Ep.350 หวนคืนสู่วิหารศักดิ์สิทธิ์

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

ฉินอินยืนตกตะลึงพลางส่ายศีรษะขณะที่ดวงตาคู่งามปริ่มไปด้วยน้ำตา “ไม่จริง…ท่านไม่ใช่หลินมู่อวี่…”

ฉินอินไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นหลินมู่อวี่ปรากฏตัว หลินมู่อวี่รับรู้ความเจ็บปวดและโหยหาตลอดสามปีที่ผ่านมาของฉินอิน ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าว “ข้าเอง…เสี่ยวอิน ข้ายังไม่ตาย หากเจ้าไม่เชื่อก็จงดู…”

หลินมู่อวี่ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งเรียกวิญญาณยุทธ์ก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เชื่อในสิ่งที่เจ้าเห็นเถิด…ตลอดสามปีที่หลับใหล ข้าฟื้นฟูร่างกายด้วยความสามารถของแท่งโลหะกระทั่งบาดแผลที่ได้จากลั่วหลานหายดี”

“อาอวี่…อาอวี่…”

ฉินอินมองอีกฝ่ายด้วยน้ำตานองหน้าพลางอ้าแขนโผเข้าสู่อ้อมกอดของกันและกัน “ข้าคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้พบท่านอีก…ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเป็นท่านพี่จริงๆ”

หลินมู่อวี่ลูบหลังฉินอินเพื่อปลอบประโลม “ข้าเคยบอกแล้วว่าจะกลับมาหา”

“อืม…”

“หยุดร้องเถิด…ข้าไม่อยากเห็นเจ้าร้องไห้”

“อืม…”

ฉินอินพยักหน้าตอบทว่าน้ำตายังคงไหลอาบแก้มประหนึ่งต้องการปลดปล่อยความคิดถึงตลอดสามปีที่ผ่านมา ลำคอของหลินมู่อวี่เปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำตา

“เกราะทหารอวี้หลินสภาพเก่านัก หากเจ้าร้องไห้นานกว่านี้เกรงว่าข้าคงไม่มีเกราะให้สวมใส่อีกแล้วล่ะ” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยความเอ็นดู

ฉินอินซับน้ำตาก่อนช้อนดวงตาที่ปริ่มน้ำขึ้นสบตาอีกฝ่ายพลางยิ้มกว้าง “กระทรวงอุตสาหกรรมคงยินยอมให้เจ้าใช้ชุดเกราะของอวี้หลินต่อ”

“แต่ทหารอวี้หลินไม่มีแล้ว…” หลินมู่อวี่พึมพำ

“ใช่ ทหารอวี้หลินไม่มีอยู่แล้ว…” ฉินอินกล่าวอย่างโศกเศร้า

“เสี่ยวอิน บัดนี้เจ้าเป็นถึงจักรพรรดินี ไม่ใช่องค์หญิง เจ้าพูดคำโกหกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” หลินมู่อวี่กล่าวพลางแตะที่หลังของนางแผ่วเบา

ฉินอินไม่ใส่ใจคำพูดเหล่านั้น ทั้งยังใช้แขนขาวเนียนโอบรอบคอ “แต่ข้าไม่อยากแยกจาก เกรงว่าเจ้าจะหายไปและเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝัน…”

“ไม่มีวัน…”

หลินมู่อวี่กล่าวเสียงแผ่ว “ข้ากลับมาครั้งนี้จะไม่จากเจ้าไปไหนอีก จะคอยปกป้องและอยู่เคียงข้างไม่ห่าง ได้โปรดวางใจเถิด”

ท่ามกลางทหารองครักษ์ที่เพิ่งรับตำแหน่งใหม่อยู่รายล้อม ทุกคนต่างเผยสีหน้าอัศจรรย์ใจต่อภาพที่เห็น พวกเขาไม่รู้จักหลินมู่อวี่ ทว่าการที่จักรพรรดินีผู้สูงส่งเทิดทูนและจำนนต่อบุรุษผู้นี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ฉินอินผละออกจากอ้อมกอดของหลินมู่อวี่ ทว่ายังคงจับมือซ้ายของเขาไว้แน่นราวกลัวว่าหากปล่อยมือ เขาอาจหายไปกับสายลม…

จางเหว่ยกระแอมหนึ่งครั้งก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าเพิ่งได้รับสาส์นจากแม่ทัพเฟิงจี้สิงและผู้บัญชาการเว่ยโฉว ระบุว่าพวกเขาสามารถพิชิตภูเขาหลงหยานสำเร็จ! และจะเคลื่อนทัพกลับถึงเมืองหลวงในวันพรุ่ง…”

หลินมู่อวี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปีติยิ่ง “พวกเขายังไม่ตาย!”

“ขอรับ กลุ่มมังกรผงาดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกองพลหลักแห่งจักรวรรดิเมื่อสามปีก่อน…ท่านเว่ยโฉวดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ ส่วนหลัวอวี่ ฉินเหยียนและเฟิงสี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองผู้บัญชาการ…”

“เยี่ยมยอด!” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างยินดี “แล้วเสี่ยวซีสบายดีหรือไม่?”

ฉินอินเผยรอยยิ้มกว้าง “เสี่ยวซีและถังเจิ้นนำทหารของกองทัพมังกรผงาดจำนวนห้าหมื่นนายคุ้มกันเมืองหน้าด่านอสูร และน่าจะกลับเมืองหลวงภายในวันพรุ่งนี้ เจ้าคอยอยู่ที่นี่เถิด”

“อืม”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วขณะกวาดสายตามองบรรดาทหารองครักษ์ ฉินอินรีบยกมือสั่ง “พวกเจ้าจงหลีกทางให้ท่านแม่ทัพจางเหว่ย! ข้ามีบางสิ่งต้องการจะประกาศ!”

หลินมู่อวี่เผยรอยยิ้มบาง “เสี่ยวอิน อย่าประกาศอันใดเกี่ยวกับข้าเลย”

“เหตุใดเล่า?” ฉินอินเผยสงสัยก่อนจะอ้าปากพูด “อาอวี่ ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองคนแรกที่สร้างคุณงามความดีแก่เมืองหลวงของเรา บัดนี้ท่านฟื้นคืนชีพแล้ว จึงควรค่าแก่การประกาศให้ทั้งแผ่นดินรับรู้โดยทั่วกัน…เสี่ยวอินต้องการเจ้าจริงๆ มันไม่ถูกต้องหากให้ท่านผู้บัญชาการเฟิงคอยช่วยเหลือข้าเช่นนี้…”

จางเหว่ยกล่าวเสริม “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้พระราชอำนาจของท่านใกล้หมดลงแล้ว เชื้อพระวงศ์ของท่านที่ยังเหลืออยู่ในราชวังก็มีเพียงไม่กี่พระองค์ หากท่านยังหลีกเลี่ยงการดำเนินพระราชกรณียกิจเช่นนี้ต่อไป ตำแหน่งของท่านอาจไร้ซึ่งอำนาจ และอาจออกพระราชโองการใดไม่ได้อีกต่อไป”

“ข้าเปล่าหลีกเลี่ยง!”

หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะ “เจ้าก็รู้ว่าถังปินหลานชายของถังหลานตายด้วยเงื้อมมือของข้า คิดว่าเขาจะญาติดีกับข้าหรือ? เขามีกองทัพอันแข็งแกร่งอยู่ภายใต้ปกครอง ทั้งยังแผ่อำนาจไปกว่าครึ่งแผ่นดินของราชวงศ์ฉิน หากข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องล้างแค้นข้าเป็นแน่ อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าเซี่ยงอวี้บรรลุขอบเขตเทวะแล้วเช่นกัน เกรงว่าข้าอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา…”

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?” ฉินอินเอ่ยถาม

หลินมู่อวี่สูดลมหายใจลึก “ค่อยหาโอกาสบอกให้ทุกคนรู้ทีหลังจะดีกว่า เมื่อทั้งแผ่นดินทราบแล้วว่าข้ายังไม่ตาย ถังหลานคงไม่กล้าทำการใดให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นเป็นแน่”

“งานประชุม!” ฉินอินสบตาเขาอย่างอ่อนโยน “มะรืนนี้จะมีงานประชุมที่จัดขึ้นทุกเจ็ดวัน ผู้คนจะมารวมตัวกันที่ตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อต้อนรับบรรดารัฐมนตรีกว่าพันคน ข้าจะประกาศว่าท่านพี่ของข้ายังมีชีวิตอยู่…”

“อืม เช่นนั้นก็ได้” หลินมู่อวี่มองไปยังฉินอินก่อนเอ่ยถาม “เสี่ยวอิน เจ้าจะให้ข้าอยู่ในตำแหน่งใด?”

ฉินอินขยับริมฝีปากกล่าว “ข้าจะแต่งตั้งให้อาอวี่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการแห่งกองทัพทหารองครักษ์อวี้หลิน ช่วยฟื้นฟูกองทัพอวี้หลินและอยู่เคียงข้างข้าอีกครั้ง…”

หลินมู่อวี่สบตาฉินอิน จนทำให้นางเขินอายหน้าแดงระเรื่อ “ข้าเพียงต้องการให้เจ้าอยู่เคียงข้าง ไยถึงมองเช่นนั้นเล่า?”

หลินมู่อวี่ส่งยิ้มอีกครั้งก่อนกล่าว “เจ้ามีท่านพี่เฟิงดำรงตำแหน่งแม่ทัพเคียงคู่แล้ว ตอนนี้เจ้าต้องการผู้ที่สามารถจัดการกับศัตรูของจักรวรรดิได้มากกว่า และคนคนนั้นก็ควรเป็นข้า…ข้าไม่มีสิ่งใดจะขอนอกจากเพิ่มกองกำลังกลุ่มมังกรผงาด เพราะข้าจะอาสาออกไปรบกับพวกจักรวรรดิอี้เหอเอง!”

“ทว่าเจ้าเพิ่งจะกลับมาพบข้า…” ฉินอินกล่าวพลางเบ้ริมผีปากอย่างขัดใจ

“ข้ารู้…” หลินมู่อวี่หันกลับไปสบตานางอีกครั้ง “ข้าเองก็อยากอยู่เคียงข้างเจ้าเช่นกัน บุรุษใดเล่าจะไม่อยากอยู่ท่ามกลางอาหารเลิศรส สุราชั้นดีและสตรีผู้เลอโฉม…”

จางเหว่ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ข้าก็พึงใจเช่นนั้น!”

“เงียบไปเลย!” หลินมู่อวี่เอ็ดใส่จางเหว่ยก่อนจะหันมากล่าวกับฉินอินต่อ “การที่เจ้าเป็นจักรพรรดินีในตอนนี้ก็ได้รับความทุกข์ทรมานใจมากพอแล้ว ฉะนั้น…ต่อให้เสด็จพ่อไม่บอกข้าก็จะคอยปกป้องเจ้า สิง่ที่เจ้าสูญเสียไปข้าจะทวงคืนกลับมาให้หมด”

“อืม” ฉินอินพยักหน้า “แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องชดเชยเวลากว่าสามปีให้ข้า เสี่ยวอินคิดถึงเจ้า…”

“ข้ารู้…”

จางเหว่ยถาม “ท่านหลิน จะกลับไปนอนที่ค่ายกองทัพองครักษ์กับข้าหรือ…จะอยู่ร่วมเตียงกับท่านจักรพรรดินีขอรับ?”

ฉินอินหน้าแดงเรื่อ

หลินมู่อวี่รู้สึกประหม่า จางเหว่ยเริ่มพูดจาตรงไปตรงมาขึ้นทุกวัน

“ไม่ ข้าจะกลับไปนอนที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้พบปู่เกอยางมานานแล้ว…”

“เช่นนั้น…”

ฉินอินกะพริบตากล่าว “คืนนี้เสี่ยวอินขอไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยได้หรือไม่…ข้าไม่อยากอยู่ห่างจากพี่อาอวี่…”

หลินมู่อวี่มิอาจกล่าวคำใด “ตาเฒ่าจาง เจ้าพอจะหาทางได้หรือไม่?”

จางเหว่ยยิ้มกริ่ม “วางใจจางเหว่ยผู้นี้เถิดขอรับ…ให้แจ้งไปว่าองค์จักรพรรดินีทรงเหนื่อยล้าจากการทรงงานและกลับไปบรรทมที่จวนหงส์ไฟ จากนั้นให้ปลอมตัวเป็นองครักษ์ตามพวกเราไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ ก่อนรุ่งสางวันพรุ่งนี้ก็รีบกลับตำหนักเจ๋อเทียนเสีย เท่านี้ก็จะไม่มีผู้ใดรู้แล้วขอรับ”

“ทว่าองครักษ์ของท่านตากำลังจับตาดูอยู่…”

“ถ้าเช่นนั้น…”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วกล่าว “วางใจเถิด พวกเขาไม่รู้แน่”

“ตกลง”

ฉินอินเข้าไปเปลี่ยนชุด ณ จวนหงส์ไฟ ขณะที่นางกำลังเลือกชุดเกราะมากมายที่อยู่ในตู้เสื้อผ้า หลินมู่อวี่และจางเหว่ยยืนรออยู่ด้านนอกท่ามกลางค่ำคืนสงัดรอบตำหนักเจ๋อเทียน

กลางดึก ณ ถนนทงเทียนนั้นปราศจากความคึกคักเช่นสามปีก่อน แม้ร้านค้าจะบูรณะและกลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง ทว่าสภาพบ้านเมืองที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกโศกเศร้าไม่จางหาย

หลินมู่อวี่เดินทางต่อ ไกลออกไปเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์และสมาพันธ์โอสถที่ซึ่งฉู่เหยาอาศัยอยู่

ฉินอินยิ้ม “หากท่านพี่พบท่านปู่เกอยางแล้ว ข้าจะพาไปพบท่านฉู่เหยาที่สมาพันธ์โอสถ นางต้องยินดีเป็นแน่หากเห็นว่าอาอวี่ของนางยังไม่ตาย”

“ดีเหมือนกัน”

หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างช้าๆ หลุมที่เหล่ยหงถูกสังหารโดนกลบแล้ว สายลมพัดพาใบไม้ร่วงหล่นลง ชวนให้บรรยากาศโดยรอบดูอ้างว้างยิ่ง

หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้า ย่ำเท้าไปตามพื้นเย็นของวิหารพลางหันมองรอบตัวด้วยความรู้สึกขมขื่นในหัวใจ หวนนึกถึงคำพูดของเหล่ยหงที่เคยกล่าวไว้ในวันที่เขาเข้ามาวิหารแห่งนี้ครั้งแรกว่า…ให้ผูกใจไว้กับวิหารศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้จะบินได้สูงหรือไปได้ไกลสักเพียงใด สักวันก็ต้องกลับมาที่นี่ บัดนี้หลินมู่อวี่กลับมาแล้ว ราวกับโชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้จากสวรรค์

เขาถอนหายใจพลางกำหมัดแน่นเมื่อเห็นอักขระสีทองที่จารึกอยู่บนผนังวิหาร

จางเหว่ยเร่งก้าวเข้าไปคุยกับทหารยามสองนาย “ข้าจางเหว่ย…รองผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ ต้องการมาพบท่านผู้นำเกอยาง”

ทหารยามตอบ “ท่านจางเหว่ย ข้าเกรงว่าขณะนี้ท่านผู้นำคงกำลังพักผ่อน…”

“ไปปลุกท่าน…”

จางเหว่ยเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “นำความไปบอกท่านว่าจางเหว่ยมีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ”

ทหารยามพินิจอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้นี่เอง…ท่านจางเหว่ยโปรดเข้าไปรอที่ห้องโถงรับแขกก่อนเถิด ข้าน้อยจะไปเรียนท่านผู้นำมาพบ…ท่านสองคนด้านหลัง”

“ข้าพาทั้งสองคนเข้าไปด้วยได้หรือไม่?”

“ได้ขอรับ เชิญเข้ามาก่อนเถิด…”

………………………………….