ครั้นเป่ยเฉินอี้ตอบ สีพระพักตร์ฮ่องเต้เปลี่ยนไปทันที
พระองค์เข้าใจว่าเป่ยเฉินอี้คิดจะเอ่ยอะไร
เป่ยเฉินอี้กล่าวต่อไปตามที่พระองค์คาดไว้ “ต่อให้ทำเพราะความยุติธรรมของบิดา องค์ชายสี่ต้องการกำลังทหารสองแสนนายนี้ เสด็จพี่มอบให้เขาก็ไม่เกินเลย ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของหลานสี่ ขอเพียงมีตาก็เห็นแล้ว ภายหน้าอาจช่วยงานเสด็จพี่ได้อย่างมาก ในเมื่อเขายอมลงแรง ไฉนเสด็จพี่ต้องขัดขวางด้วยเล่า”
ผลกระทบของเป่ยเฉินอี้ที่มีต่อราชสำนักนั้นมิใช่น้อยเลย
นั่นก็เป็นชีวิตของเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เขาช่วยราชสำนักเป่ยเฉินวางแผน ล้วนไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ดังนั้นเหล่าขุนนางใหญ่ต่างก็เชื่อคำวิเคราะห์ของเขา
ไม่ช้าก็มีขุนนางใหญ่ก้าวออกมาสนับสนุนว่า “ถูกแล้ว ฝ่าบาท ไม่ว่าด้วยความสัมพันธ์หรือตามเหตุผล การมอบกำลังทหารสองแสนนายให้องค์ชายสี่ก็หาใช่เรื่องเกินเหตุ ดังนั้นกระหม่อมเห็นด้วยกับคำพูดของอี้อ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดของอี้อ๋องมีเหตุผลออกมิใช่หรือ องค์ชายใหญ่และองค์ชายสี่ล้วนกำเนิดจากฮองเฮา มีฐานะสูงศักดิ์ องค์ชายใหญ่ควบคุมกำลังทหารหกแสนนาย จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยกกำลังทหารสองแสนนายให้องค์ชายสี่
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความสามารถขององค์ชายสี่ ใครต่างก็ประจักษ์ หากเขายอมทำเรื่องเล็กๆ เพื่อราชสำนักเป่ยเฉิน แค่เพียงกระดิกนิ้วก็ยังมีประโยชน์มากกว่าองค์ชายใหญ่ทุ่มเทแรงกายทั้งหมดด้วยซ้ำ
พวกเขาต่างก็มั่นใจในความสามารถขององค์ชายสี่กันทั้งนั้น อย่างไรบุรุษที่ทำให้ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักเห็นแล้วตกใจจนขาสั่นเช่นเขา ไฉนเลยจะมีเพียงวรยุทธ์สูงส่งเท่านั้นเล่า
“กระหม่อมก็เห็นว่าคำพูดของอี้อ๋องมีเหตุผลนัก!”
เหล่าขุนนางทั้งหลายเริ่มสนับสนุนทันที
ไม่ว่าจะเป็นคนฝั่งจงซาน หรือคนฝั่งซือถูจ้าว ในเวลานี้ต่างก็ยืนข้างเดียวกับเป่ยเฉินอี้
ด้วยเหตุนี้สถานการณ์จึงเปลี่ยนไปแล้ว ทั่วทั้งท้องพระโรงนอกจากซือถูจ้าวก็ไม่มีใครคัดค้านอีก
เซี่ยโหวเฉินมองคนทั้งหลายก็ขมวดคิ้ว
แค้นที่ตัวเองไม่เข้าใจว่าไฉนสถานการณ์ถึงต่างจากที่คาดไว้มากนัก เดิมทีเขาคาดการณ์ไว้ว่า หลังจากงานแต่งของเยี่ยเม่ย เป่ยเฉินอี้จะต้องคอยเป็นปรปักษ์กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทุกๆ ด้านแน่นอน
หรือว่าเป่ยเฉินอี้วางแผนการอื่นที่เขาไม่รู้อีก
ไม่อาจไม่บอกว่าสำหรับอาจารย์ผู้นี้ ต่อให้เซี่ยโหวเฉินมั่นใจว่าสติปัญญาของตนหาน้อยคนในโลกที่เทียบเคียงได้ แต่ว่าสำหรับเป่ยเฉินอี้ เขากลับมองไม่ออกเลยสักนิด ทุกครั้งล้วนแต่หลงคิดว่าตัวเองมองอีกฝ่ายออกแล้ว
เมื่อยื่นมือออกไปก็คว้าได้เพียงหมอกกลุ่มหนึ่ง กระทั่งพบว่าตัวเองไม่ทันระวังตกสู่หลุมพรางของอีกฝ่าย
คล้ายกับครั้งก่อนที่เขาวางแผนให้เป่ยเฉินอี้เปิดศึกกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ชายแดน คิดไม่ถึงว่าเป็นการตกหลุมพรางของเป่ยเฉินอี้
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเป่ยเฉินอี้ต้องสู้กันจนตายไปข้าง ผลคือสถานการณ์ดันเปลี่ยนไป
สถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าพูดมากความอีก พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เขาสมควรคิดว่าที่สุดแล้วเป่ยเฉินอี้จะทำอะไรกันแน่ คิดวางแผนการต่อฝ่าบาทหรือว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกันแน่ ยังมีอีกเรื่องคือวันนี้องค์ชายใหญ่เกิดสติฟั่นเฟือนอะไรขึ้นมา ถึงได้ช่วยเป่ยเฉินเสียเยี่ยน สมองของเขาถูกม้าเหยียบเละไปแล้วหรือไง
เซี่ยโหวเฉินกำลังครุ่นคิด
ดังนั้นจึงไม่มีใครก้าวออกมา ช่วยฮ่องเต้คลี่คลายสถานการณ์
หลังจากสีพระพักตร์สลับเปลี่ยนไปหลายครั้ง พระหัตถ์กำตราพยัคฆ์แน่น ยังทรงไม่ยินยอมมอบออกไปง่ายๆ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองฮ่องเต้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “วันนี้ลูกกำลังจะสร้างครอบครัว เยี่ยเม่ยเป็นเหอซั่วอ๋อง ส่วนลูกกลับเป็นองค์ชายที่ไร้กำลังอำนาจ ลูกไม่อาจสู้หน้านางได้ หวังว่าเสด็จพ่อเห็นแก่ที่ลูกกำลังจะแต่งงาน ยอมรับคำขอของลูก ความเมตตาของเสด็จพ่อ ลูกจะจดจำเอาไว้”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแสดงความเห็น
คนที่ระแวงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีความคิดเป็นอื่นก็คลายใจลง
ฮ่องเต้เองก็ทรงรู้สึกเบาพระทัยความจริงพระองค์ไม่ใช่ไม่กังวลว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะชิงอำนาจ แต่เมื่อเข้าใจความต้องการของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เพียงทำเพื่อแต่งภรรยาเท่านั้น ไม่อาจให้เขาถูกภรรยาดูแคลน
เห็นท่าทางเป่ยเฉินเสียเยี่ยนใส่ใจเยี่ยเม่ย ฮ่องเต้ก็คิดว่าคำพูดนี้มีเหตุผล ไม่ผิด เมื่อมองสตรีเข้มแข็งร้ายกาจอย่างเยี่ยเม่ย บุรุษใต้หล้ามีไม่กี่คนที่สยบนางได้ หรืออาจบอกว่ากล้าทำให้นางสยบได้
ยิ่งคิดถึงความองอาจผ่าเผยก่อนหน้านี้ ก็ยิ่งต้องเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ มิฉะนั้นก็ไม่คู่ควรกับนางแล้ว
ฐานะองค์ชายสี่ที่ไร้อำนาจ ทำให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรู้สึกไม่สงบก็เป็นเรื่องปกติ
ฮ่องเต้ครุ่นคิดแล้ว สรุปในมือพระองค์ยังมีกำลังทหารอีกสี่แสนนาย และมีแม่ทัพทั้งสี่ที่กุมกำลังทหารสี่แสน ทั้งยังจงรักภักดีต่อพระองค์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้มอบทหารสองแสนนายให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็แค่ทำเพื่อตัวเองเล็กๆ น้อยๆ อีกอย่างหากมอบทหารสองแสนนายออกไปแลกกับความจงรักภักดีของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แลกเอาเสาหลักชั้นดีมาให้ราชสำนักเป่ยเฉินได้ พระองค์ก็มิขาดทุนมิใช่หรือ
ดังนั้น
หลังจากครุ่นคิดอย่างยาวนาน สุดท้ายฮ่องเต้ทรงพยักหน้า “ในเมื่อองค์ชายสี่มีใจ คิดขอของขวัญแต่งงานกับเสด็จพ่ออย่างข้า อี้อ๋องกับขุนนางทั้งหลายต่างเห็นชอบ กระทั่งองค์ชายใหญ่ยังเห็นด้วย อย่างนั้นข้าก็อนุญาต มอบตราพยัคฆ์นี้ให้กับเจ้า !”
ฮ่องเต้ตรัสพลางส่งตราพยัคฆ์ให้หัวหน้าขันที
หัวหน้าขันทีนำตราพยัคฆ์ไปมอบให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน
หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับไว้ ก็คุกเข่าลง “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”
ด้วยท่าทีเคารพและสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอย่างถึงที่สุดนี้ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรได้แต่รู้สึกว่าตราพยัคฆ์นี้มิได้มอบออกไปอย่างเสียเปล่า ทหารสองแสนนายแลกกับท่าทางของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่มีต่อพระองค์เช่นนี้ นับว่ากำไรแล้วใช่ไหม
ฮ่องเต้รีบตรัสว่า “ลุกขึ้นเถอะ!”
ยามนี้เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างอดไม่ไหว เขาทำได้อย่างที่บอก ซื้อความไว้วางใจฮ่องเต้เพื่อช่วยนางกอบกู้บ้านเมือง
ชั่วขณะนั้นเยี่ยเม่ยพลันลังเล นางเลือกเขา เลือกที่จะส่งเขาเข้าสู่วงเวียนการแก้แค้น เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่
ฮ่องเต้ตรัสว่า “ในเมื่อไม่มีเรื่องอันใดอีก วันนี้ก็เลิกประชุมได้ งานอภิเษกขององค์ชายสี่และเหอซั่วอ๋องใกล้จะจัดขึ้นแล้ว หลายวันนี้พวกเจ้ามิต้องเข้าประชุมเช้าอีก ต่างไปจัดเตรียมงานเถอะ ข้าจะรอดื่มเหล้ามงคลของพวกเจ้า!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
……
หลังเลิกประชุมเช้า
เพิ่งพ้นประตูวังมาได้ไม่นาน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ติดตามฝีเท้าเยี่ยเม่ยไป คว้าแขนนางไว้ วางตราพยัคฆ์ที่ฮ่องเต้เพิ่งประทานให้ไว้ในมือนาง
เยี่ยเม่ยจ้องตราพยัคฆ์ หัวใจสั่นไหว “นี่นับเป็นของขวัญแต่งงานหรือ”
“ใช่ นับทุกอย่างเลย!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มน่ามอง เอ่ยช้าๆ ว่า “ของขวัญแต่งงาน นับตั้งแต่บัดนี้ไป เยี่ยนจะค่อยๆ มอบให้เจ้าทีละนิด เยี่ยนจะแย่งชิงใต้หล้ามาไว้ในมือเจ้า!”