว หลังจากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย มิใช่เพราะเกรงกลัว แต่เป็นเพราะกลัดกลุ้ม

ลั่วลั่วเข้าใจว่าเขากำลังคิดสิ่งใด เอ่ยว่า “รู้สึกว่าต่อสู้กับข้าเป็นเรื่องที่น่าโมโหใช่หรือไม่ เพราะกังวลว่าข้าจะได้รับบาดเจ็บ ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถลงมือโดยใช้พลังทั้งหมด เป็นการมัดมือมัดเท้า ไม่ตรงกับนิสัยเย่อหยิ่งดุดันของเจ้า คิดว่าข้าอ่อนด้อยกว่าเจ้ารึ”

“มิกล้า”

ใบหน้าของกวนเฟยไป๋ไร้ความรู้สึกพลางเอ่ยว่า “เพียงแค่องค์หญิงคงจะตระหนักดี ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าก็ไม่กล้าทำให้ท่านบาดเจ็บ”

“ข้าเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ในเมื่อพรรคกระบี่เขาหลีซานพวกเจ้าปรารถนาจะประลองกับสำนักฝึกหลวง ข้าก็ต้องยืนขึ้นมา เจ้าสามารถมองข้าเป็นนักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง ใช้พลังทั้งหมดลงมือก็จะดีมาก ถ้าหากเจ้าไม่ทำ เมื่อลงมือพะว้าพะวังมากเกินไป สุดท้ายแล้วหากถูกข้าตีราวกับสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็จะมาโทษข้า”

ลั่วลั่วจ้องมองเขาพลางเอ่ยต่อ “เพราะการเลือกของเจ้า”

หญิงสาวร่างกายเล็กกะทัดรัด เมื่ออยู่กับกวนเฟยไป๋ยิ่งเล็กไปอีก ทว่าใบหน้าเรียวเล็กไร้ความรู้สึกใดๆ เงยหน้าจ้องมองเขา ราวกับจากที่สูงมองที่ต่ำไม่ปาน

ระหว่างหัวคิ้วของกวนเฟยไป๋มีความรู้สึกเยือกเย็นปรากฏออกมา กล่าวว่า “องค์หญิงกล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผล”

ในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ ลำดับของเขาอยู่ตรงกลาง นิสัยกลับคับแคบที่สุด เย่อหยิ่งไร้ความรู้สึก หุนหันพลันแล่นโมโหง่าย ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับลั่วลั่ว เขาก็โมโหขึ้นมา

“ต่างกล่าวว่าลำดับของประกาศชิงอวิ๋นมักจะเปลี่ยนแปลง แต่ผู้คนมักจะลืมบางอย่างไป ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลง หอความลับสวรรค์คงมิได้จัดลำดับผิดพลาดเป็นแน่”

สายตาของเขาจ้องเขม็งลั่วลั่ว เอ่ยออกมาทีละคำ “สี่ก็คือสี่ เก้าก็คือเก้า ไม่ว่าอย่างไร เก้าก็มิได้เหนือกว่าสี่”