ตอนที่ 197-1 แสงจันทร์กลางเมฆดำ

ชายาเคียงหทัย

ซูเจ๋อก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้นต้อนรับเพื่อแสดงความเคารพ

 

 

ซูเจ๋อโบกมือเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง พระชายา คนแก่อย่างข้ามารบกวนแล้ว”

 

 

ม่อซิวเหยาเชิญซูเจ๋อให้นั่งลงก่อน ทางเขาถึงได้ลงนั่งตาม “ผู้อาวุโสซูเกรงใจถึงเพียงนี้ เห็นซิวเหยาเป็นคนอื่นแล้วหรือ”

 

 

ซูเจ๋อหันมองคู่ชายหนุ่มหญิงสาวที่นั่งเคียงคู่กันอยู่ตรงหน้า สายตาของเขาหยุดมองที่ผมขาวราวหิมะของม่อซิวเหยาอยู่พักหนึ่ง แล้วถึงได้ถอนใจออกมาเอ่ยว่า “ท่านอ๋องไม่ถนอมร่างกายถึงเพียงนี้เชียวหรือ เช่นนี้จะให้ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ พระชายา และพี่ชายของท่านที่อยู่ในปรโลกวางใจได้อย่างไร”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ ก้มหน้าลงมองผมสีขาวของตนที่ระอยู่ตรงหน้าอก ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ซิวเหยาผิดไปแล้ว ลำบากผู้อาวุโสซูต้องเป็นห่วงแล้ว”

 

 

ซูเจ๋อส่ายหน้า แล้วหันมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ด้านข้าง พยักหน้าก่อนเอ่ยว่า “พระชายากลับมาได้อย่างปลอดภัย ด้วยเพราะมีบรรพบุรุษทุกรุ่นของตำหนักติ้งอ๋องคอยปกป้องคุ้มครองอย่างแน่นอน”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโสสู่กล่าวถูกต้องแล้ว ที่ครานี้เยี่ยหลีสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ด้วยเพราะมีบรรพบุรุษคอยคุ้มครองจริงๆ”

 

 

เยี่ยหลีรู้ดีว่าซูเจ๋อมีเรื่องไม่พอใจตน แต่นางไม่เคยรู้สึกว่าเขาโกรธนางเยี่ยหลีสามารถสัมผัสได้ว่า ที่ซูเจ๋อไม่พอใจนางมิใช่เพราะตัวนางเอง แต่เป็นเพราะม่อซิวเหยา เขากำลังโทษนางที่ทำให้ม่อซิวเหยาผมขาวทั้งศีรษะภายในข้ามคืน ว่าไปแล้ว ก็คือเขากำลังเป็นห่วงม่อซิวเหยาที่เป็นลูกศิษย์ของเขา มิได้มีเรื่องอื่นเป็นการส่วนตัว

 

 

ม่อซิวเหยายื่นมือไปจับมือเยี่ยหลี แล้วหันไปยิ้มกับซูเจ๋อ “ผู้อาวุโสซูกล่าวถูกต้องแล้ว อีกสองเดือนเยี่ยหลีก็น่าจะคลอดแล้ว ถึงยามนั้นเมื่อตำหนักติ้งอ๋องมีทายาทสืบทอด ซิวเหยาก็หวังว่าผู้อาวุโสซูจะรักใคร่เอ็นดูเด็กน้อยผู้นี้เช่นกัน”

 

 

เมื่อได้ฟังสิ่งที่ม่อซิวเหยาพูด สีหน้าของซูเจ๋อก็ดูอ่อนลงเล็กน้อย คนแก่อย่างเขาลูกหลานก็ตายไปหมดแล้ว แม้แต่หลานสาวเพียงคนเดียวก็ไม่เหลือ ชีวิตนี้ได้กำหนดไว้แล้วว่าเขาต้องอยู่คนเดียว ยามนี้เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยถึงบุตรเขาขึ้นมา ความรักใคร่เอ็นดูในใจจึงย่อมไม่สามารถกักเก็บไว้ได้ เขาประหนึ่งจินตนาการเห็นภาพเด็กน้อยที่หล่อเหลาและเฉลียวฉลาดกำลังวิ่งเล่นอยู่รอบตัวเขา ไฉนเลยจะฝืนตีสีหน้าใส่เยี่ยหลีอยู่ได้

 

 

ซูเจ๋อถอนใจเบาๆ แล้วเอ่ยถามว่า “หลายปีนี้ท่านอ๋องคงลำบากไม่น้อย พวกคนแก่อย่างข้าก็ทำอันใดไม่ได้มาก สองปีนี้โชคดีที่มีพระชายาคอยดูแล”

 

 

ฮ่องเต้คอยขวางพวกเขาเหล่าขุนนางเก่าแก่ที่เคยมีความเกี่ยวพันกับม่อหลิวฟางและตำหนักติ้งอ๋องอย่างแน่นหนา หลายปีมานี้หากมีการไปมาหาสู่กัน อย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างลับๆ แต่ช่วยอันใดออกหน้าไม่ได้เลย

 

 

เมื่อได้มาเห็นบุรุษผมขาวที่ร่างกายผอมบางแต่ดูคมกล้าประหนึ่งมีดดาบแล้ว ในใจซูเจ๋อก็รู้สึกเศร้าสลด ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ แต่ซูเจ๋อยังคงจำภาพม่อซิวเหยาในวัยเด็กได้อย่างชัดเจน คุณชายสองแห่งตำหนักติ้งอ๋อง มีเสด็จพ่อที่รักใคร่เอ็นดู และมีพี่ชายใหญ่คอยปกป้อง ในยามนั้นเด็กหนุ่มในชุดผ้าไหมดูโดดเด่นและสูงส่ง ยามควบม้าอยู่ภายในเมือง ก็เจิดจรัสประหนึ่งลูกไฟพุ่งผ่าน พร้อมกับความบ้าระห่ำและเย่อหยิ่งของเด็กหนุ่มที่ยังไม่รู้ประสา

 

 

เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย เขาก็นำทัพไปออกศึก กวาดล้างทุกสิ่งจนสิ้นซาก อายุไม่ถึงสิบหกปีดี ก็ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งสงคราม สามารถนำชัยชนะกลับมาสู่ราชสำนักได้ทุกคราไป บรรดาคุณหนูลูกผู้ดีจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเบียดเสียดกันจนหัวแทบแตกเพื่อจะได้เห็นเพียงเงาของเทพแห่งสงครามหนุ่มผู้นี้ และเขาก็กลายเป็นบุรุษในฝันของสตรีสาวไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ม่อซิวเหยาในยามนั้น มีรัศมีโดดเด่นเพียงใด ผู้คนจำนวนมากทำได้เพียงเฝ้ามองแต่มิอาจหมายจะไปเคียงคู่ ส่วนม่อซิวเหยาในยามนี้ อันที่จริงเขามีอายุเพียงยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปี แต่นัยน์ตากลับไม่มีลูกไฟและความสง่างามให้ได้เห็นอีกแล้ว

 

 

ในดวงตาที่เรียบเฉยคู่นั้น ถึงแม้จะมีประกายไฟแวบผ่านให้เห็นอยู่บ้าง แต่กลับมีความเย็นยะเยือกแฝงอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาเมื่ออยู่คู่กับเส้นผมที่ขาวประดุจหิมะแล้ว มีแต่จะทำให้รู้สึกเย็นวาบขึ้นในใจ

 

 

หากว่าม่อซิวเหยาในวัยหนุ่มด้วยเพราะความโดดเด่นเหนือผู้ใด ทำให้เขากลายเป็นที่เลื่อมใสของผู้คน เช่นนั้นม่อซิวเหยาในยามนี้ก็เป็นประหนึ่งหิมะบนยอดเขาสูง ที่ทำให้คนมิอาจไม่หยุดมองได้ เด็กหนุ่มที่โดดเด่นเหนือผู้ใดผู้นั้นและเทพแห่งสงครามในอนาคตของต้าฉู่…ในที่สุดก็สูญสิ้นไปเสียแล้ว…

 

 

“ผู้อาวุโสซูมีบุญคุณที่คอยชี้แนะซิวเหยา ซิวเหยาไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต” ม่อซิวเหยาเอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ

 

 

ซูเจ๋อส่ายหน้า และไม่กลับไปนึกถึงเรื่องในอดีตอีก เขาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านอ๋องรู้หรือไม่ว่า ที่ฮ่องเต้ส่งเต๋ออ๋องและอวี๋อ๋องสองท่านนี้มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”

 

 

ม่อซิวเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าน้อยๆ “ถึงแม้อวี๋อ๋องจะยังพูดออกมาไม่หมด แต่ซิวเหยาก็พอฟังเข้าใจ ม่อจิ่งฉีคิดอยากให้ข้ากลับเมืองหลวง”

 

 

ซูเจ๋อพยักหน้า เขามองม่อซิวเหยาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ท่านกลับไปไม่ได้!”

 

 

“ผู้อาวุโสซู…” ม่อซิวเหยาตกใจไปเล็กน้อย ซูเจ๋อเป็นคนเถรตรงและมีใจจงรักภักดีต่อแผ่นดินต้าฉู่ ถึงแม้จะรู้ว่าซูเจ๋อไม่มีทางคิดร้ายต่อตน แต่เมื่อได้ยินเขาเอ่ยทัดทานไม่ให้เขากลับเมืองหลวงเช่นนี้ ม่อซิวเหยาก็ตกใจอยู่ไม่น้อย

 

 

ซูเจ๋อหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อพูดประโยคนี้ออกไปแล้ว ก็ประหนึ่งเขาดูชราภาพลงไปมากทีเดียว

 

 

ถึงแม้เขาแทบจะมิได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องสำคัญๆ ของราชสำนักสักเท่าไร แต่เป้าประสงค์ของม่อจิ่งฉีนั้นก็ชัดเจนเกินไปมากทีเดียว เขาย่อมรู้ว่าที่ม่อจิ่งฉีส่งเขามานั้นด้วยเพราะคิดอยากให้ผลเป็นเช่นไร เพราะหากทำเพื่อความมั่นคงของต้าฉู่แล้ว ให้เขาเห็นด้วยที่จะคิดหาวิธีนำตัวม่อซิวเหยากลับเมืองหลวงนั้นถือเป็นความคิดที่ไม่เลว ด้วยเพราะม่อซิวเหยาในยามนี้ ไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันว่าเขายังไม่ใจภักดีต่อต้าฉู่หรือไม่ แต่เขาก็รู้เช่นกันว่า เมื่อใดก็ตามที่ม่อซิวเหยากลับเมืองหลวง สิ่งที่รอเขาอยู่มิใช่ตำหนักติ้งอ๋องเช่นในอดีต และมิใช่การกักขัง แต่เป็นการเอาชีวิตเขาโดยทันที

 

 

โดยส่วนตัวแล้ว ม่อซิวเหยาเป็นนักเรียนของเขา เป็นเด็กรุ่นหลังที่เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต โดยทางราชการแล้ว ต้าฉู่รายล้อมไปด้วยศัตรูที่เก่งกล้า ม่อซิวเหยาและกองทัพตระกูลม่อเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถต่อกรกับศัตรูเหล่านั้นได้ ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงห้ามไม่ให้ม่อซิวเหยากลับเมืองหลวง

 

 

ซูเจ๋อลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองม่อซิวเหยาแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อท่านอ๋องทราบแก่ใจดีแล้ว เชื่อว่าคงเตรียมการไว้ก่อนแล้ว ที่ข้าพูดนี้คือความเห็นของข้า และก็เป็นความเห็นของฮว่ากั๋วกงเช่นกัน ก่อนข้าเดินทางมานี้ ฮว่ากั๋วกงฝากคำพูดผ่านข้ามาถึงท่าน”

 

 

ม่อซิวเหยาย่นคิ้ว เอ่ยว่า “เชิญผู้อาวุโสซูกล่าวมาได้เลย”

 

 

ภายในห้องหนังสือเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงของซูเจ๋อที่ดังขึ้นภายในห้องที่เงียบกริบว่า “ฮว่ากั๋วกงบอกว่า ตำหนักติ้งอ๋องจงรักภักดีต่อต้าฉู่มาทุกยุคทุกสมัย และไม่เคยทำสิ่งใดที่ผิดต่อราชวงศ์และบรรพบุรุษ ยามนี้ตำหนักติ้งอ๋องเหลือท่านอ๋องอยู่เพียงคนเดียว ท่านอ๋องควรคิดทำเพื่อตำหนักติ้งอ๋องและทหารหลายแสนนายในกองทัพตระกูลม่อ จวนฮว่ากั๋วกงได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนทั้งสองพระองค์มาโดยตลอด จึงจะทำทุกอย่างเพื่อแผ่นดินต้าฉู่จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ขอเพียงท่านอ๋อง…ต่อไปหากต้าฉู่ต้องประสบกับเหตุอันใด ขอให้ท่านอ๋องเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ช่วยคุ้มครองประชาชนของต้าฉู่อย่าให้ถูกคนต่างชนเผ่ามาฆ่าล้างเอาเลย”

 

 

ม่อซิวเหยาอึ้งไปเล็กน้อย เหลือบตาขึ้นมองซูเจ๋อ คำพูดของฮว่ากั๋วกงประโยคนี้ ชัดเจนว่าเป็นการตัดสินแล้วว่ากองทัพตระกูลม่อจะตัดขาดกับต้าฉู่แล้วอย่างแน่นอน ไม่เสียแรงที่เขาเป็นแม่ทัพเก่าแก่ที่กรำศึกอยู่ในสนามรบมาตลอดชีวิต ถึงแม้ฮว่ากั๋วกงจะอยู่ห่างจากราชสำนัก แต่บางทีเขาต่างหากที่เป็นคนที่เห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน

 

 

“ฮว่ากั๋วกงคิดจะทำเช่นไรหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงขรึม

 

 

ซูเจ๋อเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไฟสงครามลุกขึ้นไปทั่วต้าฉู่ ก่อนออกจากเมืองหลวง ฮว่ากั๋วกงพูดว่าจะยื่นฎีกาขอฝ่าบาทให้ตนยกทัพมาออกศึก เกรงว่ายามนี้ฎีกาน่าจะยื่นถึงโต๊ะทรงพระอักษรของฝ่าบาทแล้ว”

 

 

ม่อซิวเหยาย่นคิ้วเอ่ยว่า “ฮว่ากั๋วกงอายุกว่าเจ็บสิบปีแล้ว…สถานการณ์รบยังไม่ถึงขั้นจำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสอย่างท่านออกมาลงมือด้วยตนเอง”

 

 

เยี่ยหลีตบเบาๆ ลงบนมือของม่อซิวเหยา เอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทไม่มีทางเห็นด้วยที่จะให้ฮว่ากั๋วกงนำทัพมาออกศึกง่ายๆ เช่นนั้น”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้าน้อยๆ ม่อจิ่งฉีขวางแม่ทัพเก่าแก่เหล่านี้ไว้อย่างแน่นหนา หากไม่ถึงคราจำเป็นจริงๆ ไม่มีทางยกอำนาจทางการทหารให้ฮว่ากั๋วกงอีกอย่างแน่นอน

 

 

ซูเจ๋อเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ยามนี้…หลงผิดไปหมด ไม่ทรงยอมฟังคำแนะนำในการปกครองแคว้นของขุนนางที่ดีเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมัวไปสนใจอยู่กับการเล่นเล่ห์ซ่อนกล ต้าฉู่…”

 

 

ซูเจ๋อถอนหายใจยาว แล้วเอ่ยต่อว่า “ท่านอ๋องรั้งอยู่ที่ซีเป่ยนั้นถูกต้องแล้ว เมื่อใดก็ตามที่กลับไปเมืองหลวง เกรงว่าคงเข้าไปติดกับเสียแล้ว หากกองทัพตระกูลม่อจบสิ้นลง ต้าฉู่ก็คงล่มสลายไปด้วย…”

 

 

พูดจบซูเจ๋อก็ลุกยืนขึ้นเอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าอยากพูดมีเพียงเท่านี้ ท่านอ๋องพระชายารักษาตัวด้วย อีกสักสองวันพวกเราก็ควรออกเดินทางกลับเมืองหลวงได้แล้ว ต่อไปจะได้พบกันอีกเมื่อใดก็ยังไม่รู้”

 

 

“ผู้อาวุโสซู ฝ่าบาทส่งท่านมาเชื่อว่าเพราะต้องการให้ท่านมาเกลี้ยกล่อมข้าให้กลับเมืองหลวง ท่านทำเช่นนี้…กลับไปจะรายงานต่อฝ่าบาทเช่นไร” เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้นเบาๆ

 

 

ซูเจ๋อหันกลับมามองนาง ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ปีนี้ข้าอายุเจ็ดสิบสามปีแล้ว คนที่อายุเกินเจ็ดสิบปีนั้นหาได้ยากนัก จะมีอันใดให้ต้องรายงานกัน”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ม่อจิ่งฉีมิใช่เจ้านายที่ใจดีมีเมตตา ซูเจ๋อกลับไปครานี้ ต่อให้ไม่ถูกม่อจิ่งฉีพระราชทานโทษตาย ก็คงหาเรื่องลงโทษเขาจนได้ ไม่แน่ว่าเขาจะรับไหว