เดือนสิบ สถานการณ์ของรัฐต่างๆ ถูกกำหนดไว้เบื้องต้นแล้ว
กองทัพรัฐเจ้าเข้าบีบต้าเหลียงโดยตรง ใช้ดินแดนแปดสิบลี้เพื่อแลกกับสามร้อยลี้ที่เดิมทีเป็นของรัฐเจ้า จากนั้นก็บวกนครที่อยู่ใกล้ๆ อีกแห่งหนึ่ง
กงซุนหยวนสร้างผลงานครั้งยิ่งใหญ่ให้กับรัฐเจ้า ในที่สุดก็สามารถนั่งตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง
สำหรับการตายของกงซุนกู่และหลี่ว์ซู่นั้น แม้ว่าเจ้าอ๋องจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน แต่ในที่สุดก็มีคนที่สามารถต่อกรกับนกเค้าแมวชราที่ควบคุมราชสำนักได้อยู่ในมือซึ่งสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่สืบหาเอาความเรื่องนี้อีก ในทางตรงข้ามแต่งตั้งกงซุนกู่ให้เป็นแม่ทัพใหญ่ผู้ภักดีที่สละชีพเพื่อบ้านเมือง มียศเป็นเหราอันจวิน (บุรุษผู้ผดุงความสงบสุข) และให้สืบทอดโดยลูกชายคนโต
ก่อนหน้านี้ รัฐเจ้ามีผิงหยวนจวินและผิงหยางจวิน สองคนนี้ล้วนเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์ การแต่งตั้งยศจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ทว่าเจ้าอ๋องกล้าแต่งตั้งคนนอกตระกูลเป็นจวินเช่นนี้ ทำให้บรรดาผู้สูงศักดิ์ในรัฐเจ้าสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในหัวใจของเจ้าอ๋องได้อย่างชัดเจน
ทันทีที่กงซุนกู่ตาย กงซุนหยวนก็เกลียดชังกงซุนพีมากขึ้นเป็นเท่าตัว ปากบอกว่าซ่งชูอีบีบให้พี่ชายของตนตาย ทว่าจากการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะกงซุนพี เขามักจะแยกแยะบุญคุณและความแค้นอย่างชัดเจนเสมอมา สำหรับการสังหารซ่งชูอีนั้น เหตุผลหลักเป็นเพราะว่า…ขุนนางผู้เฉลียวฉลาดในรัฐอื่นย่อมเป็นภัยต่อรัฐของตน
แม้จะกล่าวว่าการสังหารขุนนางรัฐอื่นโดยไร้เหตุผลเป็นวิธีที่ต่ำช้าทว่าหากมีโอกาสฆ่าปิดปาก ใครเล่าจะปล่อยไป?
อีกด้านหนึ่ง ฉิน ฉี ฉู่ร่วมกลยุทธ์เหลียนเหิงด้วยกันและข่มกลยุทธ์เหอจ้งของกงซุนเหยี่ยนเอาไว้ รัฐต่างๆ จึงเข้าสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง
ปลายเดือนสิบ จางอี๋กลับมาจากรัฐฉู่
นับตั้งแต่สมัยซางจวิน รัฐฉินก็ห้ามจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ ทว่ามิได้ห้ามให้จัดงานเลี้ยงส่วนตัว จางอี๋และชูหลี่จี๋จึงรวมตัวกันในจวนของซ่งชูอี ดื่มเหล้าพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ขับไล่ความอึมครึมที่เกิดจากสงคราม
จวนของซ่งชูอีแห่งนี้อยู่ใกล้กับบ่อน้ำร้อน ภายในจวนจุดเตาอั้งโล่ หน้าต่างทุกด้านล้วนถูกปิดด้วยม่านหนา อบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ
หนิงยาอุ้มไหสุราหนึ่งเข้ามา จางอี๋เห็นว่าบนตัวนางมีเกล็ดหิมะ “เอ๋ หิมะตกแล้วรึ?”
“เจ้าค่ะ ตอนที่บ่าวเพิ่งจะออกจากจวนยังเป็นหิมะเพียงเบาบาง พอกลับมาหิมะก็ตกหนักเท่าขนห่านแล้วเจ้าค่ะ” หนิงยาวางไหสุราลง “นี่คือสุราสนที่เพิ่งมาถึงวันนี้ของหอหย่าเหอ ก็รีบเอามาเลยเจ้าค่ะ!”
ซ่งชูอีพิงอยู่บนขอบตั่งอย่างสบายๆ “ฝ่าบาทยึดเอาสุราบ๊วยของข้าไปจนหมด โชคดีที่สวรรค์ไม่ใจร้ายกับข้านัก ยังมีสุราสนที่หอหย่าเหออีก”
นี่คือสูตรสุราสนที่ซ่งชูอีมอบให้ฉือจวี้ พวกเขาลองผิดลองถูกกันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็สามารถทำออกมาได้ เริ่มขายในลี่หยางในช่วงแรกและกระแสตอบรับดีมาก ต่อมาจึงถูกนักธุรกิจหัวใสนำมาขายให้กับหอสุราในเสียนหยางทันที
หนิงยาเอ่ย “บ่าวได้ยินเถ้าแก่กล่าวว่า สุรานี้เมื่อยังไม่ได้ต้มจะหวานใสให้ความสดชื่น หากใส่ในหม้อสุราแล้วนำมาต้ม กลิ่นหอมของสนก็จะตลบอบอวลเต็มห้องจนทำให้เมาได้เลยเจ้าค่ะ!”
จางอี๋หัวเราะเอ่ย “เถ้าแก่คนนั้นช่างเข้าใจพูดจริงๆ เช่นนั้นเจ้าต้มครึ่งหนึ่ง ดื่มตอนนี้ครึ่งหนึ่ง ให้ข้าได้เห็นว่าคำพูดนี้เกินจริงหรือไม่!”
“เจ้าค่ะ!” หนิงยาตอบรับอย่างชัดเจน เทสุราครึ่งหนึ่งลงหม้อสุรา ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็รินให้พวกเขาแต่ละคนจนเต็มจอกสุรา
จางอี๋ชิมคำหนึ่ง “เคยดื่มสุราบ๊วยของหวยจินมาก่อน แล้วมาดื่มสุราสนนี้อีก ก็รู้สึกว่ารสชาติพอไปวัดไปวาได้ ทว่าสดชื่นเป็นอย่างมาก”
ชูหลี่จี๋ก็จิบคำหนึ่งเช่นกัน เอ่ยว่า “ยากยิ่งนักที่ความสดชื่นของสนกับความร้อนแรงของสุราจะผสมผสานอย่างลงตัว สุรานี้ดีกว่าครั้งแรกที่ข้าดื่มหน่อยหนึ่ง ต่อไปเมื่อทักษะการบ่มสุราพัฒนาขึ้นแล้ว เกรงว่าจะสามารถเทียบเท่าสีสันฤดูใบไม้ร่วงของสุราบ๊วยได้เลยเชียว”
“ท่านขอรับ สุราจากท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมาถึงแล้วขอรับ” มีบ่าวรับใช้รายงานอยู่ด้านนอก
“ส่งเข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ย
สุราถูกส่งเข้ามาทันที
กาสุราถูกบรรจุอยู่ในกล่องเคลือบขนาดเล็ก มีขนาดกว้างยาวประมาณครึ่งจั้ง หลังจากเปิดออกแล้วข้างในก็มีหม้อเงินแกะสลักขนาดเท่าฝ่ามือ
“นี่มันสุราพิศดารประเภทใดกัน? เล็กเหลือเกิน” ซ่งชูอีโน้มตัวเข้าไป ชาวฉินส่วนใหญ่ใช้สิ่งของที่ใหญ่และหยาบ ไม่ใคร่ใช้สิ่งของที่เล็กและละเอียดอ่อนเช่นนี้
จางอี๋วางกาสุราลงบนโต๊ะ เอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาทตระหนี่นัก! ฝ่าบาทต้องการตบรางวัลที่เหลียนเหิงของข้าประสบความสำเร็จ ถามข้าว่าต้องการสิ่งใด ข้าก็ขอสุราดอกบ๊วย…”
ซ่งชูอีเบิกตาโพลง “น้อยเพียงนี้เชียวรึ ฝ่าบาทก็ยังมีหน้าเอามาให้? เขายังขุดของเขาไปตั้งสิบกว่าไห”
“มีก็ไม่เลวแล้ว! สุราที่เจ้าบ่มปีนี้ก็เอาไปเก็บในจวนพวกข้าสองคนเถิด” จางอี๋เอ่ย
“ท่านน่ะช่างเถิด ข้าไปเก็บไว้ที่จวนพี่ใหญ่ดีกว่า เมื่อกลับมาแล้วจะได้เหลือกาเล็กไว้สักกาบ้าง” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย
จางอี๋ชอบสุรารสเลิศเหมือนกับซ่งชูอี
ซ่งชูอีรับกาสุรามาแล้วรินใส่จอกของพวกเขาทั้งสองจนเต็ม “จริงสิ พวกท่านล้วนเป็นพี่ใหญ่ของข้า ถ้าอย่างไรก็เรียงตามลำดับเถิด ข้าจะได้ไม่เรียกผิดเวลาเรียกเป็นการส่วนตัว ข้าคงจะเรียกว่าพี่ใหญ่ซ้ายและพี่ใหญ่ขวาไม่ได้ดอกกระมัง”
“ข้าแก่กว่า คงต้องให้ชูหลี่จี๋เป็นน้องรองด้วยความอับอายแล้ว” จางอี๋ยกจอกสุราพลางเอ่ย
ชูหลี่จี๋ยกจอกสุราขึ้นเช่นกัน “พี่ใหญ่มีชื่อเสียงทั่วหล้า ข้าจะอับอายได้อย่างไร?”
“พี่ใหญ่ พี่รอง จอกนี้ข้าขอดื่มให้พวกท่าน!” ซ่งชูอียกจอกเหล้าตาม
ขุนนางแม่ทัพเข้ากันไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ต่อกิจการระดับรัฐ ทว่าหากความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างขุนนางดีเกินไปก็เป็นความกังวลใจขององค์จวินเช่นกัน ทั้งสามคนรู้เรื่องนี้โดยธรรมชาติและจะไม่ขานเรียกส่งเดชภายนอก
อย่างไรก็ดีมีเพียงชูหลี่จี๋ที่รู้ว่าต่อให้เป็นเรื่องส่วนตัวก็เกรงว่าปกปิดฝ่าบาทไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นมหาเสนาบดีหรือกั๋วเว่ยล้วนอยู่ในตำแหน่งที่งานล้นมือทั้งวัน แอบอู้ครึ่งชั่วยามเช่นนี้ อีกประเดี๋ยวก็จะมีผู้คนจากภายนอกมาขอคำแนะนำมากมาย โดยเฉพาะชูหลี่จี๋ผู้เป็นหัวหน้าขุนนางที่รับผิดชอบกิจการภายในจะมีงานยุ่งที่สุด
หลังจากดื่มสุราหมดไหแล้ว ทั้งสามคนก็ต่างแยกย้ายไปทำงาน
พลบค่ำ มีข่าวประกาศจากทางพระราชวังเสียนหยาง…กั๋วโฮ่วคลอดแล้ว!
หากคำนวณเวลาดูแล้วยังไม่ถึงเก้าเดือนเลยด้วยซ้ำ! คิดไม่ถึงว่าจะคลอดก่อนกำหนด! สิ่งนี้ทำให้ขุนนางที่ทราบข่าวรู้สึกแปลกใจมากทีเดียว
เมื่อตกกลางคืนก็มีข่าวออกมาอีกว่ากั๋วโฮ่วให้กำเนิดทารกฝาแฝด ชายหญิงอย่างละคน
หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ล้วนคลอดก่อนกำหนด ทว่าก็ไม่สามารถด่วนดีใจได้ ในยุคสมัยนี้ ทารกที่คลอดตามกำหนดก็ไม่เห็นว่าจะมีอายุถึงหนึ่งขวบ นับประสาอะไรกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดเล่า?
บนเตียง ซ่งชูอีพลิกตัวไปครู่หนึ่ง
เจ้าอี่โหลวเตะนาง “คนอื่นเขามีลูกชายลูกสาว เจ้าจะหันไปไหนเล่า!”
“อี่โหลว เจ้าเคยคิดอยากเป็นพ่อหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“ไม่เคย” เจ้าอี่โหลวตอบ
“ตอนนี้คิดหรือไม่?”
“คนในราชวงศ์รัฐเจ้ามีมากแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องมีทายาทสืบช่วงต่อ”
“แม้พวกเราไม่ได้คาดหวังผลผลิต แต่ไม่ออกแรงเลยคงไม่ได้ดอกกระมัง?”
“……”
เงียบไปเนิ่นนาน เจ้าอี่โหลวพลิกตัวเอื้อมมือกอดนาง ตำหนิเสียงเบา “เจ้าเคยคิดหรือไม่หากเจ้าตั้งครรภ์จะทำอย่างไร?”
สถานการณ์ของนางในตอนนี้ ไม่สามารถปล่อยให้ตั้งครรภ์ได้เป็นอันขาด
ซ่งชูอีลุกขึ้น คุ้ยหาในกล่องข้างเตียงสักพัก หยิบขวดดินเผาอันหนึ่งออกมาแล้วพุ่งกลับไปบนเตียง “นี่คือยาคุมกำเนิดที่ข้าขอมาจากพี่ใหญ่”
“ที่แท้…” เจ้าอี่โหลวรับขวดนั้นมา ลูบคลำเบาๆ หลับตาซ่อนความผิดหวังในดวงตา “ที่แท้เจ้าก็เตรียมไว้แล้ว”
บรรยากาศผิดปกติ ซ่งชูอียื่นศีรษะออกมาสำรวจสีหน้าของเขาในความมืดอย่างละเอียด พลางคิดในใจว่าช่างเดาใจของเจ้าเสี่ยวฉงยากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ตัวเองกล่าวว่าไม่อยากมีลูก แต่ครั้นนางเอายาคุมกำเนิดออกมากลับทำท่าทางเหมือนถูกรังแกไปเสียได้
“จิ๊” ซ่งชูอีแยกเขี้ยว “ข้าก็ถามเจ้าแล้วไม่ใช่รึ หากเจ้าอยากมีลูกพวกเราก็มี หากเจ้าไม่ต้องการก็พูดกันดีๆ เจ้าบอกมาสิว่าครั้งนี้เจ้ามีอะไรที่คิดไม่ตกเช่นนั้นหรือ?”
ซ่งชูอียึดมั่นในรูปแบบตามปกติโดยการตระเตรียมทุกสิ่งอย่างรอบคอบ ทว่าในแง่ของความรู้สึกแล้ว ถามก่อนเตรียมยาคุมกำเนิดกับเตรียมยาคุมกำเนิดแล้วค่อยถาม แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ข้าผิดไปแล้ว” ซ่งชูอีคิดทบทวนครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นว่านางเข้าใจ เจ้าอี่โหลวก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ข้าควรเอามันออกมาพรุ่งนี้” ซ่งชูอีบ่นพึมพำ
เจ้าอี่โหลวยัดยาคุมกำเนิดใส่หน้าอกของนาง เอ่ยด้วยความโมโห “เจ้าเข้าใจก็ดี เหตุใดต้องเอ่ยออกมาด้วย!”
พูดจบก็หันหลังให้อย่างขุ่นเคือง
ซ่งชูอีหัวเราะฮี่ๆ พลางกอดเขาจากด้านหลัง “ข้าก็แค่อยากให้เจ้ารู้ว่าข้าสามารถแสดงความตรงไปตรงมาต่อเจ้ามีโดยฟ้าดินเป็นผู้พิสูจน์และดวงอาทิตย์ดวงจันทร์เป็นพยานอย่างไรเล่า!”
นี่นางกำลังแสดงความจริงใจอยู่หรือ? ช่างน่าโมโหจริงๆ!
เจ้าอี่โหลวหลับตาไม่สนใจนาง