ตอนที่ 196-2 ออกจากงานไปก่อน

ชายาเคียงหทัย

เยี่ยหลีจับมือเขาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ใต้เท้าซูมีบุญคุณอบรมสั่งสอนท่านมาตั้งแต่เล็กๆ ข้าไม่มีทางใจอ่อนให้กับซูจุ้ยเตี๋ย แต่ก็จะไม่ใจดำกับผู้อาวุโสซูด้วยเพราะเหตุนี้ ถึงแม้ผู้อาวุโสซูจะตัดขาดกับซูจุ้ยเตี๋ยแล้ว แต่อย่างไรนางก็เป็นหลานในไส้ของเขา และเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ หากมีเรื่องตะขิดตะขวงอยู่ในใจก็คงไม่ดีนัก

 

 

“เช่นนั้นก็อย่าให้ผู้อาวุโสซูรู้” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ “ถึงอย่างไรก็จับนางขังไว้นานเพียงนี้แล้ว หากทางฉินเฟิงนั่นยังไม่มีความคืบหน้า ก็ไม่ต้องถามแล้ว เรื่องที่ว่าเป็นความลับนั้น อย่างไรก็มิได้มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ ให้ฉินเฟิงจัดการนางเสียเลยก็แล้วกัน”

 

 

“ล้อเล่นน่ะ” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าซูเพิ่งมา นางก็ตายเสียแล้ว ท่านจะให้เขาคิดเช่นไร เอาล่ะ…” นางกอดปลอบใจม่อซิวเหยา และช่วยเขาจับผมที่ข้างหูออก ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ใต้เท้าซูไม่เพียงเป็นอาจารย์ที่มีบุญคุณกับท่านเท่านั้น แต่ยังเป็นขุนนางแถวหน้าของราชสำนักอีกด้วย มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นขุนนางอยู่นับไม่ถ้วน ไม่ว่าหลักการหรือเหตุผลอย่างไรพวกเราก็ควรให้เกียรติเขา”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเย็นว่า “หรือว่าจะปล่อยนางไปเช่นนี้?” เขายื่นมือไปดึงนางเข้ามากอดแนบอก ม่อซิวเหยาปิดตาลง เพื่อกดแววสังหารในใจลงไป เขาไม่อยากให้คนพวกนี้มีชีวิตอยู่เลยจริงๆ…ทั้งซูจุ้ยเตี๋ย เหลยเจิ้นถิง มู่หยางโหวและม่อจิ่งฉี แค่เพียงเห็นหน้าพวกเขา หรือแค่คิดถึงพวกเขา ในหัวเขาก็จะมีภาพที่อาหลีตกหน้าผาลอยขึ้นมาให้เห็นเสมอ และบางครั้งเขาถึงขั้นคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเป็นภาพฝัน ยามเขาตื่นจากฝัน เขาก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่ในช่วงที่อาหลีหายสาบสูญไป

 

 

เยี่ยหลีรับรู้ได้ถึงไอเย็นแห่งความโดดเดี่ยวที่แผ่ออกมาจากม่อซิวเหยา นางเงยหน้าขึ้นทันเห็นว่าในสายตาที่ว่างเปล่าของเขา มีแววตาแห่งความหมดหวังฉายออกมาให้เห็น

 

 

เยี่ยหลีรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ รีบจับมือเขามาไว้กลางหน้าอก เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เอาเถิด ข้าไม่ดีเอง ข้าคิดมากเกินไป หากท่านไม่ชอบใจ ข้าให้ฉินเฟิงจัดการซูจุ้ยเตี๋ยเสียก็สิ้นเรื่อง”

 

 

ม่อซิวเหยากอดหญิงสาวตรงหน้าไว้แนบอก เขาสูดหายใจเข้าออกลึกๆ สูดดมกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยและสบายจมูก จิตใจที่เคยเย็นเยียบก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย เขาชอบยามที่อาหลีโอนอ่อนผ่อนตามเขา

 

 

เขาถูใบหน้าไประหว่างเส้นผมของเยี่ยหลี แล้วม่อซิวเหยาก็เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่อาหลีทำเพื่อช้า เรื่องของซูจุ้ยเตี๋ยอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน”

 

 

เขาย่อมรู้ว่า ที่อาหลีพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาก็เพื่อเขา แต่ไหนแต่ไรมา ตำหนักติ้งอ๋องมีศัตรูไปทั่วทุกสารทิศ ยามนี้ยิ่งเขาเป็นปฏิปักษ์กับราชสำนัก ก็ยิ่งบอกได้ว่า ในใต้หล้านี้ ขอเพียงเป็นผู้มีอิทธิพลล้วนเห็นว่าพวกเขาเป็นศัตรู ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งมีคนสนับสนุนเขามากเท่าไร กองทัพตระกูลม่อก็คงไปได้ดีมากขึ้นเท่านั้น และตั้งแต่ที่ท่านชิงอวิ๋นถอนตัวออกจากราชสำนักไป ขุนนางแนวหน้าในราชสำนักก็เรียกได้ว่า ถือเอาซูเจ๋อเป็นหลัก ถึงแม้เขาจะมิได้มีอิทธิพลอันใดมากนัก แต่คนเหล่านี้กลับควบคุมแนวทางและการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนเอาไว้ในมือ เมื่อใดก็ตามที่เขากลายเป็นศัตรูกับซูเจ๋อ เกรงว่าบัณฑิตในใต้หล้ากว่าครึ่ง คงเห็นพวกเขาเป็นคนไม่ดีเท่าไรนัก

 

 

นัยน์ตาเยี่ยหลีมีประกายคมกล้า เอ่ยเสียงเบาว่า “เรื่องซูจุ้ยเตี๋ยกับใต้เท้าซูมอบให้ข้าจัดการก็แล้วกัน ต่อไปจะไม่ให้ท่านได้เห็นนางอีก”

 

 

นางประเมินอิทธิพลของซูจุ้ยเตี๋ยที่มีต่อม่อซิวเหยาผิดไปจริงๆ ไม่ได้หมายความว่า นางสงสัยว่าม่อซิวเหยายังมีใจให้ซูจุ้ยเตี๋ยอีกหรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่า ซูจุ้ยเตี๋ยทำให้ม่อซิวเหยาคิดถึงเรื่องบางเรื่องที่ไม่ดี และส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก ถ้าเช่นนั้น นางก็คงให้ซูจุ้ยเตี๋ยมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่ว่าด้วยเพราะเหตุผลใดก็ตาม! ส่วนทางด้านซูเจ๋อนั้น…หากใต้เท้าซูเป็นคนอย่างที่ม่อซิวเหยาว่าจริง บางทีอาจไม่ถึงขั้นว่าไม่มีทางแก้ปัญหา

 

 

“ท่านอ๋อง พระชายา” จั๋วจิ้งและหลินหานดูจะรออยู่นานแล้ว

 

 

ม่อซิวเหยาหันไปหาทั้งสองคน แต่มือยังคงประคองอยู่ที่เอวเยี่ยหลีไม่ปล่อย แล้วเอ่ยถามว่า “ที่ตำหนักเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

จั๋วจิ้งตอบว่า “ท่านอ๋องคาดการณ์ได้ประหนึ่งเทพ องครักษ์ที่เต๋ออ๋องนำมากับคนที่สองวันนี้เดินทางผ่านมายังหรู่หยาง ได้ล้อมโจมตีจวนผู้ว่าการไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ช่วงเวลาที่อีกฝ่ายเลือกนั้นถือว่าไม่เลวทีเดียว คืนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรื่นเริงกันอยู่ ทางด้านตะวันตกของเมืองก็ครึกครื้นอยู่มาก ในจวนผู้ว่าการเกิดเหตุครึกโครมขึ้นเช่นนี้ ก็ไม่มีผู้ใดรับรู้เลยแม้แต่น้อย

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “อ้อ? ล้อมโจมตีจวนผู้ว่าการ?”

 

 

หลินหานเอ่ยว่า “ด้วยเพราะท่านอ๋องและพระชายาย้ายไปอยู่ที่ตำหนักหลังใหม่กะทันหัน อีกฝ่ายดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว ดังนั้นถึงได้บุกเข้าไปในจวนผู้ว่าการหมายจะช่วยซูจุ้ยเตี๋ยออกมาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ด้วยเพราะยามที่ย้ายพี่พักไปนั้น มิได้ขนย้ายของใหญ่ๆ ไปมากมาย ท่านอ๋องและพระชายาเพียงขนย้ายสัมภาระของตนเองไปเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นองครักษ์ของเต๋ออ๋องที่ถูกกักตัวอยู่นอกเมือง หรือคนที่ลักลอบเข้ามาอยู่ในเมืองก่อนแล้ว ต่างไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงเรื่องนี้ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงซูจุ้ยเตี๋ยที่ถูกพวกเขาลอบย้ายตัวไปอยู่เสียที่อื่นแล้วอีกด้วย

 

 

“ช่วยเหลือ? ไม่ใช่ฆ่าปิดปาก?” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยถาม

 

 

จั๋วจิ้งกล่าวว่า “ข้าน้อยมั่นใจว่าอีกฝ่ายมิได้คิดที่จะฆ่าปิดปากซูจุ้ยเตี๋ย คนที่อีกฝ่ายส่งมาล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีวิทยายุทธเป็นเลิศ พอบุกเข้าไปในคุกใต้ดินแล้ว มีอย่างน้อยถึงสามครั้งที่สามารถสังหารตัวปลอมที่อยู่ด้านในได้ แต่อีกฝ่ายกลับคิดแต่จะพาตัวนางออกไป และมิได้ลงมือสังหารพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“น่าสนใจ” เยี่ยหลีย่นคิ้วนิ่งเงียบไป

 

 

คนของม่อจิ่งฉีคิดอยากช่วยซูจุ้ยเตี๋ย ไม่ว่าจะคิดจากมุมใดก็ดูไม่เข้าเค้าเอาเสียเลย หากซูจุ้ยเตี๋ยรู้ความลับอันใดที่ไม่ควรรู้ ม่อจิ่งฉีก็ควรคิดที่จะฆ่าปิดปากนางถึงจะถูก สิ่งที่จะต้องแลกมาจากการช่วยคนนั้นดูจะยิ่งใหญ่เกินไปสักหน่อย

 

 

ม่อซิวเหยาจับมือนางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อาหลีไม่จำเป็นต้องคิดมากเช่นนี้ ยิ่งเขาทำอันใดมากเท่าใด ก็ยิ่งผิดมากเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็ว พวกเราจะได้รู้ว่าที่เขาทำไปเพราะเหตุใด มีจับเป็นไว้บ้างเหรือไม่”

 

 

จั๋วจิ้งพยักหน้า เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เรียนท่านอ๋อง ครานี้ได้มามากทีเดียว หัวหน้าก็คือรองหัวหน้าหน่วยอวี้หลินแห่งเมืองหลวง และยังมียอดฝีมือที่มีชื่อจากาเจียงหูอีกหลายคน ข้าน้อยจับมัดไว้หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจ หลายวันนี้อดทนให้พวกเศษสวะพวกนั้นเข้ามาก่อเรื่องอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน ในที่สุดก็จับปลาตัวใหญ่ได้เสียที

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยสั่งการเสียงต่ำว่า “ไม่ต้องสอบปากคำพวกเขาแล้ว ม่อจิ่งฉีไม่มีทางบอกอันใดพวกเขาหรอก ตัดหัวรองผู้บัญชาการหน่วยนั่นส่งกลับไปให้ม่อจิ่งฉีที่เมืองหลวง ส่วนพวกยอดฝีมือของเจียงหู สอบสวนพวกนั้นให้ดีๆ เสียหน่อยก็แล้วกัน”

 

 

แต่ไหนแต่ไรมา คนของเจียงหูไม่ชอบถูกควบคุมโดยราชสำนัก ต่อให้เป็นนักฆ่าก็เป็นนักฆ่าที่รับเงิน น้อยนักที่จะฟังคำสั่งของราชสำนัก ครานี้ม่อจิ่งฉีถึงขั้นเรียกใช้ยอดฝีมือของเจียงหู คงต้องมีเหตุอันใดเป็นแน่

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“พูดถึงหัวหน้าองครักษ์หน่วยอวี้หลินกับยอดฝีมือ…เหลิ่งฉิงอวี่กับมู่ฉิงชังยามนี้อยู่ที่ใดกัน” เยี่ยหลีเอ่ยปากถามขึ้น

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มู่ฉิงชังกลับเมืองหลวงไปแล้ว ถึงแม้คนผู้นี้จะถือดีและดื้อด้านไปสักหน่อย แต่หากเทียบกับพวกตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เหล่านั้นแล้ว ก็ยังถือว่าเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง เห็นแก่เหลิ่งเอ้อร์ ข้าก็ควรให้ทางรอดเขาบ้าง ส่วนมู่ฉิงชัง…ยังอยู่ที่หรู่หยาง อาหลีอยากพบเขาหรือไม่”

 

 

มู่ฉิงชังมิใช่ใครอื่น เขามิได้เป็นเพียงบุตรลับๆ ของมู่หยางโหวเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในยอดฝีมือแห่งใต้หล้าอีกด้วย ม่อซิวเหยาย่อมไม่ปล่อยเขาให้ไปอยู่ในที่ลับตาตนอย่างแน่นอน หากปล่อยให้คนไปพบเข้าได้ คงวุ่นวายไม่น้อย

 

 

เยี่ยหลีหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องอยากให้เขาไปจัดการสักหน่อย เพียงแต่มู่ฉิงชังผู้นี้ควบคุมได้ไม่ง่ายนัก รออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยว่ากันก็แล้วกัน”

 

 

ม่อซิวเหยาก็ไม่ใส่ใจ พยักหน้าคิดจะพูดอันใดสักอย่าง ก็พอดีกับมีองครักษ์มารายงานที่หน้าประตูว่า “เรียนท่านอ๋อง ใต้เท้าซูเจ๋อขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาอึ้งไป แล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ซูเจ๋ออายุมากแล้ว ทนรับการระหกระเหินเดินทางไกลไม่ไหว จึงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก และด้วยเพราะเหตุนี้ เขาจึงมิได้มาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับในค่ำคืนนี้ แต่พักผ่อนอยู่ที่จวน

 

 

เขานั่งตัวตรงขึ้น เหลือบมองเยี่ยหลีทีหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “รีบเชิญผู้อาวุโสซูเข้ามา”