บทที่ 351 ไร้เหมันต์ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 351 ไร้เหมันต์ (1)

ด้านในสวนหิมะม่วง บรรยากาศรอบๆ ป้ายหินกดดันอยู่บ้าง

เวลานี้ยอดฝีมือแต่ละกลุ่มจากแต่ละเส้นทาง ที่เดินทางมาไกล จ้องมองบุรุษหนุ่มที่อยู่ข้างป้ายหินเขม็ง ศาลาและบนพื้นที่อยู่รอบๆ เต็มไปด้วยแขนขา คนจำนวนไม่น้อยดิ้นพล่านพลางร้องโอดโอยอยู่บนพื้น สถานที่ที่ตื้นหน่อยเจิ่งนองด้วยเลือด มองไกลๆ เป็นสีแดงฉาน ให้ความรู้สึกกระทบกระเทือนต่อสายตาถึงขีดสุด

ไป๋ลู่อิงรู้สึกว่าตัวเองคำนวณพลาดไป ถ้าหากก่อนหน้านี้ยอมร่วมมือกับคนพวกนั้นกลุ้มรุมลู่เซิ่ง เพราะต้องการหยั่งเชิงและไม่ยอมรับอีกฝ่าย อย่างนั้นตอนนี้นางก็สำนึกเสียใจโดยสมบูรณ์แล้ว

แค่มองด้วยสายตา นางก็รู้สึกได้แล้วว่าบนผิวหนังตนเกิดความปลวดแปลบราวถูกปลายมีดทิ่มแทง แค่จุดนี้ นางก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมีพลังมากกว่าที่นางจินตนาการ

ไป๋ลู่อิงเหลือบมองคนที่อยู่รอบๆ ด้วยหางตา เวลานี้แยกแยะเหล่าผู้ร่วมมือที่ก่อนหน้านี้ยังอยู่ไม่ออก พวกเขาปะปนในกลุ่มคน ยังไม่เอ่ยถึงว่าจะหาเจอหรือไม่ แค่แยกแยะว่าคนยังอยู่รึเปล่าก็ยังทำไม่ได้

“คุณชายลู่ ท่านชนะแล้ว” นางถอนใจอย่างจนปัญหา ครั้นเห็นกระบี่บนมือลู่เซิ่งถูกชักออกมามากกว่าครึ่ง พร้อมจะลงมือตลอดเวลา ในที่สุดนางก็ยอมแพ้

ลู่เซิ่งกำลังจะใช้กระบี่ พอได้ยินไป๋ลู่อิงกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนที่อีกฝ่ายเจอเขาจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สุดท้ายกลับยอมถอยเอง ซึ่งความจริงเขาก็ไม่อยากฆ่าอีกฝ่ายเช่นกัน ถ้าหากว่าในกลุ่มคนจำนวนมากขนาดนี้มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่ อย่างนั้นก็คงปกปิดเรื่องที่เขาฆ่าศิษย์สำนักที่เป็นพันธมิตรไม่ได้

ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ดวงตาเคลื่อนผ่านยอดฝีมือในยุทธภพจากขุมกำลังท้องถิ่นเหล่านั้น

“ในเมื่อทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง แล้วจะยังอยู่ที่นี่อีกทำอะไร” เขาเริ่มไล่คนอย่างไม่เกรงใจ

คนที่อยู่รอบๆ เงียบเสียง จากนั้นก็มีคนส่งเสียงอย่างไม่เกรงใจทันที

“พวกเรามีคนและมียอดฝีมือตั้งมากมาย ผู้อาวุโสเสิ่นกับประมุขพรรคจูล้วนอยู่ ยังกลัวมันที่มาคนเดียวด้วยหรือ”

“ถูกต้อง พวกเรามีผู้เข้มแข็งตั้งมากมาย ต่อให้ก่อนหน้านี้พลังของเขาจะเหี้ยมหาญ แต่ว่าหลังจากสังหารสหายร่วมเส้นทางไปมากมายขนาดนั้น จะต้องหมดแรงแล้วแน่! หากบุกตอนนี้จะเป็นโอกาสของพวกเรา! หอกเหล็กน้ำเงินสวรรค์ของหมู่บ้านตระกูลหวงเหมาะกับการลงมือซึ่งหน้าที่สุด มิสู้ขอให้ประมุขหมู่บ้านตระกูลหวงลองดูสักหน่อย”

“อู๋เหล่าซัน กล่าววาจาลื่นไหลนัก เหตุใดเจ้าไม่เข้าไปเองเล่า” เห็นได้ชัดว่าประมุขหมู่บ้านตระกูลหวงไม่ยอม

แค่มองดูแขนขาอาบเลือดซึ่งมีอย่างน้อยยี่สิบกว่าคู่บนพื้น ก็รู้แล้วว่าบุรุษหนุ่มที่ถือกระบี่ผู้นี้โหดเหี้ยมขนาดไหน

แม้แต่ผู้อาวุโสเสิ่นก็ไม่พูดอะไรสักคำ ประมุขพรรคเทพมังกรเองก็คอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบๆ พวกเขาย่อมไม่มีทางออกหน้า

มือดีที่เหลือล้วนเงียบเสียง คนที่โหวกเหวกโวยวายกลับเป็นพวกพรรคเล็กพรรคน้อยในระดับชั้นที่อ่อยด้อยกว่าของวงการมืดที่ไม่กลัวตาย

ลมแรงขึ้นเรื่อยๆ คนที่มารวมตัวกันอยู่รอบๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกมีมากกว่าร้อยคน ต่อจากนั้นกลุ่มคนก็ยิ่งมายิ่งเบียดเสียด

หากมองไปรอบๆ จากตำแหน่งที่ลู่เซิ่งยืนอยู่ จะเห็นแต่ศีรษะมนุษย์ ใบหน้าของคนที่มองเห็นล้วนเหี้ยมเกรียม หรือไม่ก็มีแผนการ

ลู่เซิ่งมองราชากระบี่เสิ่น ชายชราผู้นี้ผุดสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดไม่จา คล้ายกับเข้าฌานไปแล้ว เห็นปลายจมูกและหนังตาของเขากระตุกเล็กน้อย ก็รู้ว่าเขาคงสัมผัสได้แล้วว่ามียอดฝีมือมองเขาอยู่ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงนิ่งเฉย

ลู่เซิ่งขบขันเล็กน้อย พลังวรยุทธ์ของโลกเล็กๆ ใบนี้อ่อนแอถึงขีดสุด เยอะสุดก็แค่ระดับฟ้ากำเนิดอย่างชายชราผู้นี้ อย่าว่าแต่เปรียบเทียบกับเขา แม้แต่เทียบกับพวกไป๋ลู่อิง ก็ยังเทียบไม่ติด

คนกลุ่มนี้ห้อมล้อมเขาไว้เป็นชั้นๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกับลูกเจี๊ยบกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมผู้ใหญ่คนหนึ่งเอาไว้ พวกเขาไม่รู้เลยว่าตนใช้เพียงหนึ่งกระบี่ ก็สามารถสังหารคนมากกว่าเก้าส่วนที่อยู่รอบๆ ได้อย่างง่ายดาย

“จ้าวเฉิงซวน?!” อยู่ๆ ในกลุ่มคนก็มีเสียงอุทานดังมา

ลู่เซิ่งงุนงง จากนั้นก็จำสถานะของร่างกายนี้ได้ เป็นจ้าวเฉิงซวนนั่นเอง จากนั้นเขาจึงค่อยมองไปยังต้นเสียง

เห็นคนสามคนที่มีทหารสวมเกราะรบกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมอยู่รอบๆ ตัวในด้านหลังฝูงชนกำลังมองมายังทางนี้

สามคนนั้นคือจ้าวเฉิงเย่ จ้าวเฉิงเฟิ่ง และลุงรองจงหยวนกุย

จงหยวนกุยผู้นี้สาบานเป็นพี่น้องกับบิดาของพี่น้องทั้งสาม วิชาหอกหนักลงอาชาของเขาสูงส่งเลิศล้ำ เฉลียวฉลาดแต่แสร้งเป็นคนโง่ มีชื่อเสียงโด่งดังไม่เบาทั้งในกองทัพและในยุทธภพ

“เฉิงซวน เจ้าไปตรงนั้นทำไม ยังไม่รีบมาอีก!?” สีหน้าของจงหยวนกุยเปลี่ยนแปลง ตวาดเสียงเฉียบขาด

อย่างไรก็เป็นลูกของพี่ใหญ่ เกิดว่ามีอันเป็นไป เขาก็ไม่รู้จะพูดกับพี่ใหญ่อย่างไรดี

ลู่เซิ่งยิ้มๆ ไม่ได้ขานตอบ ถือกระบี่พลางเข้าใกล้ป้ายหิน เริ่มรอคอยให้โอกาสมาถึงอย่างสงบ

พวกจงหยวนกุยเห็นเขาไม่ตอบสนอง ก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย นึกว่าจำคนผิด จึงเงียบเสียงไปชั่วคราว

สถานการณ์จึงชะงักงันในลักณะนี้

ราชากระบี่เสิ่นกับประมุขพรรคเทพมังกรจูซื่อเต๋อเริ่มช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่นานก็ย้ายคนพิการที่อยู่รอบๆ ป้ายหินออกไปจนหมด เหลือแค่เลือดที่เหมือนแอ่งน้ำกับพื้นดินที่เป็นสีแดงก่ำ

ท้องฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ใกล้จะเช้าแล้ว

อาวุธเทพไม่อาจเคลื่อนไหวตอนฟ้าสว่าง นี่จึงหมายความว่ามันอาจจะใกล้ปรากฏตัวแล้ว หลังจากใกล้ได้เวลา ลู่เซิ่งก็เริ่มเพิ่มความระมัดระวัง ไม่ใช่เพื่อป้องกันใคร แต่เพื่อไม่ปล่อยให้อาวุธเทพหนีหาย

เคร้ง!

ทันใดนั้นก็มีเสียงใสดังมาจากด้านในป้ายหิน

ลู่เซิ่งลืมตาในฉับพลัน ก่อนจะยื่นมือคว้าใส่ป้ายหิน

เปรี้ยง!

ไม่รอให้เขาคว้าถึง ป้ายหินก็ระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นพร้อมกับแตกออกเป็นสี่ห้าส่วน แสงสีแดงแยงตาสาดออกมาจากด้านในก่อนจะพุ่งขึ้นฟ้า หมายจะบินไปยังทิศตะวันตก

“คิดหนีรึ!” ลู่เซิ่งกระโดดลอยตัวขึ้นไปเหมือนกับลูกศร

ไป๋ลู่อิงกับหลายๆ คนในกลุ่มคน ทะยานขึ้นฟ้าไล่ตามไปติดๆ

มีหลายคนเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ราชากระบี่เสิ่นกับจูซื่อเต๋อทันแค่ชักอาวุธและวิ่งออกไปสองก้าวเท่านั้น จากนั้นก็เห็นอาวุธเทพที่หลายๆ คนไล่ตาม หายไปจากฟ้าไกลอย่างตกตะลึงพรึงเพริด

“นี่…นี่มัน…!”

จูซื่อเต๋อก้มมองป้ายหิน รู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตมาหลายสิบปีอย่างเสียเปล่า คนที่อยู่ๆ ก็ระเบิดพลังออกมาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงกลุ่มนี้ต่างมีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้เชียว

“ยุทธภพช่างลึกล้ำไม่อาจหยั่งคาดจริงๆ…” ราชากระบี่เสิ่นเดินมาพร้อมกับเสียบกระบี่กลับไปด้านหลัง เขาส่ายหน้าอย่างจนปัญญา แล้วหมุนตัวจากไป

พอยอดฝีมือในยุทธภพเห็นภาพที่คนโจนทะยานขึ้นไปดั่งวิหคด้วยความเร็วสูงเมื่อครู่ ต่างก็ล้วนแตกตื่นตกใจ

จ้าวเฉิงเย่กลืนน้ำลายแล้วมองดูพี่ใหญ่กับลุงรองที่นิ่งอึ้งอยู่กับที่

“นั่นต้องไม่ใช่น้องสามแน่ สมควรแค่หน้าตาคล้ายกัน”

“นึกไม่ถึงว่าใต้หล้าจะมีคนที่เหมือนกับน้องสามถึงเพียงนี้” จ้าวเฉิงเฟิ่งกล่าวอย่างตกใจ

“แยกย้ายเถอะ ในเมื่อสู้ไม่ไหว แถมอาวุธเทพยังหนีไปแล้ว ในเมืองก็คงไม่วุ่นวายอีกแล้ว เป้าหมายของพวกเราบรรลุแล้ว” จงหยวนกุยกล่าวเสียงทุ้ม

“รับทราบ”

แสงสีแดงพุ่งทะลุไปครึ่งท้องฟ้า ทั้งยังเจาะทะลวงเมฆขาวหลายกลุ่ม บินไปยังที่ไกล

ลู่เซิ่งไล่ตามไปติดๆ ปราณจริงแท้ล่องหนรวมตัวกันกลายเป็นบันไดใต้เท้าเพื่อให้เขาใช้เหยียบย่ำยืมพลัง ทุกๆ ครั้งที่เขายืมพลัง จะสามารถพุ่งไปด้านหน้าได้ระยะหนึ่ง

หลังจากเข้าใกล้ เขาจึงค่อยเห็นชัดว่าสิ่งที่แสงสีแดงนี้ห่อหุ้มไว้เป็นลูกดอกปลายแหลมสีแดงที่ยาวเท่าฝ่ามือ ไข่มุกสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่งฝังอยู่บนลูกดอก รอบๆ สลักอักขระหวัดๆ ที่เรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ไว้

“ศิษย์พี่ลู่ พวกเราร่วมมือกันดีกว่าหรือไม่ พวกเราจะไปรออยู่ด้านหน้า ส่วนท่านขับไล่มันมาจากด้านหลัง” ไป๋ลู่อิงส่งเสียงอย่างไม่ยินยอมอยู่ด้านหลัง “ท่านไม่ต้องห่วง อาวุธเทพเป็นของท่าน พวกเราแค่อยากได้การประเมินที่ดีหน่อยก็เท่านั้น”

“ไสหัวไป!” ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจพวกนาง เขายังไม่รู้ความคิดของคนกลุ่มนี้อีกหรือ ร่วมมือบ้าบออะไร ยังไม่ใช่เพื่อหาโอกาสแบ่งน้ำแกงหรือ

“ศิษย์พี่ลู่ออกจะหักหาญน้ำใจเกินไปกระมัง” ไป๋ลู่อิงขมวดคิ้วกล่าว

ควับ!

ลู่เซิ่งหมุนตัวมาฟันกระบี่ใส่กลุ่มคนด้านหลังอย่างฉับพลัน

ฟ้าวๆๆ!

อากาศถูกฟันเป็นคลื่นอากาศสีขาว คลื่นอากาศรวมตัวกันกลายเป็นคมกระบี่ จากนั้นก็พุ่งใส่ร่างคนหลายคน

ทุกคนรับมือไม่ทัน เยื่อดำปรากฏบนร่างเพื่อป้องกันรังสีกระบี่ ทว่าก็ถูกพละกำลังอันมหาศาลหยุดยั้งเอาไว้ ทำให้ความเร็วช้าลงจนไล่ตามไม่ทันอีก

ไป๋ลู่อิงยิ่งเป็นเป้าหมายที่ได้รับความเอ็นดูมากเล็กน้อย

นางหลบพ้นรังสีกระบี่อย่างตื่นตระหนก แล้วค่อยปรับสมดุลร่างกายที่ถูกฟันจนเวียนหัวได้อย่างยากลำบาก จากนั้นก็มองลู่เซิ่งที่ขนาดหดเล็กลงด้วยความเร็วสูง

“บ้าจริง!”

“ถ้าไม่ใช่ไม่อนุญาตให้พันธมิตรลงมือต่อสู้กันเอง วันนี้ข้าคงฉีกมันทั้งเป็นไปแล้ว!” ศิษย์สำนักผูกวิญญาณที่นิสัยใจร้อนคนหนึ่งกล่าวอย่างเหลืออด

“ฉีกทั้งเป็นหรือ อาศัยเจ้าน่ะหรือ!?” ไป๋ลู่อิงเหลือบมองคนผู้นี้อย่างโมโห

“ทำไม เจ้ามีปัญหาหรือ” คนผู้นั้นยกดาบในมือขึ้น

“เจ้าโง่” ไป๋ลู่อิงไม่เหลือบแลเขาอีก หมุนตัวบินไปยังพื้นด้านล่าง อย่างไรการยืมแรงโดยใช้ปราณจริงแท้ชั่วคราวก็สิ้นเปลืองถึงขีดสุด ไม่อาจรักษาระดับได้นาน

“เจ้า!?” คนผู้นั้นกำลังจะตามไปด้วยความโมโห

สวบ!

ชั่วพริบตานั้นทรวงอกเขาระเบิดเป็นรูเลือด เลือดกระจายไปทั่วฟ้า พริบตาเดียวก็เห็นเขาสีหน้าซีดลง

คนอื่นๆ ต่างก็ตกใจแตกตื่น ไม่รู้ว่าลู่เซิ่งลงมือตั้งแต่เมื่อไหร่

ในหุบเขาสีเขียวขจีที่อยู่ไกลออกไป

เคร้ง

ลู่เซิ่งจับเครื่องหมายเทพมังกรสีชาดไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ไม่สนใจแสงสีแดงปริมาณมากบนผิวนอกของมัน หากลากมันลงไปยังพื้นดิน

“ภารกิจสำเร็จ” เขาใช้มืออีกข้างหยิบผ้าไหมออกมาจากในอก ก่อนจะสะบัดไปด้านหน้าเบาๆ

เสียงเปรี้ยงดังขึ้น ผ้าไหมระเบิดอย่างฉับพลัน กลายเป็นจุดแสงสีขาวผืนใหญ่ครอบคลุมเขาไว้

เงาแสงตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไป ลู่เซิ่งกลับมาอยู่ในห้องศิลาเมื่อก่อนหน้าในพริบตา มือถือลูกดอกสีแดงขนาดสั้นๆ ดอกหนึ่ง

“สำเร็จแล้วหรือ” จางซื่อหลงรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหว จึงพุ่งเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เห็นลูกดอกสีแดงบนมือลู่เซิ่งทันที

“โชคดีที่ทำสำเร็จ” ลู่เซิ่งคลายมือ ปราณจริงแท้ห่อหุ้มลูกดอกไว้เป็นชั้นๆ ปล่อยให้มันลอยอยู่กลางอากาศเช่นนี้ไม่ให้หนีไปไหน

จางซื่อหลงผุดสีหน้าตกใจ

“เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคนที่เข้าไปยังโลกด้านนอกเป็นครั้งที่สองแล้วชิงเป้าหมายภารกิจมาได้ ไม่ต้องดูหรอก การประเมินของเจ้าในครั้งนี้จะต้องสูงที่สุดแน่นอน ต่อให้เป็นในสำนักระดับบน คงมีไม่กี่คนที่เทียบกับเจ้าได้”

“ต่อจากนี้พวกเราเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดเถอะขอรับ” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอน ถ้าราบรื่นอีกสิบวันจะไปถึงจังหวัดไร้เหมันต์” จางซื่อหลงเบิกบานใจ กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ทั้งสองเก็บข้าวของและออกเดินทางอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้จางซื่อหลงได้จับปีศาจกระต่ายมาสองตัว กระต่ายเทาที่สูงเท่าครึ่งคนถูกถลกหนัง ย่างเนื้อ และทาเกลือ จนกลายเป็นอาหารแห้งที่สะดวกที่สุดสำหรับพวกเขา

จางซื่อหลงนึกว่าลู่เซิ่งโชคดีจึงทำภารกิจได้สำเร็จไวขนาดนี้ มีแต่ลู่เซิ่งเท่านั้นที่รู้ว่า ความเร็วของเครื่องหมายเทพมังกรสีชาดนั้นได้ไปถึงระดับฉลักษณ์แล้ว มิหนำซ้ำต่อให้เป็นขั้นพันธนาการระดับฉลักษณ์ ถ้าหากว่าใช้แค่เยื่อดำ แต่ไม่มีการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ความเร็วเพิ่มเติม ก็จะจับของสิ่งนี้ไม่ได้อยู่ดี

และเป็นเพราะความเร็วกับพละกำลังในจุดสูงสุดของระดับสัตตะลักษณ์ เขาถึงได้ไล่ตามและจับอาวุธเทพกลับมาได้อย่างผ่อนคลาย

ความจริงอาวุธเทพชิ้นนี้เป็นแค่ลูกดอกธรรมดาๆ ที่ฝังเศษอาวุธเทพศัสตรามารเอาไว้ แต่กลับถูกเข้าใจว่าเป็นอาวุธเทพในโลกด้านนอกใบนั้นไป

……………………………………….