‘กึก…กึก…’
เสียงไม้เท้ากระทบพื้นหินชนวนเป็นจังหวะ เฒ่าเกอหยางเดินเข้ามาโดยมีทหารรักษาการณ์คอยช่วยพยุง “เจ้าบ้าจางเหว่ย…คนอย่างเขาจะมีข่าวดีอะไรด้วยหรือ? เหอะ! คงมาร่ำสุราตามเคย…”
จางเหว่ยประสานหมัดกล่าวทักทาย “ใต้เท้าเหล่ยหง มิได้เจอกันนานเลยขอรับ…”
ดวงตาพร่ามัวของเกอหยางจ้องมองคนตรงหน้า “โอ้ เป็นท่านจางเหว่ยจริงๆ…”
“ฮ่าฮ่า…”
จางเหว่ยเหลือบมองคนอื่น “ข้าต้องการคุยกับใต้เท้าเกอหยางตามลำพัง พวกเจ้าทั้งหมดออกไปก่อน”
ทหารรักษาการณ์ประสานหมัดรับและถอยออกจากโถง
เกอหยางมองไปยังจางเหว่ยและกล่าวว่า “มาคุยกันเถิด เจ้ามีข่าวดีเรื่องใดหรือ?”
“ข้าพาคนมาพบท่าน ฮ่าๆ…” จางเหว่ยชี้ไปที่หลินมู่อวี่ด้านหลังและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาเป็นผู้ที่จะทำให้ท่านประหลาดใจ…”
“โอ้?” เกอหยางเดินไปหาหลินมู่อวี่พร้อมไม้เท้าทีละก้าว “ท่านคือ?”
หลินมู่อวี่ยกมือขึ้นถอดผ้าคลุมศีรษะออก ก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาพร้อมรอยยิ้มสดใส “ท่านปู่เกอหยาง สามปีแล้วที่มิได้เจอกัน…”
“อะ…อาอวี่…” เกอหยางจำหลินมู่อวี่ได้ทันที เขามองบุคคลตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
หลินมู่อวี่ไม่พูดสิ่งใด ‘ชิ้ง!’ เขาชักกระบี่วิญญาณมังกรออกมาพร้อมน้ำเต้าสีทองปรากฏขึ้นรอบใบดาบ “ท่านมิต้องเอ่ยถามว่าเหตุใดข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าได้ตายไปแล้วเมื่อสามปีก่อน แต่ได้ฟื้นคืนชีพสองวันที่แล้ว…”
เกอหยางตัวสั่นและปล่อยมือจากไม้ท้าว เขาก้าวออกไปสัมผัสใบหน้าของหลินมู่อวี่ ก่อนจะพูดเสียงติดขัดด้วยความตื่นเต้น “อาอวี่…เป็นอาอวี่จริงๆ ด้วย…อาอวี่กลับมาแล้ว…ดีเหลือเกิน…”
หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “ท่านปู่เกอหยาง ข้ากลับมาแล้วจริงๆ สามปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง?”
เกอหยางน้ำตาซึม “ทันทีที่ผู้ดูแลอาวุโสสิ้นชีวิต วิหารศักดิ์สิทธิ์ล่มสลาย เราใช้เวลาถึงสามปีในการก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ทว่า…มีหลายสิ่งที่แตกต่างไป วิหารไม่มีชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองเหมือนอย่างที่เคยเป็น…”
หลินมู่อวี่จับแขนของเกอหยาง “มิต้องกังวลขอรับ วิหารศักดิ์สิทธิ์จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ตราบใดที่เรามีความหวังในจิตใจ”
“อื้ม”
เกอหยางกล่าว “ดีแล้วที่อาอวี่กลับมา เมื่อสหายเฒ่าของข้าสละอำนาจ จากนี้เป็นต้นไปเจ้าจะเป็นผู้นำของวิหารศักดิ์สิทธิ์…”
“มิได้เจ้าค่ะ” ฉินอินกล่าว นางถอดผ้าคลุมศีรษะออกเผยให้เห็นใบหน้างาม “ท่านผู้ดูแลเกอหยาง พี่อาอวี่เพิ่งกลับมา และมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย ท่านมิอาจขโมยเขาไปเช่นนี้…”
เกอหยางรีบประสานหมัดคำนับ “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…”
“อย่ามากพิธีไป”
ฉินอินก้าวไปด้านหน้าและช่วยพยุงเกอหยาง นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้ดูแลเกอหยางเป็นทหารผ่านศึกที่มีบุญคุณต่อแผ่นดิน ข้าละอายใจหากท่านทำเช่นนี้ รีบลุกขึ้นเถิด!”
เกอหยางกล่าว “เหตุใดฝ่าบาทจึงมายังวิหารพร้อมอาอวี่ได้พ่ะย่ะค่ะ?”
ทันทีที่ถามออกไป เกอหยางนึกขึ้นได้ว่าฉินอินและหลินมู่อวี่อาจมาในฐานะคู่รัก เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตนถามมากเกินไป จึงกล่าวว่า “กระหม่อมจะเตรียมห้องแก่ฝ่าบาทและอาอวี่พ่ะย่ะค่ะ…”
ฉินอินยิ้มและพยักหน้ารับ “จัดห้องบริเวณใกล้กัน และอย่าพูดเกี่ยวกับการมาเยือนของเรา มันยังมิใช่เวลาที่เหมาะสม”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เช่นนั้นพวกเราไปสมาพันธ์โอสถเพื่อเยี่ยมพี่ฉู่เหยากันเถิด”
“อื้ม ได้สิ…”
…
ช่วงกลางดึก สระบัวในสมาพันธ์โอสถเปล่งประกายส่งกลิ่นหอมลอยตามสายลม ทันใดนั้นเกิดแรงกระเพื่อมบนผิวน้ำ เนื่องจากสาวงามในชุดผู้ดูแลกระโจนลงไป ทว่าปราณยุทธ์รอบตัวทำให้นางไม่จมและเดินบนผิวน้ำทีละก้าว
ฉู่เหยาพยายามฝึกปราณยุทธ์ให้ชำนาญ เมื่อนางจิตใจสงบลงจะสามารถเดินบนผิวน้ำได้ สามปีผ่านไปในพริบตา ฉู่เหยากลายเป็นผู้นำสมาพันธ์โอสถ เนื่องจากนางไม่เคยหยุดฝึกฝนพลังยุทธ์ จึงทำให้ได้รับการพิจารณาตำแหน่ง
มีเงาสามร่างเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าจากระยะไกล พร้อมเสียงที่ฟังดูคุ้นเคย…
“พี่ฉู่เหยา…”
“หืม?” ฉู่เหยาผงะเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู เขากระซิบชื่อนางในฝันนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าครานี้กลับได้ยินในโลกความจริง ฉู่เหยารู้สึกราวกับกำลังฝันไป…
“พี่ฉู่เหยา หันมาสิ” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฉู่เหยาผงะด้วยความสับสน นางมั่นใจว่านี่คือความจริง ขณะนี้จิตใจของนางไม่สงบอีกต่อไป จึงทำให้ไม่สามารถทรงตัวบนผิวน้ำได้ ฉู่เหยาตกลงไปในสระน้ำทันทีและอุทานออกมา “อ๊ะ!”
หลินมู่อวี่มีสายตาและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ขณะที่น้ำในสระท่วมถึงข้อเท้า เถาวัลย์น้ำเต้าทองพวยพุ่งโอบร่างของฉู่เหยาไว้ทัน ก่อนจะพานางมาถึงฝั่ง
“อาอวี่…”
ฉู่เหยามองเขาอย่างตกตะลึง “อาอวี่…ข้ามิได้ฝันไปใช่หรือไม่?”
ฉินอินหัวเราะแผ่วเบาด้านข้างหลินมู่อวี่ “หากท่านกำลังฝัน พี่อาอวี่คงไม่ปรากฏตัวพร้อมกับข้า”
ใบหน้าฉู่เหยาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…”
“ลุกขึ้นเถิดพี่ฉู่เหยา”
ฉู่เหยารีบมองไปยังหลินมู่อวี่อีกครั้ง “เกิดสิ่งใดขึ้น…บอกข้าทีว่านี่คือความจริง…เร็วสิ”
หลินมู่อวี่ไม่ได้ตอบกลับ ก่อนจะเดินไปสวมกอดฉู่เหยาไว้ในอ้อมแขน “สามปีที่เสียชีวิต ข้ากังวลอย่างมากว่าท่านและเสี่ยวอินจะเกิดอุบัติเหตุหรือถูกสัตว์ร้ายของจักรวรรดิอี้เหอฆ่าตาย ดีเหลือเกินที่ท่านปลอดภัย”
ฉู่เหยาน้ำตาไหลรินและตัวสั่นเทา “ข้ารู้เพียง…อาอวี่ตามหาข้าในเมืองหลันเยี่ยน และเจอกับลั่วหลาน…ขะ…ข้าเป็นคนทำให้อาอวี่ตาย…”
“อย่าโทษตนเองเช่นนั้น” หลินมู่อวี่พึมพำ “หากท่านต้องการโทษใครสักคน ควรโทษลั่วหลานผู้เป็นเซียนแต่กลับสังหารผู้คนบริสุทธิ์”
จากนั้นหลินมู่อวี่ปล่อยฉู่เหยาออกจากอ้อมแขนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าพี่ฉู่เหยาจะไม่ยอมขี้เกียจตลอดสามปีที่ผ่านมา พลังยุทธ์ของท่านดูแข็งแกร่งขึ้นมาก”
“อย่าล้อข้าสิ” ฉู่เหยาหน้าแดงและกล่าวว่า “เมื่อเทียบกับเจ้าและองค์จักรพรรดินีแล้ว พลังยุทธ์ของข้าน้อยนิดยิ่งนัก…”
จางเหว่ยประสานหมัด “ผู้ดูแลฉู่เหยาถ่อมตนเกินไป ท่านเป็นถึงผู้นำสมาพันธ์โอสถ ในแง่พลังต่อสู้ แม้แต่จางเหว่ยก็มิใช่คู่ต่อสู้ของท่าน”
หลินมู่อวี่หัวเราะเสียงดัง “พี่จางใช้เพียงความกล้าของทหารในการต่อสู้ ซึ่งมันแตกต่างกัน แม้ว่า…พลังของท่านจะพัฒนาขึ้นในสามปีนี้ ข้าก็สามารถเอาชนะท่านได้เป็นสิบครั้ง…”
จางเหว่ยพูดไม่ออก “ข้าไม่ต้องการสนทนากับท่านหลินมู่อวี่อีกต่อไปแล้ว…”
…
เมื่อทุกคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังห่างหายไปนาน ฉู่เหยาจึงสั่งให้จัดงานเลี้ยงฉลองในสมาพันธ์โอสถและเชิญชวนทุกคนมาดื่ม นางไม่ได้ออกจากสมาพันธ์กระทั่งเช้าตรู่ หลังจากนั้นจางเหว่ยกลับไปยังค่ายกองทัพองครักษ์ ขณะที่หลินมู่อวี่พาฉินอินกลับวิหาร
ความคิดถึงของฉินอินที่มีต่อหลินมู่อวี่นั้นลึกล้ำจนถึงขั้นที่มิต้องการห่างจากกันอีก ไม่มีทางเลยที่หลินมู่อวี่จะหลับลงในค่ำคืนนี้…ขณะที่มีฉินอินนอนข้างกายและกอดแขนหลินมู่อวี่ราวกับกลัวเขาจะบินหายไป
แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนใบหน้างามที่หลับใหล หลินมู่อวี่มองนางแล้วรู้สึกสุขใจ สามปีที่ต่อสู้อย่างเจ็บปวด…ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะลงเอยเพื่อความหอมหวานและความสุขของช่วงเวลานี้ ตราบใดที่นางอยู่เคียงข้าง…ความทุกข์ทรมานก็มิอาจทำร้ายหลินมู่อวี่ได้
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นหลังจากแต่งตัว หลินมู่อวี่ไปส่งฉินอินกลับตำหนักเจ๋อเทียน
หลินมู่อวี่ยังคงสวมชุดองครักษ์อวี้หลินแม้จะไม่มีตำแหน่งนี้ในตำหนักอีกต่อไป หลังจากการต่อสู้ในเมืองหลันเยี่ยน…ทำให้เหลือองครักษ์อวี้หลินเพียงสองร้อยนายเท่านั้น เกรงว่าจะเหลือเพียงหลินมู่อวี่ เว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง และคนอื่นที่ยังอยู่ ขณะที่ฉินเหลย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน จู้เก่ออวิ๋น และบุคคลสำคัญมากมายเสียชีวิตเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าโศกเศร้า
ช่วงค่ำวันเดียวกันมีข่าวส่งมาจากระยะไกลว่า ถังเสี่ยวซีนำกองทหารแห่งจักรวรรดิสองพันนายมายังเมืองหลันเยี่ยน ขณะที่หลินมู่อวี่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อฝึกฝน ราชาปีศาจเจ็ดประทีปได้ทิ้งดาบขึ้นสนิมไว้ให้หลอมหนึ่งเล่ม แต่ไม่ว่าหลินมู่อวี่จะพยายามมากเพียงใดก็มิสามารถหลอมมันได้ ดูเหมือนว่าดาบเล่มนี้จะไม่ได้หลอมขึ้นจากเหล็กธรรมดา
ฉินอินไปพบถังเสี่ยวซีด้วยตนเอง ขณะที่หลินมู่อวี่รออยู่ด้านในเป็นเวลานาน กระทั่งมีเสียงดังขึ้นจากด้านหน้าโถง ฉินอินและถังเสี่ยวซีกลับมาแล้ว อีกทั้งยังได้ยินเสียงเฟิงจี้สิง เว่ยโฉว และเซี้ยโหวซาง
“คนในสำนักอัศวินเจ้าเล่ห์เกินไป พวกมันฆ่าทุกคนราวกับแมลงสาบ” เฟิงจี้สิงกล่าวอย่างขมขื่น
เว่ยโฉวกล่าว “มิเป็นไรขอรับ เราจะต้องทำสำเร็จ”
ถังเสี่ยวซีกล่าว “พวกเจ้าสามารถพิชิตสำนักอัศวินได้ทุกหนแห่ง มิจำเป็นต้องกังวล ส่วนข้า…อยู่ที่เมืองหน้าด่านมาสามเดือนและน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก จริงสิเสี่ยวอิน…เราควรออกไปล่าสัตว์อีกเมื่อใด?”
“ก่อนอื่นข้ามีสิ่งที่จะทำให้เจ้าประหลาดใจ”
“โอ้ สิ่งใดหรือ?”
“หยุดก่อน ห้ามขยับ”
ฉินอินยิ้มและโบกมือให้ตามมา “เข้ามาในโถงด้านหลังสิ แล้วดูว่านี่คือผู้ใด?”
ทุกคนทยอยเดินเข้ามาทีละคน จากนั้นก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นคนตรงหน้าซึ่งทำให้พวกเขาพูดไม่ออก…
หลินมู่อวี่ยืนอยู่ที่นั่นในเสื้อคลุมของจักรวรรดิ ใบหน้าเขายังคงเหมือนเดิมราวกับเป็นหลินมู่อวี่คนเดิมเมื่อสามปีก่อน เขาประสานหมัดและยิ้ม “ยินดีที่ได้พบทุกคน…ข้าหลินมู่อวี่กลับมาแล้ว”
…
“เจ้า…” เฟิงจี้สิงตกตะลึง ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “อาอวี่?”
เว่ยโฉวยืนนิ่งงัน “ท่านแม่ทัพ…”
เซี้ยโหวซาง “ท่านหลิน…”
มีเพียงถังเสี่ยวซีเท่านั้นที่เดินตรงไปพร้อมดวงตาที่แสดงความรักใคร่อย่างไม่ปิดบัง “นี่…มู่มู่จริงหรือ?”
หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “เสี่ยวซี เจ้าดูงดงามขึ้นอีกแล้ว…”
ถังเสี่ยวซีรู้ทันทีว่านี่คือตัวจริง ไม่มีใครกล้าพูดกับตนเช่นนี้อีกแล้ว น้ำตาไหลรินขณะที่กล่าวว่า “มู่มู่ ข้ามีของขวัญจะให้แก่เจ้า”
“สิ่งใดหรือ?”
ถังเสี่ยวซีก้าวไปด้านหน้าและเขย่งเท้า รสจูบหอมหวานประทับลงบนริมฝีปากหลินมู่อวี่เพียงสัมผัส ทว่านี่เป็นสิ่งที่ถังเสี่ยวซีเป็น…นางกล้าที่จะรักหรือเกลียดอย่างตรงไปตรงมา เมื่อนาง ‘จุมพิต’ เสร็จ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำและถอยหลังกลับ ก่อนจะมองหลินมู่อวี่และกล่าวว่า “มู่มู่…เจ้าคิดถึงข้าหรือไม่?”
“อื้ม…” หลินมู่อวี่คร่ำครวญในใจ นี่ไม่ดีเลย…เสี่ยวอินยืนอยู่ด้านข้าง นางจะฆ่าข้าหรือไม่?
ฉินอินกัดริมฝีปากแน่นทำอะไรไม่ถูก ขณะที่ภายในใจมีน้ำตาไหลริน “เสี่ยวซี สหาย…ข้ายัง…”
…
ขณะที่เด็กสาวทั้งสองมีสิ่งที่ต้องคิดมากมายในใจ เฟิงจี้สิงรีบวิ่งเข้ามาสวมกอดหลินมู่อวี่และหัวเราะ “อาอวี่ เจ้ายังไม่ตายจริงหรือ…”
“เป็นเรื่องจริงพี่เฟิง…” หลินมู่อวี่หัวเราะเสียงดัง “ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอข้าอีกครั้งใช่หรือไม่?”
“ใช่”
ดวงตาเฟิงจี้สิงแดงก่ำ “ข้านึกว่า…จะสามารถเจอเจ้าได้เพียงที่อนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิ เจ้ารอดชีวิตมาได้อย่างไร…มีคนเห็นเว่าเจ้าถูกลั่วหลานสังหารด้วยตา”
หลินมู่อวี่เศร้าหมองชั่วขณะ ทว่าเขาคงเจอฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย เหล่ยหง และคนอื่นๆ ในอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิเท่านั้น…