หลินมู่อวี่เขย่าวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าสีทองม่วงที่อยู่ในมืออย่างแรงขณะที่หมาป่าเพลิงคำรามอยู่ในนั้น ช่างมหัศจรรย์จริง! น้ำเต้านี้สามารถดูดพลังยุทธ์ของคนอื่นได้ด้วยหรือ? ถึงกระนั้นแม้จะดูดซับมาได้ไม่ยากเย็น ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการกับวิญญาณที่ถูกดูดเข้าไปเช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหลอมมัน!
เปลวเพลิงลุกไหม้ติ่งหลอมทันที หมาป่าเพลิงส่งเสียงคร่ำครวญดังยิ่งขึ้น แม้แต่วิญญาณยุทธ์ธาตุไฟยังไม่อาจทนต่ออุณหภูมิของติ่งหลอมนี้ได้!
“บรู้ว…”
ไม่นานนัก หมาป่าเพลิงก็คลานออกมาพร้อมท่าทียอมจำนน
หลินมู่อวี่ใจสั่นระรัวพลางยกมือกล่าว “จงรับใช้ข้า!”
หมาป่าเพลิงเห่าหอนด้วยความยินดี ทว่าก่อนที่มันจะซึมเข้าสู่ร่างของหลินมู่อวี่ มีแสงส่องสว่างจากน้ำเต้า ปราณยุทธ์พวยพุ่งออกอย่างรวดเร็ว ทำให้หมาป่าเพลิงเข้าไปในติ่งหลอมอย่างจำใจ
ขณะที่หลินมู่อวี่ลังเล มังกรผลึกโลหิตที่ผสานอยู่กับวิญญาณของเขาก็ตื่นขึ้น วิญญาณมังกรพุ่งออกมากระชากหัวหมาป่าเพลิงและกลืนลงท้อง ก่อนเขมือบทั้งร่างตามไปในทีเดียว
“ข้ากำลังจะ…”
ฉินอวี่ตกตะลึงกับสิ่งที่ไม่คาดคิด วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าสามารถขโมยวิญญาณยุทธ์ของผู้อื่น ทว่าเขาไม่สามารถนำมามันใช้ได้ แล้วการที่มังกรน้อยกลืนกินวิญญาณยุทธ์ของปู้ไห่นั้นเรียกว่าสิ่งใดกัน?
การที่ไม่สามารถครอบครองวิญญาณยุทธ์ของหมาป่าเพลิง อาจเพราะร่างของมนุษย์ไม่สามารถมีสองวิญญาณได้ใช่หรือไม่?
หากมิใช่ความอ่อนแอของร่างกายมนุษย์ คงมีเหตุผลเดียวคือน้ำเต้าทองไม่ชอบวิญญาณยุทธ์ของหมาป่าเพลิงและไม่ต้องการที่จะอยู่ร่วมกัน! ถ้าเป็นเช่นนี้จริง…หมายความว่าวิญญาณยุทธ์น้ำเต้านั้นผยอง!
…
หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะพลางตรวจสอบร่างของปู้ไห่ และพบตราราชทูตใหญ่ของสำนักอัศวิน ชายผู้นี้เป็นราชทูตใหญ่อย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนพวกสำนักอัศวินได้แผ่อำนาจเข้าแทรกซึมเมืองหลันเยี่ยนอีกแล้ว ถึงกระนั้นสิ่งแรกที่หลินมู่อวี่ต้องทำคือกลับไปหาฉินอิน!
หลินมู่อวี่เร่งฝีเท้า กระทั่งถึงนอกเมืองหลันเยี่ยนในตอนดึก
แม้กำแพงเมืองหลันเยี่ยนนั้นจะได้รับการบูรณะแล้ว ทว่าร่องรอยของสงครามครั้งแรกเมื่อปีสามปีก่อนยังคงหลงเหลืออยู่ หลินมู่อวี่เงยหน้ามองรอยเขม่าบนกำแพง
หลินมู่อวี่หวนนึกถึงสงครามอันโหดร้ายเมื่อสามปีก่อน ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพลีชีพอยู่นอกกำแพง ในขณะที่เจิ้งเซียงฆ่าตัวตายอยู่บนกำแพงเมืองแห่งนี้
หลินมู่อวี่ยืนเงียบด้วยความรู้สึกอาลัยระคนตื่นเต้น เขากำลังจะได้เจอหญิงสาวที่ถวิลหามาตลอด สามปีที่ผ่านมาฉินอินจะเป็นอย่างไรบ้าง?
ขณะที่หลินมู่อวี่เดินเข้าใกล้กำแพงเมือง เหล่าทหารต่างยกธนูเล็งไปที่เขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมืองหลันเยี่ยนห้ามคนเข้าออกยามวิกาล?”
หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้น ดูเหมือนคนเหล่านั้นจะจำเขาไม่ได้ “ผู้ใดเป็นหัวหน้าของเจ้า?”
“ข้าเอง!” ผู้บังคับการทหารรายหนึ่งมองหลินมู่อวี่ด้วยสายตาเหยียดหยาม “มีปัญหาอันใด? เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร?”
“ข้าไม่รู้จักเจ้า”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “เจ้าเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย ให้ข้าคุยกับคนที่ยศสูงกว่าเจ้า!”
“ข้าคือผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ไป่อวี้…เจ้าข้องใจอันใด?”
“เจ้ายศสูงที่สุดแล้วหรือ?”
“หึ!” ผู้บัญชาการเผยท่าทีไม่พอใจ “เจ้าคนจากจักรวรรดิอี้เหอ…คิดจะมาสอดแนมเรื่องการจัดตั้งกองทัพของเราใช่หรือไม่? เปิดประตูแล้วจับตัวมัน!”
“ขอรับ!”
ประตูเล็กด้านข้างเปิดออก ทหารม้านับสิบหลั่งไหลออกมา
ถึงกระนั้นหลินมู่อวี่ไม่ได้วิ่งหนี ทว่ากลับมองทุกคนที่อยู่ใต้แสงคบเพลิงด้วยรอยยิ้ม “คาดไม่ถึงว่าสามปีต่อมา กองทหารองครักษ์จะทำกับข้าเช่นนี้…”
ผู้บัญชาการทหารทำท่าทีฉุนเฉียว “แน่สิ! เจ้าเป็นใคร…จักรพรรดิอย่างนั้นรึ? หากไม่ตอบข้าจะตัดหัวเจ้าทิ้งเสีย! ยอมรับเถิดว่าเจ้าเป็นสายสืบของอี้เหอ!”
“ข้าเปล่า!”
“เจ้าเป็นสายสืบ!”
“ข้าไม่ไม่ได้เป็น!”
“รนหาที่ตาย!”
“ข้ายังไม่อยากตาย!”
“ไอ้เด็กเหลือขอ!”
“เจ้าหน้าไม่อาย!” ชายสองคนถกเถียงกัน กระทั่งทหารกลุ่มหนึ่งเดินมา หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “กลางดึกเช่นนี้ใครส่งเสียงเอะอะกัน ไม่รู้กฎของเมืองหรือว่าห้ามส่งเสียงในยามวิกาล?”
ไป่อวี้รีบหันไปมองพร้อมประสานกำปั้น “ท่านรองผู้บัญชาการขอรับ ชายผู้นี้ยืนกรานจะเข้าเมืองในยามวิกาล และต้องการทราบชื่อผู้บัญชาการของกองกำลังองครักษ์ให้ได้ ข้าจึงสันนิษฐานว่ามันคือสายสืบของจักรวรรดิอี้เหอ ท่านรองจัดการมันเลยขอรับ!”
รองผู้บัญชาการหาใช่ใครอื่นไม่ ทว่าเป็นจางเหว่ยผู้มีหนวดเครารกรุงรัง ถือดาบยาวควบม้าก้าวออกมา
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะตาเฒ่าจาง”
หลินมู่อวี่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองจางเหว่ยพร้อมกับรอยยิ้มสดใสภายใต้แสงสลัวของคบเพลิง
“อืม…”
ร่างของจางเหว่ยสั่นเทา ก่อนรีบร้อนลงจากหลังม้าคุกเข่าเบื้องหน้าหลินมู่อวี่พร้อมประสานหมัด “ทะ…ท่านหลินมู่อวี่จริงๆ ใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่ก้าวออกไปพยุงจางเหว่ยให้ลุกขึ้นก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าเป็นผีหรือ?”
จางเหว่ยจับแขนหลินมู่อวี่อย่างเบามือพร้อมหัวเราะ “ไม่…ไม่ใช่ผี ท่านยังไม่ตายจริงๆหรือ? ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง ข้า…”
“ชู่!”
หลินมู่อวี่กระซิบ “อย่าเอะอะไป…พาข้าเข้าไปในเมืองก่อน ข้าอยากอาบน้ำ และช่วยหาชุดองครักษ์อวี้หลินให้ข้าด้วย”
“ขอรับ!”
จางเหว่ยยิ้มพลางประสานกำปั้น “แม้เมืองหลันเยี่ยนจะไม่ใช้ชุดเกราะอวี้หลินแล้ว ทว่ายังถูกเก็บไว้ในคลังของทหารอยู่ มาเถิดขอรับ…ข้าจะพาท่านไปที่ฐานกองทัพองครักษ์”
“อืม”
…
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดารานับพัน หลินมู่อวี่และจางเหว่ยควบม้าไปด้วยกันตามถนนทงเทียน
“ท่านหลินขอรับ เหตุใดจึงไม่ไปที่ตำหนักก่อน?”
จางเหว่ยกล่าวต่ออย่างตื่นเต้น “ท่านรู้หรือไม่ ทุกคนคิดว่าท่านตายไปแล้ว องค์หญิงซีและท่านผู้นำฉู่เหยาต่างคิดถึงแต่ท่าน ลองคิดดูเถิด…หากพวกเขารู้ว่าท่านจะยังมีชีวิต พวกเขาต้องดีใจมากเป็นแน่! ขณะที่องค์จักรพรรดินีกำลังหลับอยู่นี้ เหตุใดท่านจึงไปไปหานางเสียเล่า? ข้าสามารถพาท่านเข้าพบพระองค์ได้โดยตรง เพราะตอนนี้ข้ามีตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการแห่งกองทัพองครักษ์”
“ไม่”
หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าตายไปเกือบสามปี เจ้าคิดว่ามันเหมาะสมหรือที่จะเข้าพบนางในตอนนี้?”
จางเหว่ยหัวเราะพลางเกาหัว “ลืมไปเลย แม้ข้าจะไม่เข้าใจความรักของหนุ่มสาว ทว่าหากท่านต้องการเข้าพบพระองค์ ข้าว่าท่านคงต้องแต่งตัวใหม่”
หลินมู่อวี่เขินอาย “พูดเรื่องใดกัน”
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงฐานกองทัพองครักษ์ หลินมู่อวี่เข้าไปชำระร่างกายขณะที่จางเหว่ยคอยอารักขาอยู่หน้าประตูพร้อมกับเตรียมชุดเกราะไว้ให้ หลังจากอาบน้ำ โกนหนวดและตัดผมเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของเขาก็กลับมาหล่อเหลาดังเดิม จางเหว่ยเอ่ยชมเมื่อเห็นหลินมู่อวี่สวมชุดเกราะ “เกราะนี้ดูเข้ากับท่านเสียจริงนะขอรับ!”
“ฮ่าๆๆ”
หลินมู่อวี่กล่าว “ตาเฒ่าจาง…เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าสามปีนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?”
จางเหว่ยพยักหน้า “หลังจากที่ท่านถูกลั่วหลานฆ่าตาย…คนในเมืองหลันเยี่ยนกว่าหนึ่งล้านคนถูกสังหารหมู่ จากนั้นองค์หญิงซีจากเมืองซีไห่ได้รวบรวมกองกำลังเผ่าอสูรหนึ่งแสนตน และกำลังคนอีกแสนห้าเข้าโจมตีเมืองหลันเยียน ส่วนเมืองหยาดสายัณห์ และเมืองซีไห่ส่งกองกำลังททหารและม้าเข้าบุกโจมตีเมืองห้าหุบเขา หลังการกวาดล้างครั้งใหญ่พวกข้าศึกได้กลับไปหลิงหนาน ทำให้ตอนนี้หกมณฑลในหลิงเป่ยกลับมาเป็นอาณาเขตของจักรวรรดิแล้ว”
“โอ้…” หลินมู่อวี่พึมพำ “ ซูมู่หยุนและถังหลานยอมเคลื่อนทัพแล้วหรือ?”
จางเหว่ยยิ้มอย่างประหม่า “ท่านหลินขอรับ ระวังคำพูดด้วยเพราะตอนนี้ท่านหยุน และท่านหลานเป็นถึงขุนนางคนสำคัญของจักรวรรดิเรา และพวกเขามีอำนาจกว่าแปดในสิบอยู่ในมือ แม้ว่าองค์หญิงอินจะขึ้นเป็นจักรพรรดินีแล้ว แต่นางกลับไม่มีอำนาจการตัดสินใจใดๆ เลย พูดง่ายๆ จักรพรรดิคนปัจจุบันคือคนแซ่ถังและซู ข้าจะเล่าให้ท่านฟังเพียงครั้งเดียว มิฉะนั้นข้าต้องถูกสั่งลงโทษเป็นแน่”
“อืม ถ้าอย่างนั้นไปหาเสี่ยวอินกันเถอะ!”
“ขอรับ!”
…
ณ ตำหนักเจ๋อเทียน แสงจากตะเกียงกะพริบไหวตามสายลมที่พัดผ่าน
กองหนังสือถูกเปิดค้างอยู่บนโต๊ะ ฉินอินนั่งลงทบทวนตำราประวัติศาสตร์ ขณะที่ซูมู่หยุนนั่งอ่านหนังสือการทหารอยู่ฝั่งตรงข้าม
ข้าราชบริพารที่อยู่ตรงข้ามเอ่ย “ฝ่าบาท หลังก่อตั้งกองทัพเทียนชู่ใหม่ กระทรวงกลาโหมยังคงรอคำสั่งจากนางว่าจะให้ผู้ใดเป็นผู้บัญชาการของกองทัพเทียนชู่”
ฉินอินทำหน้ามุ่ยกล่าว “ท่านตาคิดว่าใครเหมาะสมที่จะเป็นผู้บังคับบัญชาของกองทัพเทียนชู่หรือเจ้าคะ?”
ซูมู่หยุนขมวดคิ้ว “กระหม่อมเสนอให้ซูหลงเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ เพราะเขามีทักษะการต่อสู้และการวางแผนดีเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินกล่าว “ถ้าจะวัดกันทีกลยุทธ์และความสามารถ หลัวอวี่ เฟิงสี่ และฉินเหยียนนั้นมีมากกว่าซูหลงเสียอีก ข้าคิดว่าควรเลือกหนึ่งในพวกเขานะเจ้าคะ ยิ่งไปกว่าท่านแม่ทัพซูหลงก็เป็นรองผู้บัญชาการของกองทัพเขี้ยวกระบี่อยู่แล้วด้วย”
“ข้าจะบอกว่า…เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงงานทหารเลยเสี่ยวอิน”
ซูมู่หยุนคลี่ยิ้ม “ตาจะจัดการทุกอย่างให้เจ้าเอง ตอนนี้ข้าง่วงแล้วคงต้องขอตัวไปนอนก่อน ทหารองครักษ์…อารักขาพระองค์ให้ดี”
ทหารองครักษ์หยาดสายัณห์ด้านนอกประสานหมัด “ขอรับท่านหยุนกง”
ฉินอินนั่งนิ่ง แววตากวาดมองไปมาอย่างอัปยศอดสู
หลังซูมู่หยุนออกไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก “ท่านแม่ทัพจางเหว่ยรองผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ แจ้งว่ามีเรื่องสำคัญอยากรายงาน”
“จางเหว่ยหรือ?”
ฉินอินงงงันก่อนจะตอบ “เชิญท่านจางเหว่ยเข้ามาได้”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จางเหว่ยเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับนายทหารชุดขาวตามมาด้านหลัง เขาใช้ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าไว้ทำให้ดูไม่ออกว่าเป็นใคร
จางเหว่ยประสานหมัด “ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“…”
ฉินอินลุกขึ้นช้าๆ เมื่อจางเหว่ยเดินเข้า นางไม่ชายตามองจางเหว่ยแม้แต่น้อย สายตาคู่นั้นจับจ้องผู้ที่อยู่ด้านหลังจางเหว่ย ชายผู้สวมชุดเกราะอวี้หลินที่ถูกยกเลิก แม้มันจะดูแสนธรรมดาและไม่น่าจดจำก็ตาม ด้ามกระบี่โผล่พ้นเสื้อคลุมด้านหลังที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไหล่ของฉินอินสั่นเล็กน้อยก่อนเดินลงจากบัลลังก์ “เจ้าดึงผ้าคลุมออกได้หรือไม่?”
หลินมู่อวี่เลิกผ้าคลุมขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่นที่คุ้นเคย
“เสี่ยวอิน…สบายดีหรือไม่?”
………………………………….