ตอนที่ 254 แก้ตัว

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 254 แก้ตัว

หลี่ซื่อเห็นอันหลิงเกออยากใช้สุนัขของป้าซุนในการจับผู้ร้ายจึงทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

แม้อันหลิงเกอรู้ว่าส่วนประกอบของซุปมีความผิดปกติ รู้ว่ามีคนใช้ขมิ้นแทนเปลือกส้ม ทว่ามิอาจสืบสาวมาถึงตนได้

หลี่ซื่อจึงยกยิ้มตรงมุมปากและแววตาก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

ตอนนางให้เถ่าหงนำยาไปเปลี่ยนก็เกรงว่าจักมีคนตรวจพบร่องรอยใด ๆ ดังนั้นนางจึงสร้างเรื่องว่าเถ่าหงไปที่หมู่บ้านในความดูแลของจวนโหวที่นอกเมืองเพื่อตรวจสอบบัญชีที่นั่น

หมู่บ้านเหล่านั้นห่างจากเมืองจิงหลายสิบลี้ แม้สุนัขป่าเก่งกาจเพียงใดก็มิอาจดมกลิ่นที่อยู่ไกลเช่นนั้นได้

นางแอบหัวเราะเยาะให้แก่ความโง่เขลาของอันหลิงเกอ จากนั้นจึงทำตัวตามปกติ เมื่อมองไปทางป้าซุนที่กำลังนำขมิ้นไปวางที่ปลายจมูกของสุนัขแล้วตบหลังมันทีหนึ่งเพื่อให้มันตามหาที่มาของกลิ่นนั้น

ช่างน่าเสียดายที่อันหลิงเกอคำนวณผิดไป

หลี่ซื่อเยาะเย้ยอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังแอบดีใจที่นางได้ส่งเถ่าหงออกไปก่อน ดังนั้นในตอนนี้นางจึงรอดูว่าอันหลิงเกอจักทำอย่างไรต่อไป !

ในขณะที่นางกำลังนึกอย่างได้ใจก็เห็นว่าสุนัขตัวนั้นเริ่มดมกลิ่นแล้ววิ่งวนรอบเรือน ทันใดนั้นมันก็พุ่งเข้ามาหาตนทันทีแล้วแยกเขี้ยวที่มีน้ำลายไหลอยู่ แลดูน่ากลัวยิ่งนัก

“ไปให้พ้น ! ”

หลี่ซื่อถูกสุนัขทำให้ตกใจ นางจึงผงะและถอยหลังไป

ทว่าสุนัขตัวนั้นมิฟังนาง เมื่อมันเห็นหลี่ซื่อสะบัดมืออย่างบ้าคลั่ง มันก็กระโดดพุ่งเข้าหานางแล้วใช้ฟันซี่แหลมคมกัดปลายเสื้อหลี่ซื่อไว้แน่น

“ว้าย ! ออกไปให้พ้น ! ”

หลี่ซื่อผู้งดงามอ่อนช้อยในยามปกติ ตอนนี้ถูกทำให้ตกใจจนล้มไปกับพื้น ทำให้เสียภาพลักษณ์สตรีงดงามไปหมด ใบหน้าที่แต่งไว้อย่างประณีตดูซีดเผือด แม้กระทั่งเครื่องประทินผิวสีชมพูที่ปัดไว้บนแก้มยังปิดบังความกลัวมิได้

ป้าซุนตกใจมากเพราะกลัวว่ามันจักทำร้ายหลี่ซื่อ นางจึงเรียกสุนัขกลับมา แต่เว่ยซื่อกล่าวว่า “สุนัขตัวนี้ใช้ตามหาผู้ร้ายมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงเอาแต่พุ่งไปที่ฮูหยินรองหลี่ ? ”

นางถามเหมือนสงสัย แต่ความหมายกลับบอกใบ้ว่าหลี่ซื่อก็คือผู้ร้ายคนนั้น

เพราะทั้งเรือนมีคนอยู่ตั้งมากมาย แต่สุนัขตัวนี้พุ่งไปหาหลี่ซื่อเพียงคนเดียว

หากหลี่ซื่อมิได้เปลี่ยนยาของฮูหยินผู้เฒ่า แล้วเหตุใดจึงเกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้ ?

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเว่ยซื่อกล่าวออกมาเช่นนั้น เดิมทีใบหน้าที่ดูแย่อยู่แล้วก็ยิ่งแย่ขึ้นไปอีก สีหน้าเมตตาอ่อนโยนในยามปกติ ตอนนี้มืดครึ้มราวกับเมฆฝน

เมื่อเห็นสุนัขกัดปลายเสื้อหลี่ซื่อไว้มิยอมปล่อย อีกทั้งยังคำรามเสียงต่ำในลำคอ สุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ป้าซุน เรียกสุนัขกลับมาเถิด”

แม้นางมิชอบหลี่ซื่อ แต่ก็มิอาจทนเห็นอีกฝ่ายเสียหน้าต่อผู้อื่นโดยที่ตนมิสนใจ

นี่มิเพียงทำให้หลี่ซื่อเสียหน้าผู้เดียว แต่จวนโหวก็เสียหน้าไปด้วย !

ป้าซุนจึงรีบทำตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าโดยการเรียกสุนัขกลับมาพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก

หากฮูหยินผู้เฒ่ามิสั่ง นางก็มิรู้ว่าควรทำต่อหรือไม่และเรื่องนี้อาจทำให้หลี่ซื่อรังเกียจนางขึ้นมา เช่นนั้นนางคงได้เจอดีแน่

แต่หากนางมิทำตามคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่าและคุณหนูใหญ่ เช่นนั้นก็ถือว่านางฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้านาย

คำสั่งนี้ของฮูหยินผู้เฒ่ามาได้ทันเวลา ป้าซุนจึงรู้สึกซาบซึ้งมิน้อย

ในตอนนี้อันหลิงเกอได้กล่าวขึ้น น้ำเสียงของนางดังกังวานและน่าฟังแม้อยู่ในฤดูร้อนเช่นนี้

นางมองหลี่อี๋เหนียงที่ลุกขึ้นจากพื้นก่อนจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ริมฝีปากเงางามค่อย ๆ ขยับ ดวงตาล้ำลึกดูเข้มงวด “หลี่อี๋เหนียง เหตุใดท่านต้องเปลี่ยนตัวยาในน้ำซุปของท่านย่า ? ”

ประโยคนี้ชี้โทษอย่างชัดเจนแล้ว แต่หลี่ซื่อจักรับไว้ได้อย่างไร ?

นางจึงเม้มปาก ริมฝีปากซีดขาวที่เกิดจากความตกใจเมื่อครู่เริ่มกลับสู่ปกติ “คุณหนูใหญ่ คนเราจักกล่าวหาหรือทำอันใดต้องมีหลักฐาน เจ้าเองก็ไร้หลักฐานยืนยันใด ๆ แล้วเหตุใดจึงกล่าวว่าข้าเป็นผู้ร้าย ? ”

เรื่องนี้นางมอบให้เถ่าหงไปจัดการทั้งหมด มิเคยยุ่งเกี่ยวแม้แต่น้อย อันหลิงเกอมิสามารถนำหลักฐานอันใดออกมาได้ หากใช้สัตว์เดรัจฉานเพียงตัวเดียวมากำหนดโทษตน มิใช่ว่าเพ้อฝันมากไปหรือ!

“หากท่านมิได้เปลี่ยนยาของท่านย่า แล้วเหตุใดสุนัขที่ดมกลิ่นยาถึงพุ่งไปที่ตัวท่าน ? ” อันหลิงเกอมีสีหน้าจริงจัง ดวงตาคู่นั้นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง จดจ้องหลี่อี๋เหนียงเอาไว้

หลี่ซื่อกลอกตา ครู่เดียวก็นึกคำแก้ตัวออกมาได้ “ประโยคนี้ของคุณหนูใหญ่ถูกต้อง สุนัขพุ่งมาที่ข้าจนเกือบทำให้ข้าตกใจหมดสติไป ข้ายังมิได้กล่าวโทษการกระทำของคุณหนูใหญ่ กลับเป็นคุณหนูใหญ่ที่เริ่มสอบสวนความผิดข้าเสียแล้ว”

แววตานางดูกลุ้มใจและลำบากใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการโทษคนอื่น “ มิต้องกล่าวถึงว่าจมูกของสุนัขตัวนี้ไวจริงหรือไม่ เพียงกล่าวว่ายาตัวนั้นผ่านมือเว่ยซื่อมาก่อน หากสุนัขดมกลิ่นมิเข้าไปหาเว่ยซื่อก็เห็นได้ชัดว่ามันโง่เขลา ! ”

“คุณหนูใหญ่เพียงใช้สุนัขจมูกมิดีตัวหนึ่งมากำหนดโทษของข้า นี่มิเหลวไหลไปหน่อยหรือ”

หนังตาของอันหลิงเกอกระตุก เมื่อครู่นางได้โปรยของบางอย่างไปที่หลี่อี๋เหนียง ตอนที่พาสุนัขเข้ามาก็ตั้งใจเข้าใกล้สุนัขเพื่อให้สุนัขได้กลิ่นในมือของตน จากนั้นค่อยพุ่งไปหาหลี่อี๋เหนียง แต่นางลืมเรื่องที่เว่ยอี๋เหนียงก็เคยสัมผัสยามาก่อน

ทว่าท่าทีของหลี่อี๋เหนียงน่าสงสัย ทั้งจวนมีแต่นางที่มีโอกาสวางยาฮูหยินผู้เฒ่า อันหลิงเกอจึงมิอาจถูกทำให้ถอยได้โดยง่าย

“อาจเป็นเพราะในตัวหลี่อี๋เหนียงมีกลิ่นของยารุนแรงใช่หรือไม่ ? สุนัขจึงละเลยกลิ่นยาที่ติดอยู่บนตัวเว่ยอี๋เหนียง” อันหลิงเกอยกยิ้มมุมปากขึ้นมา รอยยิ้มของนางราวกับสามารถดึงวิญญาณของคนได้ หลี่อี๋เหนียงถูกมองจนรู้สึกเย็นเหมือนถูกจดจ้องโดยผีร้ายก็มิปาน

สิ่งที่นางอธิบายนี้มิใช่ว่าไร้เหตุผลไปเสียทั้งหมด เมื่อครู่นางได้ลอกขมิ้นแห้งออก กลิ่นแรงนั้นทำให้ทุกคนยังจำได้

ฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อคำกล่าวของอันหลิงเกอทันที มิใช่สิ นางยังมิเชื่อมากนักแต่เพราะเริ่มสงสัยหลี่ซื่อมาก่อนแล้วมากกว่า

ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าบ่าวทั้งจวนมิมีผู้ใดกล้าวางยาพิษตนแน่นอน นอกเสียจากว่าได้รับคำสั่งจากเจ้านายบางคน

และเจ้านายของบ่าวทั้งจวนนี้ เมื่อคิดรวมทั้งเด็กและผู้ใหญ่แล้วคนที่เกลียดตนก็มีแค่หลี่ซื่อผู้เดียว

เดิมทีนางมิพอใจเว่ยซื่อ เหตุเพราะสงสัยอีกฝ่ายไปแล้ว แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือเว่ยซื่อทำงานมิรอบคอบจนทำให้ผู้อื่นฉวยโอกาสเข้ามาวางยาพิษตนได้

ทว่าตอนที่สุนัขกัดหลี่ซื่อไว้มิยอมปล่อยก็ทำให้ในใจฮูหยินผู้เฒ่ามีความคิดเห็นอื่นเกิดขึ้น

ดังนั้นคนที่วางยาพิษนางต้องเป็นหลี่ซื่อมิผิดแน่!