EP.352 พระบรมราชโองการ
หลินมู่อวี่อธิบายว่ามังกรผลึกโลหิตช่วยชีวิตเขาไว้ได้อย่างไร รวมทั้งการดูดซับพลังจิตวิญญาณจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดารา ทำให้สามารถสร้างหัวใจขึ้นมาใหม่และฟื้นคืนชีพในที่สุด หลินมู่อวี่มิได้พูดถึงราชาปีศาจเจ็ดประทีป…เนื่องจากราชาปีศาจเป็นบุคคลในอดีตที่สูญหายไปหลายหมื่นปี เฟิงจี้สิง เว่ยโฉว ถังเสี่ยวซี และทุกคนมองมายังหลินมู่อวี่ด้วยดวงตากลมโตขณะที่ฟังเรื่องราวน่าเหลือเชื่อเหล่านี้…
เมื่อหลินมู่อวี่พูดจบ เฟิงจี้สิงก็ถอนหายใจ “โชคดีของจักรวรรดิฉินที่เจ้ารอดมาได้…”
ฉินอินพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดเฟิงจี้สิง
ถังเสี่ยวซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็ค่ำแล้วและข้าเริ่มรู้สึกหิว เสี่ยวอินคงต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีใช่หรือไม่?”
ฉินอินยิ้มอย่างร่าเริง “เข้ามาสิ”
สาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามากล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท…”
“ให้คนครัวเตรียมอาหารค่ำสำหรับสิบสองคน ทว่าต้องทำอย่างประณีตและนำไวน์ที่ดีที่สุดมาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ฉินอินมองไปยังหลินมู่อวี่และแลบลิ้นอย่างซุกซน “เช่นนี้ทุกคนพอใจแล้วหรือไม่?”
เฟิงจี้สิงหัวเราะ “ฝ่าบาททรงนำไวน์ที่ดีที่สุดในตำหนักเจ๋อเทียนมาให้ ข้าไม่มีข้อขัดแย้งพ่ะย่ะค่ะ!”
หลินมู่อวี่เอนกายบนเก้าอี้และถาม “คงมีสิ่งเกิดขึ้นมากมายช่วงที่ข้าหลับใหล จริงสิพี่เฟิงและเว่ยโฉว…การปราบปรามสำนักอัศวินบนภูเขาหลงหยานเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทุกอย่างกำลังไปด้วยดี”
เฟิงจี้สิงคร่ำครวญ “เรากวาดล้างพวกมันไปกว่าสองพันนาย ทว่าราชทูตใหญ่ของสำนักอัศวินในมณฑลหลิงหนานหนีไปได้ รวมทั้งปู้ไห่ด้วย ช่างน่าเสียดายที่ล้มเหลวในการสังหารขอบเขตปราชญ์ผู้นี้!”
“ปู้ไห่?”
หลินมู่อวี่ผงะ “ขณะที่ออกจากภูเขา ข้าพบชายชราคนหนึ่งนามว่าปู้ไห่ซึ่งอยู่ขอบเขตปราชญ์ และเขาต้องการฉวยกระบี่วิญญาณมังกรไปจากข้า”
“จริงหรือ?” เว่ยโฉวยิ้มอย่างประหลาดใจ “ท่านแม่ทัพ คนผู้นั้นบาดเจ็บที่แขนใช่หรือไม่?”
“ใช่ อีกทั้งวิญญาณยุทธ์ของเขาคือหมาป่าเพลิง”
“นั่นคือปู้ไห่!”
เว่ยโฉวประสานหมัดแน่น
เขายิ้มและกล่าวกับฉินอิน “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ท่านแม่ทัพสร้างคุณงามความดีทันทีที่กลับมายังเมืองหลันเยี่ยน ปู้ไห่เป็นศิษย์ที่ภาคภูมิใจของลั่วหลานซึ่งอาศัยอยู่บนภูเขาหลงยานมานาน ในเมื่อถูกท่านแม่ทัพสังหารเรียบร้อย เท่านี้ก็เพียงพอที่กวาดล้างสำนักอัศวินทั้งหมดในจักรวรรดิได้พ่ะย่ะค่ะ!”
“อื้ม” ฉินอินมองหลินมู่อวี่อย่างสุขใจ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความกังวล “ปู้ไห่เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์ พี่อาอวี่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
“ไม่” หลินมู่อวี่ส่ายหัว “ข้าใช้วิทยายุทธ์ปกปิดปราณตนเอง เขาคิดว่าข้าเป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตมนุษย์และไม่ระวังตัว ดังนั้นข้าจึงเอาชนะได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว”
“เจ้าใช้วิทยายุทธ์ใดจึงเอาชนะขอบเขตปราชญ์อย่างปู้ไห่ได้…” เฟิงจี้สิงเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
หลินมู่อวี่ยิ้ม “ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ข้าได้เรียนรู้วิทยายุทธ์ชื่อว่ากลยุทธ์ดวงดารา ซึ่งทรงพลังมาก”
“เช่นนั้นพี่เฟิงคงต้องเรียนรู้จากเจ้าในอนาคต!” เฟิงจี้สิงเป็นผู้คลั่งไคล้ในวิทยายุทธ์ เขามองหลินมู่อวี่ด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่ออาอวี่สามารถรอดชีวิตมาได้…เมืองหลันเยี่ยนคงเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย ฝ่าบาททรงวางแผนประทานยศและตำแหน่งทางทหารให้อาอวี่ไว้อย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินอินกล่าว “ในการหารือวันพรุ่งนี้ ข้าจะประกาศว่าพี่อาอวี่ยังมีชีวิตและจะยอมรับเขาในฐานะแม่ทัพและผู้บัญชาการกองทหารมังกรผงาด เพื่อรับผิดชอบการขยายกองกำลังและทำให้กลุ่มมังกรผงาดกลายเป็นกองทหารประจำจักรวรรดิ! ในเวลานั้นท่านตาและท่านหลานกงคงไม่อยู่ฝั่งเดียวกับข้า ดังนั้น…ผู้บัญชาการเฟิงและเสี่ยวซีจำเป็นต้องช่วยเหลือ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
ไม่นานไวน์และอาหารเลิศรสก็ถูกยกมายังโต๊ะด้านหน้าตำหนักเจ๋อเทียน ขณะที่ฉู่เหยา ฉินเหยียน และคนอื่นๆ ได้รับเชิญให้มาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นงานเลี้ยงคืนสู่เหย้าที่ได้ห่างหายกันไปนาน
หลังจากดื่มกินจนดึก เฟิงจี้สิง จางเหว่ย เว่ยโฉว และคนอื่นๆ กล่าวอำลากลับทีละคน ขณะที่หลินมู่อวี่พักผ่อนอยู่ด้านในโถง เนื่องจากวันพรุ่งนี้มีเรื่องที่ต้องหารือกันมากมาย
…
วันรุ่งขึ้นเมื่อพระอาทิตย์ลอยสูงเหนือเมฆาและระฆังด้านนอกตำหนักเจ๋อเทียนส่งเสียงดัง เหล่าข้าราชบริพารก้าวขึ้นบันไดทองหนึ่งร้อยยี่สิบขั้นมายังโถงตำหนัก ซูมู่หยุนและถังหลานอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนโดยมีทหารระดับสูงล้อมรอบกาย ทหารใต้บังคับบัญชาของซูมู่หยุนประกอบด้วยซูอวี่ ซูหลง และกลุ่มนายพลจากเมืองหยาดสายัณห์ ส่วนรอบกายถังหลานมีเซี่ยงอวี้ ถังลู่ ถังเทียน ถังเว่ย และคนจากตระกูลถัง โชคดีที่สถานการณ์ปัจจุบันมีความสมดุล มิเช่นนั้นคงเป็นเรื่องยากในการตัดสินว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายครอบครองเมืองหลันเยี่ยนแห่งนี้
ท่ามกลางฝูงชน ผู้บัญชาการทหารเกราะสีแดงเพลิงแสดงท่าทางราวกับทำอะไรไม่ถูก เขาคือตู้ไห่ผู้นำแม่ทัพเทพแห่งจักรวรรดิ หลังจากเมืองหลันเยี่ยนถูกจักรวรรดิอี้เหอทำลาย เขาจำเป็นต้องลี้ภัยเพื่อหนีความผิดฐานมิสามารถป้องกันเมืองหลวงไว้ได้ โชคดีที่ซูมู่หยุนและถังหลานยังคงเกรงกลัวความยิ่งใหญ่ของแม่ทัพผู้นี้ มิเช่นนั้นเกรงว่าตู้ไห่คงไม่มีที่ยืนในแผ่นดินอีกต่อไป
ปัจจุบันจักรวรรดิฉินมีผู้บัญชาการหกนายตามลำดับได้แก่ เซี่ยงอวี้ เฟิงจี้สิง ตู้ไห่ หมินยวี่หลิน ซูอวี่ และถังลู่ เซี่ยงอวี้เป็นคนของถังหลาน เฟิงจี้สิงภักดีต่อฉินอิน ตู้ไห่เป็นกลาง ส่วนหมินยวี่หลินรักษาการณ์ในชายแดนทางเหนือของเมืองหยาดสายัณห์จึงถือว่าเป็นคนของซูมู่หยุน อีกทั้งยังหมายถึง…ไม่ว่าถังหลานหรือซูมู่หยุนที่สามารถเอาชนะตู้ไห่ คนผู้นั้นจะมีอำนาจในจักรวรรดิมากยิ่งขึ้น
“แม่ทัพตู้ไห่ สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง อาการป่วยเมื่อเร็วๆ นี้ ดีขึ้นแล้วหรือไม่?” ซูมู่หยุนโค้งคำนับเพื่อทักทาย
ตู้ไห่ตอบกลับด้วยความเคารพ “ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณท่านหยุนกงที่ห่วงใย ตู้ไห่เป็นนักรบหนังหนา ความเจ็บป่วยเล็กน้อยมิสามารถทำร้ายข้าได้ขอรับ”
“ดีแล้ว”
ซูมู่หยุนกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าแม่ทัพตู้ไห่ได้ทะลวงขึ้นเป็นขอบเขตปราชญ์เมื่อสองปีก่อน เป็นเรื่องดีสำหรับจักรวรรดิ หวังว่าท่านแม่ทัพจะยังจงรักภักดีต่อจักรวรรดิและองค์จักรพรรดินี”
“ขอรับ มิต้องกังวล ท่านหยุนกงโปรดเข้ามาเถิด”
“อืม”
ถังหลานยืนลูบเคราขาวแผ่วเบาจากระยะไกลโดยมิได้พูดสิ่งใด ส่วนเซี่ยงอวี้ด้านข้างยกมุมปากและกล่าวว่า “ตู้ไห่ทหารเฒ่า เหอะ! ยังมีหน้ากลับมาเมืองหลันเยี่ยนอีก หากเป็นข้า…เกรงว่าคงถูกแขวนคอไปนานแล้ว”
ในฐานะขอบเขตปราชญ์ผู้แข็งแกร่ง ตู้ไห่จึงได้ยินคำพูดของเซี่ยงอวี้ทั้งหมด ดวงตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ทว่ายังคงนิ่งเฉย ใช่…สิ่งที่เซี่ยงอวี้กล่าวมานั้นไม่ผิด!
…
เมื่อการหารือกำลังจะเริ่มขึ้น เหล่าข้าราชบริพารได้มารวมตัวกัน ณ โถงใหญ่ของตำหนักเจ๋อเทียน ซูมู่หยุนและถังหลานเป็นกลุ่มผู้นำ ตามมาด้วยขุนนางเช่นถังเสี่ยวซี ถังลู่ ถังเว่ย และคนอื่นๆ จากนั้นจึงเป็นเฟิงจี้สิง ตู้ไห่ ซูอวี่ และนายพลคนอื่นๆ เมื่อทุกคนเข้ามากันอย่างพร้อมเพรียง เหล่าข้าราชบริพารประสานหมัดแน่นและกล่าวเสียงดัง “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ทุกคนต่างมองฉินอินด้วยความเคารพ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คือ ฉินอินไม่ได้สวมเสื้อคลุมหงส์ไฟของจักรพรรดินีที่ทำขึ้นโดยเฉพาะ ทว่าเพียงสวมชุดองค์หญิงซึ่งเป็นตำแหน่งเดิม มงกุฎแห่งเกียรติยศส่องแสงเป็นประกายงดงาม นางสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม ด้านหลังมีฝักดาบห้อยอยู่ที่เอว ขณะที่มือขวาวางลงบนด้ามจับ ฉินอินมองทุกคนด้วยท่าทางสง่างาม
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
ข้าราชบริพารตะโกนดังพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง
“มิต้องมากพิธี” ฉินอินยกมือขึ้นแผ่วเบาและยิ้ม “วันนี้มีข่าวดีต้องการแจ้งให้ทุกคนทราบ”
ซูมู่หยุนยิ้มเล็กน้อย “เสี่ยวอิน มีข่าวดีเรื่องใดหรือ?”
“ท่านตา ทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดินถือว่าเป็นวีรบุรุษใช่หรือไม่?” ฉินอินเอ่ยถาม
ซูมู่หยุนผงะและประสานหมัดกล่าว “การตายเพื่อจักรวรรดิ ล้วนเป็นการกระทำของวีรบุรุษ!”
“หากวีรบุรุษแห่งจักรวรรดิรอดพ้นจากฝันร้ายนั้นและกลับมาจากความตาย จะยังถือว่าเป็นวีรบุรุษหรือไม่?”
“แน่นอนว่าคนผู้นั้นเป็นวีรบุรุษ!” ซูมู่หยุนกล่าวอย่างแน่วแน่
“ดี เช่นนั้นข้าจะแนะนำบุคคลผู้หนึ่งแก่ทุกคน”
ฉินอินหันหน้าไปบริเวณโถงด้านข้างและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เข้ามาสิพี่อาอวี่…”
…
“พี่อาอวี่?” ซูมู่หยุนผงะทันทีที่ได้ยิน
ซูอวี่เผยความดีใจ “เป็นไปได้ไหมว่า…อาอวี่ยังไม่ตาย?”
ตู้ไห่ตกใจมาก
ขณะเซี่ยงอวี้เผยสายตาดุร้าย
สาวใช้สองคนเปิดม่าน ก่อนที่นายพลหนุ่มในชุดเกราะองครักษ์อวี้หลินปรากฏตัวขึ้นพร้อมจ้องมองไปยังฉินอินจากระยะไกล เขาเดินออกมาอย่างเชื่องช้าและหยุดตรงหน้าเหล่าข้าราชบริพาร ชายผู้นี้หันมองรอบบริเวณและประสานหมัด “หลินมู่อวี่รอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ยินดีที่ได้พบทุกท่านขอรับ!”
ฝูงชนเกิดเสียงดังอื้ออึงทันที บางคนพูดคุยกันอย่างยินดี บางคนตกใจจนนิ่งงัน และบางคนไม่สบายใจอย่างยิ่ง! หลินมู่อวี่เป็นวีรบุรุษอันดับหนึ่งของอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิ ในเมื่อเขายังมีชีวิต…เช่นนั้นจะอยู่เหนือทุกคนในแผ่นดิน!
“เป็นหลินมู่อวี่จริงด้วย!”
“ใช่ เป็นเขาอย่างแน่นอน! ข่าวลือบอกว่าหลินมู่อวี่ถูกลั่วหลานฆ่าเมื่อสามปีก่อน ทว่าเขากลับไม่ตาย!”
“ราชบุตรบุญธรรมขององค์จักรพรรดิยังไม่ตาย เป็นความโชคดีของจักรวรรดิโดยแท้จริง!”
…
“โปรดเงียบ”
ฉินอินเดินลงจากบัลลังก์มายืนเคียงข้างหลินมู่อวี่ เมื่อฝูงชนสงบลง นางหันมองหลินมู่อวี่และกล่าวว่า “พี่อาอวี่เสียชีวิตและหลับใหลอยู่ในผลึกมังกรเป็นเวลาสามปี ในที่สุดก็ตื่นขึ้นจากพลังลึกลับแห่งการเกิดใหม่ ข้าจึงต้องการให้เขารับใช้จักรวรรดิอีกครั้ง พวกท่านมีความเห็นอย่างไร?”
ถังหลานเพียงขมวดคิ้ว
ขณะที่ดวงตาซู่มู่หยุนสงบนิ่งและมิต้องการกล่าวสิ่งใด
เซี่ยงอวี้ประสานหมัดและกล่าวว่า “ฝ่าบาท กองทัพหลวงในเมืองหลันเยี่ยนมีระบบการทหารที่สมบูรณ์แบบ และไม่มีตำแหน่งเว้นว่าง คงดีกว่าหรือไม่หาก…ให้ท่านหลินมู่อวี่สร้างกองทัพทหารแห่งจักรวรรดิขึ้นมาใหม่และเป็นผู้บัญชาการกองทัพ?”
“มิได้”
ฉินอินส่ายหัวเบาๆ และกล่าวว่า “โปรดฟังพระบรมราชโองการของจักรพรรดิพระองค์แรกเถิด”
“พระบรมราชโองการขององค์จักรพรรดิ?” ทุกคนต่างตกตะลึง ไม่มีใครทราบว่าองค์จักรพรรดิฉินจิ้นได้ออกราชโองการก่อนสิ้นพระชนม์