Ep.353 กองกำลังศักดิ์สิทธิ์
ข้าราชบริพารคนหนึ่งเดินถือม้วนกระดาษสีทองซึ่งเป็นพระบรมราชโองการจากจักรพรรดิองค์ก่อนไปยังฉินอินด้วยความเคารพ
ฉินอินพยักหน้า “อ่านให้ทุกคนฟัง”
ข้าราชบริพารรับคำสั่งก่อนเริ่มเปล่งเสียงอ่าน “หากการเดินทางในครั้งนี้ข้าได้พบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ขอทุกคนอย่าได้ตื่นตระหนก แม้จะไม่ได้กลับไป…ตำนานราชวงศ์ฉินกว่าพันปีต้องไม่ถูกทำลายโดยฝีมือของกบฏคนใด จงแต่งตั้งฉินอินขึ้นเป็นจักรพรรดินีปกครองจักรวรรดิฉิน และให้หลินมู่อวี่เป็นราชาแห่งเทียนชู่ คอยดูแลและควบคุมการทหารรวมไปถึงการเมืองทั้งหมดในมณฑล แม้เขาจะเป็นลูกบุญธรรม ถึงกระนั้นก็จงปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นบุตรคนหนึ่งของข้า ทุกคนจงฟังคำสั่งเขาอย่าได้ขัดขืนเป็นอันขาด”
หลินมู่อวี่ชะงักและมองหน้าฉินอินอย่างไม่เข้าใจในราชโองการที่เพิ่งประกาศ
ฉินอินหยิบพระบรมราชโองการมาจากข้าราชบริพารก่อนจะกางมันออกให้หลินมู่อวี่ด้วยสีหน้าเศร้าโศก “พี่อาอวี่คงจำลายมือของเสด็จพ่อได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ลายมือที่สลักอยู่ในพระบรมราชโองการนั้นสวยงามและหนักแน่น รอยกดทับด้านหลังของกระดาษล้วนแสดงให้เห็นว่าเป็นลายมือของฉินจิ้น จากทั้งจักรวรรดิเขาเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดผู้ประดิษฐ์อักษรที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
ดวงตาของฉินอินปริ่มน้ำ “พี่อาอวี่ เราได้พบกับทหารองครักษ์ของเสด็จพ่อที่หนีมาจากเทียนชู่ เขาเล่าว่าก่อนเสด็จพ่อตาย…เขาพูดประโยคหนึ่ง ‘เสียดายที่ก่อนหน้าข้าไม่เคยมองเจ้าเป็นลูก ความผิดครั้งนี้คงมิอาจให้อภัย ถึงกระนั้นข้าก็หวังว่าคำสั่งเสียที่เขียนไว้จะช่วยชดเชยเรื่องที่ผ่านมาได้…’”
หลินมู่อวี่พยักหน้าอันทุกข์ตรม “ข้าทราบแล้วเสด็จพ่อ…”
…
ทันใดนั้น ถังลู่จากตระกูลถังก็มองหน้าฉินอินอย่างจริงจังพลางประสานหมัดและเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ตามกฎแล้วมิอาจให้คนที่ไม่มีเชื้อขุนนางขึ้นเป็นราชา องค์จักรพรรดิแซ่ฉินจะแต่งตั้งหลินมู่อวี่แซ่หลินได้อย่างไร? แม้ว่าเขาจะมีคุณความดีอันยิ่งใหญ่ก็มิเพียงพอให้เข้ารับตำแหน่งได้ กระหม่อมเชื่อว่าต้องมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการแต่งตั้งเขาเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินมองหน้าถังลู่ก่อนกล่าวตอบอย่างใจเย็น “นอกจากข้อโต้แย้งนี้ท่านมีสิ่งใดอีกหรือไม่?”
ท่ามกลางบรรดาขุนนาง ทุกคนต่างจดจ้องไปยังซูมู่หยุนเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฝ่าบาท แม้ว่าจะเป็นพระบรมราชโองการจากจักรพรรดิองค์ก่อน ทว่าในตอนที่พระองค์ทรงอักษรหาได้รู้ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงขึ้น ในตอนที่จักรวรรดิกำลังต้องการความรุ่งเรือง คงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะก่อตั้งราชาองค์ใหม่ ประชาชนหลายคนคงไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้”
ถังหลานที่อยู่ด้านข้างพลันประสานหมัดขึ้นพร้อมกล่าวหนักแน่น “ด้วยจักรวรรดิที่กำลังได้รับการบูรณะ กระหม่อมเองก็คิดว่าต้องมีข้อผิดพลาดกับคำประกาศนั้นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้มณฑลเทียนชู่เป็นอาณาเขตของท่านหยุนกง หากหลินมู่อวี่ได้รับตำแหน่ง เขาคงไม่พึงใจเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
ซูมู่หยุนมองค้อนใส่ถังหลานทว่าไม่กล่าวสิ่งใด
หลินมู่อวี่สูดหายใจลึก
เป็นครั้งแรกที่หลินมู่อวี่ได้รู้ว่าการเป็นจักรพรรดินีของฉินอินนั้นยากลำบากเพียงใด เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ข้างนางจริงๆ!
เฟิงจี้สิงขมวดคิ้วกล่าว “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หากเหล่าขุนนางเห็นพ้องต้องกันว่าพระราชโองการมีข้อผิดพลาดเช่นนี้ คงไม่เหมาะสมหากจะแต่งตั้งให้หลินมู่อวี่เป็นราชา เว้นเสียแต่จะให้ตำแหน่งแม่ทัพแทน ด้วยคุณความดีอันเป็นที่กล่าวขานเขาสมควรได้รับมันอย่างไม่ต้องสงสัยพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเสี่ยวซีกล่าวเสริม “ข้าก็คิดเช่นเดียวกันว่ามู่มู่ควรได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ”
ท่ามกลางเหล่าขุนนาง ชายคนหนึ่งในชุดทหารติดดาวทองสามดวงตรงปกเสื้อประสานหมัดเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมในฐานะแม่ทัพที่ทำงานร่วมกับกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่ฝ่าบาทได้ทรงออกคำสั่งให้มีการจัดระบบกองทัพอวี้หลินเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วว่า…ผู้ใดก็ตามที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ต้องเป็นผู้ที่มีคุณงามความดีจากการทำภารกิจ แม้ท่านหลินมู่อวี่จะสร้างความสำเร็จไว้มากมายเมื่อสามปีที่แล้ว ทว่าในตอนนี้เป็นศักราชใหม่…ด้วยร่างพระกฤษฎีกาฉบับล่าสุดที่พระองค์ทรงประกาศ กระหม่อมเกรงว่าคงจะขัดต่อข้อกฎหมายหากทรงยืนกรานจะแต่งตั้งเขา โปรดพระองค์ทรงพิจารณาข้อคิดเห็นของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ซือหลิง เจ้า…”
ฉินอินโกรธอย่างมากและต้องการริบตำแหน่งกระทรวงกลาโหมจากเขาทันที ทว่าซือหลิงเป็นคนของถังหลาน ฉินอินจึงพยายามข่มอารมณ์ไว้
สังเกตได้ชัดว่าถังหลานไม่ต้องการให้หลินมู่อวี่ได้ครอบครองอำนาจทางทหารแม้แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการ
ฉินอินรู้สึกสับสนจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากซูมู่หยุน “ท่านตาคิดว่าหลินมู่อวี่ไม่สมควรได้รับตำแหน่งทางทหาร…ไม่แม้แต่กลับไปรับตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์เมืองเลยหรือเจ้าคะ?”
ซูมู่หยุนประสานหมัดกล่าวตอบ “เสี่ยวอิน กฎหมายใหม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างเป็นทางการ เราก็ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตราบที่จักรวรรดิอี้เหอยังพร้อมทำศึก อาอวี่ย่อมมีโอกาสสร้างผลงานและรับตำแหน่ง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน!”
เฟิงจี้สิงครุ่นคิดถึงวิธีแก้ปัญหา เพราะท่ามกลางขุนนางกว่าพันคน เก้าสิบเปอร์เซ็นต์อยู่ฝั่งซูมู่หยุนและถังหลาน ส่วนที่เหลือไม่กล้าออกเสียงใด
ถังเสี่ยวซีเริ่มฉุนเฉียวก่อนจะชี้มือไปยังเหล่าข้าราชบริพารเบื้องล่างพร้อมกล่าวเสียงดัง “พวกหน้าไม่อาย หึ! หลินมู่อวี่นำทัพมังกรผงาดหนึ่งหมื่นห้าพันคนเข้าปะทะกับกองทัพหลงเซียนหลินและสังหารศัตรูกว่าเจ็ดหมื่นคน ข้าอยากรู้นักว่ามีพวกเจ้าคนใดทำได้อย่างเขาหรือไม่? นอกจากนั้นหลินมู่อวี่ยังสั่งให้ทัพมังกรผงาดปกป้องจักรพรรดินีฉินอินทายาทสืบทอดบัลลังก์เพียงคนเดียวอีก แล้วพวกเจ้าทำสิ่งใดบ้าง? นอกจากใช้ตำแหน่งขุนนางในมือกีดกันเขาจากการได้รับตำแหน่ง ข้าจะถามอีกครั้ง พวกคนเห็นแก่ได้…ไม่ละลายใจกันบ้างเลยรึ?!”
“เยี่ยมยอด!” เฟิงจี้สิงก้มหัวยิ้ม “องค์หญิงซีทรงปราดเปรื่องยิ่งพ่ะย่ะค่ะ…”
ซือหลิงยิ้มให้ถังเสี่ยวซีด้วยความอ่อนน้อม “องค์หญิงซี กระหม่อมเพียงทำตามกฎเท่านั้น หาได้ต้องการล่วงเกินท่านหลินมู่อวี่แม้แต่น้อย โปรดประทานอภัยโทษให้กระหม่อมเถิด…”
“อย่างงั้นหรือ?”
ถังเสี่ยวซีจ้องซือหลิงอย่างเอาเรื่อง เพลิงจิ้งจอกเก้าหางโหมกระหน่ำรอบกายราวกับกับต้องการปลดปล่อยพลัง
หลินมู่อวี่เกรงว่าถังเสี่ยวซีจะระเบิดพลังกลางโถงประชุมจึงรีบกล่าวตัดบท “เสี่ยวซี…ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่ได้สนใจว่าจะได้ตำแหน่งหรือไม่ และคงเป็นการดีกว่าหาก…”
ฉินอินมองหลินมู่อวี่ด้วยความสนใจ “พี่อาอวี่มีทางที่ดีกว่าหรือ?”
“อืม”
หลินมู่อวี่หันมองเหล่าขุนนางและยิ้ม “ตามกฎกระทรวงกลาโหมกล่าวไว้ว่า เมื่อใดก็ตามที่กฎหมายถูกบังคับใช้ จงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ด้วยเหตุนี้…ข้าจะกลับไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ เพราะท่านผู้นำเกอหยางตัดสินใจแล้วว่าจะส่งมอบตำแหน่งผู้นำแห่งวิหารให้แก่ข้า คงไม่มีผู้ใดคัดค้านใช่หรือไม่?”
ถังเทียนชะงัก “วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นเสาหลักของจักรวรรดิ ตำแหน่งผู้นำวิหารนั้นสำคัญยิ่งจะสามารถมอบมันให้แก่เจ้าได้อย่างไร?”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้วขึ้นและกล่าว “ข้าได้อ่านพระกฤษฎีกาแล้ว การเลือกผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของจักรพรรดิแต่เพียงผู้เดียว หากเสี่ยวอินอนุญาตให้ข้าขึ้นรับตำแหน่งแล้ว ยังมีผู้ใดกล้าคัดค้านอีกหรือ?”
ขณะกล่าว หลินมู่อวี่พลางชักกระบี่จากฝักและปักมันลงบนพื้นพรมเบื้องหน้า “ฉึก!” แสงประกายจากคมกระบี่เปล่งออก หลินมู่อวี่ยิ้มโดยไร้ความโกรธใด “ในนามคนของจักรวรรดิขอกล่าวว่าแผ่นดินนี้เป็นของราชวงศ์ฉิน ผู้ที่มีอำนาจปกครองคือฉินอิน ในฐานะขุนนางควรสำเหนียกหน้าที่ของตนไว้ให้ดี ข้าคือบุตรแห่งจักรพรรดิฉินจิ้น พี่ชายของเสี่ยวอินผู้นี้จะคอยปกป้องนางจากความทุกข์ทั้งปวง หากพวกเจ้าคนใดข้องใจ ไม่ยอมรับในคำตัดสินนี้และอยากสัมผัสคมกระบี่ของข้า ก็เชิญไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ได้เลย…ข้าพร้อมประมือทุกเมื่อ!”
ภายใต้แรงกดดันของหลินมู่อวี่ทำให้ถังเทียนพูดไม่ออกและชะงักไปชั่วครู่
ถังหลานและซูมู่หยุนขมวดคิ้วมองหน้ากันโดยไม่กล่าวคำใด เป็นการยากที่จะขัดคำของหลินมู่อวี่เพราะเขาทำตามพระกฤษฎีกาซึ่งแม้แต่ทั้งคู่ก็ไม่มีอำนาจต่อต้าน หยุนกงผู้อำนาจอยู่ทั่วเมืองหลันเยี่ยนทำได้เพียงจำนนต่อกฎของจักรวรรดิ หลินมู่อวี่ได้รับชัยชนะของการต่อสู้ครั้งแรกหลังฟื้นจากความตาย!
เฟิงจี้สิงที่ยืนอยู่กับจักรพรรดินีทำหน้าปีติพลางหัวเราะเบาๆ “เยี่ยมมากอาอวี่!”
เว่ยโฉวพยักหน้ายิ้ม “ผู้บัญชาการของข้ากลับมาแล้ว…”
ถังเสี่ยวซีทำได้เพียงยิ้มอย่างมีความสุขพลางมองหลินมู่อวี่ผู้ยืนหยัดราวกับราชา
…
ซูมู่หยุนก้าวออกมาพลางประสานหมัดกล่าว “ยินดีกับท่านหลินมู่อวี่ด้วยที่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าท่านแล้ว!” ถังหลานและขุนนางคนอื่นๆ ก็ร่วมประสานหมัดยินดีกับหลินมู่อวี่เช่นกัน ช่างประจบสอพลอสิ้นดี!
อย่างไรก็ดี ตามกฎแล้ว…กองทัพมังกรผงาดและกองทัพองครักษ์ไม่สามารถเพิ่มกองกำลังทหารได้นอกจากถังหลานกับซู่มู่หยุนจะอนุญาต ฉินอินไม่มีอำนาจในเรื่องนี้
ถึงกระนั้น หลินมู่อวี่ที่ได้รับตำแหน่งผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์เขาสามารถแสดงความสามารถของตนได้ทุกเมื่อ
บ่ายคล้อย ถังเสี่ยวซี เฟิงจี้สิง เว่ยโฉวและหลินมู่อวี่กลับไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันเพื่อไปฉลองกับตำแหน่งผู้นำของหลินมู่อวี่
ในห้องโถง กลุ่มคนต่างนั่งรอบโต๊ะกลมมองหน้ากันไปมา
เฟิงจี้สิงหยิบแก้วชาขึ้นมาแกว่งก่อนกัดฟันกล่าว “ข้าโมโหนัก…สองขุนนางเฒ่านั่นคงไม่ยอมให้ขยายกองทัพองครักษ์และมังกรผงาดเป็นแน่ คิดจะให้เราใช้ทหารสองหมื่นหนึ่งพันนายแบบนี้ไปตลอดรึ? บอกตามตรง…กองกำลังเพียงเท่านี้จะไปทำอะไรได้!”
ถังเสี่ยวซีมองหลินมู่อวี่ “มู่มู่ เจ้าลักลอบรับสมัครทหารและซื้อม้าบนภูเขาหลงหยานเพื่อขยายกองทัพมังกรผงาดได้หรือไม่?”
“ข้าก็กำลังคิดอยู่…”
หลินมู่อวี่พยักหน้ายิ้ม “เพียงแต่ข้าเกรงว่าคนของหยุนกงและหลานกงปู่เจ้าจะมีหน่วยสอดแนมอยู่ทุกสารทิศ คงทำให้ลำบากอย่างมาก”
ถังเสี่ยวซียิ้มอย่างรู้สึกผิด “มู่มู่ อย่าโกรธท่านปู่เลย ข้าไม่รู้ว่าเขากลายเป็นคนหลงอำนาจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“เขาอาจเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วกระมัง” เว่ยโฉวหัวเราะเย้ยหยัน
หลินมู่อวี่ถอนหายใจมองเกอหยางพลางเอ่ยถาม “ท่านปู่เกอหยาง ข้าไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีบ้านมากมายหลังวิหารที่ร้างไปแล้ว ข้าขอซื้อมันได้หรือไม่?”
“ผู้นำอยากได้ไปทำสิ่งใดหรือ?” เกอหยางถามด้วยความสงสัย
“ข้าตั้งใจจะเปลี่ยนบ้านเหล่านั้นให้เป็นค่ายทหาร สร้างลานฝึกและสถานที่สอนวิชายุทธ์” หลินมู่อวี่ยิ้มกล่าว “มันคงไม่ใช้เงินมากใช่หรือไม่? ทว่าถึงอย่างไรข้าก็มีเงินมากมายให้ใช้อยู่”
“มันไม่ใช้งบประมาณมากก็จริง ทว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงคือสิ่งใดกันแน่อาอวี่?” เกอหยางถามอย่างไม่เข้าใจ
หลินมู่อวี่กล่าวต่อ “ในจักรวรรดิแห่งนี้มีวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่กี่สาขา?”
“หนึ่งพันสามร้อยยี่สิบสี่สาขา” เกอหยางกะประมาณ “แต่ละสาขามีสมาชิกอยู่ยี่สิบถึงห้าสิบคน”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “คำสั่งแรกในฐานะผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์คือให้ส่งสมาชิกผู้แข็งแกร่งจากวิหารทั้งประเทศ วิหารละแปดถึงสิบคนเพื่อมารับใช้จักรพรรดินี เพียงเท่านี้เราก็จะมีกองกำลังเป็นสมาชิกวิหารศักดิ์สิทธิ์ราวหนึ่งพันคน”
เกอหยางชะงัก “หืม?”
เฟิงจี้สิงยิ้มก่อนประสานหมัด “แผนของเจ้าช่างน่าอัศจรรย์ วิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการปกครองของจักรพรรดินี อาอวี่จึงคิดจะใช้คนของวิหารตั้งเป็นกองทัพ!”
“ถูกต้อง! ในเมื่อหลานกงและหยุนกงไม่อนุญาตให้ข้าตั้งกองกำลังส่วนตัว ข้าก็จะสร้างกองกำลังวิหารศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้นำวิหารเอง จากนั้นให้ส่งทหารจากกองทัพมังกรผงาดมาช่วยสอนการรบและจัดขบวนทัพ ข้าจะขยายกองกำลังมังกรผงาดโดยใช้วิหารบังหน้า ด้วยวิธีนี้เสี่ยวอินจะถือไพ่เหนือกว่า!”
“พี่เฟิงผู้นี้จะช่วยสนับสนุนเจ้า!” เฟิงจี้สิงประสานหมัดและยิ้มอย่างมีเลศนัย
………………………………….