ตอนที่ 181 เจ้าหมอนี่ดูดีทีเดียว

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 181 เจ้าหมอนี่ดูดีทีเดียว

นับตั้งแต่วันแรกที่ได้พบถ้ำหินเกลือ หยุนเชวี่ยจึงวางแผนการอันสวยหรูจารึกลงในพิมพ์เขียวและเก็บไว้ในใจมาตลอด

นางไม่เพียงต้องการทำให้ชีวิตครอบครัวของตนเองเจริญก้าวหน้าเพียงเท่านั้น ทว่ายังหวังให้ชาวบ้านที่ขยันหมั่นเพียรในการทำงานทว่ามีฐานะยากจนเช่นครอบครัวของเหลียวชีจินและเผยเสี่ยวส้วยได้มีโอกาสใช้แรงกายแลกกับรายได้เพื่อลืมตาอ้าปากเสียที

เหอยาโถวตกตะลึง แม้ไม่เข้าใจถึงแผนการของหยุนเชวี่ยอย่างถ่องแท้ ทว่าสายตากลับเปี่ยมไปด้วยความวาดหวัง “จริงหรือ?”

“จริงแท้แน่นอนเชียวล่ะ!”

“เช่นนั้น…” เหอยาโถวครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ข้ายังมีอีกหนึ่งคำถาม เราจะแจ้งเรื่องนี้ให้ราชสำนักทราบได้อย่างไรว่าหมู่บ้านของพวกเรามีแหล่งกำเนิดหินเกลือ?”

หยุนเชวี่ย…

“เราขอความช่วยเหลือจากพี่สือยวินให้ร่างสาส์นส่งไปยังขุนนางที่รับผิดชอบงานด้านข่าวสารในเมืองหลวงได้หรือไม่?”

หยุนเชวี่ย…

“แล้วหากขุนนางระดับสูงได้รับสาส์นจากพวกเราแล้วไม่คิดเชื่อถือเล่า?”

หยุนเชวี่ยนิ่งงันไปอีกครั้ง

ครั้งนี้นางมัวตื่นเต้นจนหลงลืมประเด็นสำคัญในส่วนนี้ไปเสียสนิท

ตัวหยุนเชวี่ยและเหอยาโถวมีสถานะเป็นเพียงเด็กบ้านนอกในพื้นที่ชนบทห่างไกล ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเหล่าขุนนางที่อยู่ในเมืองหลวง เพียงข้าราชการอาวุโสระดับไม่สูงนักที่ปฏิบัติงานอยู่ในมณฑลอันผิงยังไม่คิดถือเอาคำพูดของพวกตนเป็นเรื่องจริงจังแต่อย่างใด

หยุนเชวี่ยเกาศีรษะพลางทบทวนอย่างเงียบเชียบเมื่อพบเจอเข้ากับปัญหาใหญ่ ยุคนี้การขนส่งและคมนาคมยังไม่สะดวกสบายเช่นยุคปัจจุบัน ทั้งยังถือลำดับชนชั้นทางสังคมอย่างเข้มงวด หากไม่ได้เป็นเจ้าขุนมูลนายซึ่งมีชื่อแซ่อันเป็นที่รู้จักในแวดวงชั้นสูงอาจเข้าถึงราชสำนักได้ยากยิ่ง ต่อให้นำหินไม่กี่ก้อนไปเสนอถึงที่อาจถูกกล่าวหาว่าเสียสติกล่าววาจาไม่รู้ความก็เป็นได้

เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี?

จังหวะนั้นน่องของหยุนเชวี่ยเผลอสัมผัสเข้ากับหม้อดินเผาที่ยังร้อนฉ่า ทำให้นางกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดราวถูกไฟลวก พลันใดนั้นแสงสว่างแห่งความบรรลุจึงแวบเข้ามาในห้วงความคิดอย่างฉับพลัน!

“อ๊ะ! เจ้าเมืองอย่างไรล่ะ!”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?!” เหอยาโถวพลอยสะดุ้งไปด้วยและใช้กิ่งไม้เขี่ยเอาหม้อดินเผาหลีกไปด้านข้าง

“เจ้าเมืองอันผิง! ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าอ้วนเฉียนสนิทชิดเชื้อกับเจ้าเมืองถึงขั้นไปมาหาสู่ผ่านสวนหย่อมหลังจวนได้?” น่องของหยุนเชวี่ยเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกเพราะความร้อนที่ทำลายผิวหนัง ทว่านางมีสิ่งที่สำคัญกว่าจึงหลงลืมซึ่งความเจ็บปวด

เหอยาโถวพยักหน้า

“เราไม่จำเป็นต้องถ่อสังขารเข้าไปพบขุนนางในเมืองหลวง ทว่าพวกเราเพียงเข้าพบกับเจ้าเมืองอันผิงได้ก็เพียงพอแล้ว…” หมู่บ้านไป๋ซีอยู่ในเขตรับผิดชอบของมณฑลอันผิง ตราบใดที่ท่านเจ้าเมืองมีโอกาสเห็นหินเกลือด้วยตาของตนเองและไม่ถือจิตอคติ ด้วยความน่าเชื่อถือระดับเจ้าเมืองแล้วย่อมไม่มีผู้ใดกล้าละเลยเป็นแน่

“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าจะไปพบเจ้าเมืองจริงหรือ?” เหอยาโถวแลบลิ้นเลียริมฝีปากพร้อมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

“ถูกแล้ว เราสองคนไปด้วยกัน!”

“ข้า? ข้าต้องไปด้วยงั้นรึ?!”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

“พูดเป็นเล่นเชียว! ข้าเติบโตมาจนอายุสิบสี่ปีไม่เคยพบพานพวกข้าราชการแม้สักครั้ง! หากต้องไปติดต่อกับพวกเขาข้าไม่กระดากอายแย่รึ?”

“ผู้ใดว่าเจ้าไม่เคยพบพวกเขากัน? ครั้งสุดท้ายที่เราเข้าไปในศาลาว่าการ เจ้าเมืองอันผิงท่าทางนิ่งราวตั๊กแตนตำข้าว ไม่เห็นมีสิ่งใดน่าหวาดกลัว” หยุนเชวี่ยมองหน้าเหอยาโถว “ว่าอย่างไร? หรือเจ้าไม่ต้องการรับผลประโยชน์ร่วมกันล่ะ?”

เหอยาโถวเกาท้ายทอยพลางกล่าวด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย “ทั้งหมดนี่นับเป็นความคิดของเจ้า ข้าจะหยิบยกมาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวได้อย่างไร?”

“หากพบเจ้าเมืองแล้วข้าคงไม่บอกกล่าวไปตามตรงหรอก…”

“เช่นนั้นเจ้าจะพูดอย่างไร?”

“ข้าจะพูดว่า…”

หยุนเชวี่ยตระเตรียมคำพูดกับเหอยาโถวเพื่อความเข้าใจที่ตรงกันครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งฟังเหอยาโถวก็ยิ่งสับสน “เหตุใดเจ้าจึงไม่แจ้งไปตามตรงว่าเป็นผู้ค้นพบด้วยตนเองเล่า?”

“แจ้งให้พวกเขาทราบว่าเราเผลอเดินผิดทางจึงพบมันด้วยความบังเอิญไม่น่าสงสัยน้อยกว่าหรือ?”

“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าช่างเจ้าแผนการเสียจริง มีสิ่งใดปิดบังอยู่กันแน่?”

“เรื่องนั้นสำคัญด้วยรึ?”

เหอยาโถวตั้งท่าจะพ่นคำปุจฉาอีกมากมาย ทว่าหยุนเชวี่ยยับยั้งเขาไว้ด้วยการยกยิ้มมุมปากและเอ่ยหลีกเลี่ยงอย่างช่วยไม่ได้ “รอบรู้ได้ ทว่าอย่าเด่น มิฉะนั้นจะเป็นภัย”

ตามจริงแล้วหยุนเชวี่ยสามารถคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ได้แทบทุกรูปแบบ ทว่าหากเปิดเผยจนเกินควรอาจสร้างข้อสงสัยให้กับผู้คนในยุคนี้ นางจึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างที่ไม่สามารถนำเสนอสิ่งใดได้ตามใจนึก

ทั้งสองสนทนาถึงแผนการร่วมกันและกำชับอย่างหนักแน่นว่าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่แพร่งพรายให้ผู้ใดทราบแม้แต่คนใกล้ตัว หากถึงเวลาอันเหมาะสมแล้วจึงจะไปพบกับเจ้าเมืองอันผิงเพื่อดำเนินการขั้นต่อไป

สองวันหลังจากนั้น เหอยาโถวรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเลือดลมที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายคล้ายสูบฉีดไปยังหัวใจเร็วกว่าทุกครั้ง

เด็ก ๆ เดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อเตร่ขายลูกบ๊วยดองน้ำตาลตั้งแต่เช้าตรู่ พอถึงช่วงบ่ายจึงหอบตะกร้าพร้อมด้วยค้อนเหล็กขนาดเล็กเพื่อเข้าไปเก็บรวบรวมหินเกลือในถ้ำบนภูเขาหลังหมู่บ้าน

“เชวี่ยเอ๋อ เจ้านำก้อนหินจำนวนมากถึงเพียงนี้ไปทำสิ่งใดหรือ?” ช่วงนี้สืออีดูมีความสุขยิ่งเพราะได้พบหน้าหยุนเชวี่ยทุกช่วงบ่าย

“หินเกลือเหล่านี้มีประโยชน์มากมายทีเดียว เจ้าเป็นเพียงบุรุษที่มีเพียงพละกำลังดิบเถื่อน จะไปรู้อะไร?!” เหอยาโถวได้ทีจึงกล่าวเหน็บแนมอีกฝ่าย

สืออีไม่ใส่ใจฟังเสียงนกเสียงกา เขายังทำท่าทางราวตนเป็นหมาป่าตัวกระจ้อยที่คอยวนเวียนตามติดอยู่แต่กับหยุนเชวี่ย “เชวี่ยเอ๋อ เจ้าพักสักครู่เถิด ให้ข้าทำงานหยาบเหล่านี้แทนเจ้าเอง!”

“เชวี่ยเอ๋อ กระหายน้ำหรือไม่? ดื่มน้ำก่อนเป็นไร”

“เชวี่ยเอ๋อ เหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่? ทำงานหนักถึงเพียงนี้ ขากลับข้าจะแบกเจ้าลงไปเอง…”

เหอยาโถวเหล่ตามองสืออีด้วยความรำคาญสุดจะทานทน ริมฝีปากบิดเบี้ยวเพราะความขัดใจ จากนั้นเขาจึงโยนค้อนในมือลงพื้นและคว้าน้ำเต้าเดินห่างออกไปทันที “ข้าก็จะพักผ่อนเช่นกัน!”

ครั้นกล่าวจบเหอยาโถวจึงลุกไปฉุดกระชากสืออีที่ตามติดหยุนเชวี่ยไม่ยอมห่างให้ถอยออกมาบ้าง “ส่วนเจ้าน่ะ ไปทำงานซะ เร็วเข้า!”

สืออี “ได้อย่างไรกัน? ข้าไม่ใช่ผู้ที่ทำงานระยะยาวให้กับครอบครัวของเจ้าเสียหน่อย…”

เหอยาโถว “อย่าลืมเสีย ถึงอย่างไรเจ้ายังนับว่าเป็นหนี้ค่ายารักษาที่ข้าอุตส่าห์เจียดเงินซื้อให้หนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญ! หากเจ้าปีกกล้าขาแข็งนักละก็ไปเสาะหามาคืนข้าสิ!”

ครั้งนี้สืออีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เขาเป่าปอยผมที่ร่วงลงปรกหน้าผากก่อนหยิบค้อนบนพื้นและระดมทุบไปที่หินเกลือโดยไม่ปริปากคำใดอีก

เหอยาโถวเห็นดังนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้หยุนเชวี่ย ก่อนเหลือบมองสืออีและกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “เชวี่ยเอ๋อ ข้าคิดว่าเจ้าหมอนี่ชื่นชอบเจ้าเข้าแล้วล่ะ!”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของหยุนเชวี่ยพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อทันทีก่อนคว้าน้ำเต้าจากมือเหอยาโถวมาและยกดื่ม ทว่าแล้วกลับสำลัก “แค่ก… แค่ก…”

“เฮ้ เจ้าเคยบอกข้ามิใช่หรือว่าอีกเพียงสองปีก็ถึงวัยอันสมควรแล้ว ทำเขินอายไปไยกัน?” เหอยาโถวกล่าวเป็นเชิงประชดประชัน

“ข้าเขินอายตั้งแต่เมื่อใดกัน?” หยุนเชวี่ยกล่าวพลางเหลือบมองไปยังสืออีด้วยความรู้สึกประหลาดในใจ จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

“ก็ทุกครั้งที่เขาเห็นเจ้า ใบหน้าและท่าทีของเขากระปรี้กระเปร่าราวกับสุนัขเห็นซาลาเปา ข้าไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย จะมองไม่ออกได้อย่างไร?”

หยุนเชวี่ยเม้มริมฝีปาก คำเปรียบเปรยนี้ช่างอัปลักษณ์สิ้นดี

“เจ้าล่ะคิดเช่นไรกับเขา? เผยให้ข้ารู้เพียงนิดก็ย่อมได้…”

หยุนเชวี่ยนิ่งเงียบ

ความรู้สึกภายในใจของสืออีทุกประการฉายชัดผ่านแววตาทั้งยังแสดงออกทางสีหน้าอย่างแจ่มแจ้ง หยุนเชวี่ยเองไม่ได้โง่เขลา นางจะมองไม่ออกได้อย่างไร?

ทว่าเวลานี้หยุนเชวี่ยยังมีฐานะไม่มั่นคง หนำซ้ำยังเป็นเพียงเด็กหญิงที่ยังไม่ก้าวสู่วัยรุ่นด้วยซ้ำจึงยังไม่นึกถึงเรื่องดังกล่าว แต่เมื่อคิดดูอีกทีแล้ว… ถึงวันที่ตนเป็นเศรษฐี จะมีคนรักเป็นเด็กหนุ่มหน้าขาวผ่องรูปงามผู้นี้ก็ดูดีไม่หยอก

นิสัยหรือก็ไม่ได้เลวร้าย เขาเชื่อฟังเป็นที่หนึ่งและมีความภักดีอย่างเปี่ยมล้น ประการสำคัญคือเขาเติบโตขึ้นทุกวันโดยมีความร่าเริงเป็นสิ่งหล่อหลอม ทั้งยังกินเก่งถึงเพียงนี้…

หยุนเชวี่ยมองเหม่อ ยกมือขึ้นเท้าคางและเผยรอยยิ้มหวานชื่นอย่างไม่รู้ตัว

“เจ้าหมอนี่เป็นคนดีทีเดียว ทว่าเขาเป็นคนโง่” เหอยาโถวบิดคางหยุนเชวี่ยพร้อมถอนหายใจ

“โง่อย่างไรกัน? นั่นเป็นอุปนิสัยของเขาตั้งแต่ต้นต่างหาก”

“คนอะไรจดจำไม่ได้แม้แต่ชื่อแซ่และที่อยู่เดิมของตน หากไม่ใช่คนโง่แล้วจะเป็นอย่างไรไปได้?”

“นั่นไม่เรียกว่าโง่เสียหน่อย มันคืออาการความจำเสื่อมต่างหาก บางทีอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ไม่นานอาจหายกลับเป็นปกติ”

“แล้วหากจนแล้วจนรอดเขายังจำไม่ได้อยู่ดีเล่า? แม้ไม่ใช่คนโง่ แต่การไม่มีพ่อแม่นั่นถือว่ามีสถานะไม่ต่างจากคนเร่ร่อน” เหอยาโถวเริ่มเป็นกังวลเรื่องการแต่งงานของหยุนเชวี่ยขึ้นมาบ้างแล้ว

“แม้จดจำไม่ได้ก็ใช่ว่าเขาจะไร้ประโยชน์เสียหน่อย ดูเขาสิ… เขาทำงานเร็วมากทีเดียว” หยุนเชวี่ยคิดตามและกล่าวแย้ง

‘รับสินบนมาหรืออย่างไร… เหตุใดจึงเป็นกระบอกเสียงแทนถึงเพียงนี้?’

“เชวี่ยเอ๋อ” ทันใดนั้นเหอยาโถวจึงหันหน้าไปทางหยุนเชวี่ยและจับจ้องไปยังรอยยิ้มของนาง “ข้าเข้าใจแล้ว… เจ้าเองก็…”