ตอนที่ 182 แก้วตาดวงใจของชายชรา
“เจ้าสองคนพูดคุยเรื่องใดกันหรือ?” เหอยาโถวกล่าวได้เพียงครึ่งประโยคเท่านั้น สืออีกลับเดินตรงมาเสียก่อน ดวงตาสีลูกพีชคู่นั้นวูบไหว
หยุนเชวี่ยตื่นตระหนกทันที “เจ้าได้ยินอะไรหรือไม่?”
สืออีโคลงศีรษะด้วยท่าทางไร้เดียงสาก่อนชี้ไปที่ตะกร้า “พอหรือไม่?”
เหอยาโถวลอบหัวเราะเยาะเมื่อเห็นว่าหยุนเชวี่ยหน้าแดงเพราะความเขินอายอย่างเห็นได้ชัด
ภพชาติที่แล้วหยุนเชวี่ยเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์สาวบ้างานผู้ไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันคนรักกับผู้ใด ครั้นเกิดใหม่ในภพชาตินี้ต้องรู้สึกอย่างไรกันที่ถูกหมาป่าวัยกระเตาะเช่นสืออีมาทำให้หัวใจสั่นไหว?
หยุนเชวี่ยยกมือแตะหน้าอกที่หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งพร้อมผ่อนลมหายใจออก โธ่เอ๊ย… นังเด็กไม่รักดี!
…
หยุนเชวี่ยและเหอยาโถวเดินลงจากภูเขาพร้อมด้วยหินเกลือก้อนเล็ก ๆ จำนวนครึ่งค่อนตะกร้า ทันทีที่ไปถึงตัวหมู่บ้านจึงพบเข้ากับสองพี่น้องโฉ่วเหือและโฉ่วช่วน พร้อมด้วยเหยียนซื่อผู้เป็นมารดา
“โอ้… เชวี่ยเอ๋อ เหอยาโถว พวกเจ้าขยันขันแข็งถึงเพียงนี้เห็นทีคงเป็นเศรษฐีแล้วกระมัง! ในตะกร้ามีสิ่งใดรึ?” แม่นางเหยียนยืดคอพยายามชะเง้อมองเข้าไปในตะกร้า
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงขึ้นไปเก็บอินทผลัมรสเปรี้ยวบนภูเขาเพื่อบรรเทาความหิวโหยเท่านั้น” หยุนเชวี่ยกล่าวบ่ายเบี่ยงแสร้งทำราวสิ่งที่อยู่ในตะกร้าไม่ใช่ของสลักสำคัญแต่อย่างใด “ท่านป้าจะไปที่ใดกันรึ?”
“ข้าจะไปที่ใดได้อีกนอกเสียจากบ้านของเจ้า”
“ไปที่บ้านของข้าด้วยเหตุใดกัน?”
“ครอบครัวของเจ้ากำลังจะจ้างคนเพื่อไปขายบ๊วยดองในเมืองเสาะหารายได้เข้าตระกูลน่ะ เอ๊ะ! เจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรอกหรือ?!” แม่นางเหยียนแสร้งทำเป็นประหลาดใจ จากนั้นจึงทำทีราวนึกถึงบางสิ่งขึ้นได้ “โอ้! ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม่นางจ้าวต้องการจ้างงานคนนอก บอกข้าทีเถิดว่าเหตุใดตระกูลเดียวกันแต่กลับแยกกิจการออกเป็นสอง? ช่างน่าประหลาดนัก!”
หยุนเชวี่ยเพียงเผยรอยยิ้มไม่ตอบกลับแต่อย่างใด
แม่นางจ้าวติดต่อขอซื้อลูกพลัมสดจากใครสักคนในเมืองและนำกลับมาที่บ้าน ทว่าผู้ที่เป็นต้นแบบของการค้าขายคือหยุนเชวี่ยที่ลงแรงล้างทำความสะอาดและนำไปดองด้วยตนเอง ทั้งผลลัพธ์ที่ได้ยังเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้คนในหมู่บ้าน ดังนั้นเพียงแม่นางจ้าวเอ่ยปากจ้างวานจึงมีชาวบ้านหลายรายยินดีรับข้อเสนอนี้
“เชวี่ยเอ๋อ ตัวเจ้าเองก็ขายบ๊วยดองเช่นเดียวกัน เป็นเช่นนี้แล้วจะถือเป็นการเบียดเบียนรายได้หรือไม่เล่า?” แม่นางเหยียนแสร้งทำไขสือ
“ในตัวเมืองมีร้านรวงมากมาย มีโรงเตี๊ยมทั้งขนาดใหญ่และย่อม ถึงกระนั้นภัตตาคารหลงชิ่งซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในย่านนั้นยังดำรงอยู่ได้โดยมีลูกค้าเหนียวแน่นมิใช่หรือ?” หยุนเชวี่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
แม่นางเหยียนเบื่อหน่ายจะสนทนาแล้วจึงดึงแขนลูกชายทั้งสองคนให้เดินตามตนไปพลางกล่าวเร่งเร้า “รีบไปกันเถิด อย่ามัวชักช้าเสียเวลาอยู่เลย!”
“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าเคยบอกว่าเราจะไม่ขายบ๊วยดองแล้วใช่หรือไม่?” เหอยาโถวเตรียมใจไว้แล้วว่าสักวันต้องเผชิญเรื่องดังกล่าว ทว่าจิตใจกลับยังไม่คลายความกังวล
สำหรับตัวเขาเองไม่ได้ใส่ใจเรื่องดังกล่าวมากนัก ทว่าเหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยยังต้องการทำอาชีพนี้เพื่อนำรายได้ไปเลี้ยงปากท้องของครอบครัว!
“พวกเราคือผู้ค้ารายแรก ทั้งยังคุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองเป็นอย่างดี บรรดาลูกค้าเจ้าประจำก็จดจำเราได้เป็นอย่างดีแล้ว” หยุนเชวี่ยไม่แยแส “อีกอย่าง… ข้าเชื่อว่าการขายบ๊วยดองยังสามารถสร้างรายได้ให้กับพวกเราอีกมากโขทีเดียว”
หยุนเชวี่ยประเมินสถานการณ์ดังกล่าวไว้ก่อนแล้ว ด้วยจำนวนทรัพยากรที่มีอยู่เพียงจำกัดและยังมีคู่แข่งที่ค้าขายสินค้าประเภทเดียวกัน แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อกิจการของตนอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นยังอยู่ในขอบเขตที่รับมือไหว
“จริงสิ ตอนนี้ลูกพลัมใกล้หมดลงแล้ว เราไปขอให้พี่รองของข้าสั่งมาเพิ่มอีกดีหรือไม่?” เหอยาโถวเอ่ยถาม
“อย่ารีบร้อนไป รอดูสถานการณ์ต่อไปอีกสักหน่อยเถิด…”
ก่อนเดินผ่านประตูบ้านเข้าไป หยุนเชวี่ยจึงพบว่าบริเวณลานหน้าบ้านตระกูลหยุนมีผู้คนมากมายมารวมตัวกัน
ครั้นเข้ามาแล้วจึงได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกอื้ออึง
“ต้าหนิวของข้ามีความอดทนสูง! มีความซื่อสัตย์เป็นเลิศและขยันหมั่นเพียร ไม่ว่างานใช้แรงใด ๆ ย่อมไม่เกี่ยงงอน!”
“ตวนสื่อของข้าพูดจาไพเราะเสนาะหูน่าฟังยิ่ง ทั้งยังกล้าหาญกล้าตะโกนร้องเรียกลูกค้าไม่เหนียมอาย จ้างงานเขาเถิด!”
“นี่! สะใภ้เถียน ชานจื่อของข้ามาถึงที่นี่ก่อนเจ้าเสียอีก หลีกไปซะ!”
“ท่านบัณฑิต สะใภ้หยุน พวกท่านทั้งสองมีความคิดเห็นตรงกันว่าควรจ้างงานผู้ใดหรือ?”
หยุนเชวี่ยนึกประหลาดใจกับการตะโกนแข่งกันเพื่อเสนอตัวให้อีกฝ่ายจ้างงานตนเองเข้าไปขายบ๊วยดองในเมือง การค้าเพียงเล็กน้อยกลับกลายเป็นการรับสมัครคัดเลือกขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
หยุนเชวี่ยเดินลัดเลาะไปตามรั้วกำแพง จากนั้นจึงลากเก้าอี้ทรงเตี้ยมาหย่อนกายนั่งข้างแปลงผักเพื่อรับชมความยุ่งเหยิงตรงหน้าด้วยความใคร่รู้
ในที่สุดหยุนลี่จงจึงเดินออกมาจากห้องชั้นบนทางปีกตะวันออก ในมือข้างหนึ่งถือกระดานไม้สำหรับขีดเขียนและวางมาดอย่างเคร่งขรึม ส่วนอีกมือหนึ่งถือพู่กันกระชับแน่น เขากระแอมครั้งหนึ่งก่อนเอ่ยถามหลี่เถี่ยนเหนียวซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสุด “เจ้าอ่านเขียนได้หรือไม่?”
หลี่เถี่ยนเหนียวส่ายหน้าและนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่
หยุนลี่จงตวัดปลายพู่กันก่อนหันไปถามเถียนตวนสื่อ “แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้าไม่รู้หนังสือ ทว่าเสียงของข้าดังแปดหลอดสามารถตะโกนขายของได้!” เถียนตวนสื่อกล่าวกลั้วหัวเราะ ในบรรดาเด็กชายวัยเดียวกันเขาดูมีท่าทางกระฉับกระเฉงมากที่สุด
หยุนลี่จงตวัดพู่กันอีกครั้ง ดวงตาของเขาฉายชัดว่าไม่พึงใจในตัวอีกฝ่ายนักและหันไปมองผู้สมัครรายถัดไป
ชานจื่อยังรอให้หยุนลี่จงถามตนบ้างแม้รู้สึกแปลกใจในมาตรฐานอันสูงส่งของบัณฑิตผู้นี้ เขาโบกไม้โบกมือเพื่อให้อีกฝ่ายมองเห็นตน “ขะ… ข้าอ่านเขียนไม่ออก แต่ข้า…”
หยุนเชวี่ยยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบพลางสั่นขา จากนั้นจึงหันไปถามหยุนเยี่ยนซึ่งกำลังก่อไฟเตรียมทำอาหาร “พี่สาว ข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก คนขายต้องกล้าร้องตะโกนและไม่เขินอายเท่านั้นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ? ลุงใหญ่ต้องการผู้ที่เขียนอ่านได้ไปเพื่อสิ่งใดกัน?”
หยุนเยี่ยนกล่าวตอบโดยไม่เงยหน้า “ข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกับเจ้า ทว่านั่นเป็นเรื่องของลุงใหญ่ก็ให้เขาเป็นผู้พิจารณาเองเถิด”
“ในหมู่บ้านของเรามีผู้ที่รู้หนังสือนับได้เพียงหยิบมือเดียว การจ้างงานคนเก่งนับว่าประหลาดไม่น้อย”
แน่นอนว่าในกลุ่มคนมีผู้ที่สงสัยประเด็นเดียวกันกับหยุนเชวี่ย “ท่านบัณฑิต พวกเราเพียงต้องเข้าไปเร่ขายบ๊วยดองในเมืองเท่านั้นมิใช่หรือ? แค่ส่งเสียงร้องเรียกลูกค้าดัง ๆ ก็เพียงพอแล้ว จะต้องรู้หนังสือไปด้วยเหตุใด?”
“นั่นสิ! ดูอย่างเจ้าเด็กเหลียวชีจินนั่นยังไม่รู้หนังสือแม้แต่น้อย แต่กลับหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ!”
“เสี่ยวส้วยเอ๋ออีกคน… นางเป็นเด็กหญิงด้วยซ้ำแต่กลับซื้อซาลาเปามาฝากแม่ของนางทุกครั้งหลังกลับมาจากในเมือง!”
“ใช่แล้ว! การรู้หนังสือจะมีประโยชน์อย่างไรกัน? มีเด็กเพียงกี่คนในหมู่บ้านของเราที่รู้หนังสือ!”
เสียงของผู้คนบนลานกว้างดังขึ้นและแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
หยุนลี่จงขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เขาสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งก่อนเอ่ยด้วยเสียงต่ำเชิงตำหนิ “นั่นเป็นเพราะผู้ไม่รู้หนังสือย่อมขาดซึ่งไหวพริบ!”
“อย่ามัวเฉไฉให้มากความไปเลย ท่านบัณฑิต ท่านยังต้องการจ้างงานพวกเราจริงหรือไม่? นี่เป็นเพียงการชักชวนชวนเชื่อเช่นนั้นรึ?!” ใครคนหนึ่งร้องตะโกนเสียงดัง ถ้อยคำว่า ‘ท่านบัณฑิต’ แฝงไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
จากนั้นเสียงหัวเราะจึงดังขึ้นอื้ออึง หยุนลี่จงเริ่มปั้นหน้าไม่ถูก ท่าทางที่แสดงออกเผยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แม่นางจ้าวเห็นท่าไม่ดีจึงรีบยับยั้งข้อกังขาเหล่านั้น “อย่าได้เดือดร้อนโวยวายไป การรู้หนังสือเป็นคุณสมบัติประการแรกที่เราต้องการ หากเจ้าไม่รู้หนังสือ…”
แม่นางจ้าวเหลือบมองใบหน้ามืดมนของหยุนลี่จงซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงลดระดับเสียงของตนลงเล็กน้อย “อ่านเขียนไม่ได้ก็ช่างเสียเถิด หากมีสิ่งใดใคร่ถามจงถามทีละคน อย่าแย่งพูดแทรกเสียจนไม่รู้ความ…”
“เจ้าต้องการจ้างกี่คน?”
“เจ้าให้ค่าจ้างเท่าไร? เท่ากันกับค่าจ้างคนของเชวี่ยเอ๋อหรือไม่?”
“เจ้าจะให้เข้าไปขายในเมืองตั้งแต่วันใดรึ?”
“ถ้อยคำที่จะใช้ร้องเชิญชวนว่าอย่างไร? บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าก่อนได้หรือไม่?”
ทุกคนต่างถามในสิ่งที่ตนสงสัยทีละคน หยุนลี่จงเกียจคร้านจะสร้างภาพตวัดพู่กันลงบนกระดาษเสียแล้วจึงกล่าวบ่ายเบี่ยงในภาพรวม “ข้ารับรู้ข้อสงสัยของพวกเจ้าแล้ว เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าเพียงทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น อย่าได้ทำสิ่งใดนอกเหนือไปจากนี้…”
“ลุงใหญ่ยังคงวางตนราวเป็นเถ้าแก่กิจการใหญ่โต!” หยุนเยี่ยนละสายตาจากอาหารตรงหน้าและออกความเห็นบ้าง
“วางท่าสูงส่งถึงเพียงนี้ ผู้ใดเล่าจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างแต่โดยดี?” หยุนเชวี่ยหรี่ตาลง “หากครั้งนี้เขาจ้างคนมากเกินไปเกรงว่าคงไม่มีใครหาเงินได้เกินสองถึงสามเหรียญ ถึงเวลานั้นอาจเกิดการเรียกร้องขึ้นอีก…”