บทที่ 352 ไร้เหมันต์ (2)
เขตถ่ายทอดความลับ
เสาหินสีเหลืองอ่อนต้นหนึ่งโผล่พรวดขึ้นระหว่างทะเลป่าสีเขียวเข้มอันกว้างใหญ่ มันตั้งตระหง่านอยู่กลางป่าโบราณผืนใหญ่โดยที่เอียงเล็กน้อยเหมือนกับนิ้วมือที่ใหญ่สุดเปรียบปาน แกนกลางที่กว้างมากกว่าพันหมี่ปักเอียงเข้าไปในพื้นดินบนทะเลป่า
ซูหนิงเฟยที่สวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงทิ้งตัวลงไปยืนบนยอดเสาอย่างแผ่วเบา แล้วเดินไปยังป้ายหลุมศพตรงกลางเสาเหมือนคุ้นเคยเป็นอย่างดีพร้อมกับประกายตาที่เย็นเยียบ
ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เส้นแสงแบ่งป้ายหลุมศพออกเป็นหนึ่งบนหนึ่งล่าง หนึ่งสว่างหนึ่งมืด
ซูหนิงเฟยยืนอยู่ด้านหน้าป้ายหลุมศพ พลางเพ่งมองตัวหนังสือบนป้าย บนป้ายศิลาสีขาวขนาดเท่าหนึ่งคนครึ่งมีตัวหนังสือเขียนไว้แค่ไม่กี่ตัว
“ซูเสี่ยวเสี่ยวแจ้งข้าว่าทางเทือกเขาข่งเยี่ยนมีการค้นพบแล้ว ดูเหมือนคำพยากรณ์อาจจะเป็นของจริง” นางพึมพำเบาๆ “อวิ๋นสุยเซียนแห่งทะเลกำหนดจิตไม่มีทางยอมปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ”
นางเงียบงันลง คล้ายกำลังรอคำตอบจากป้ายศิลา
แต่สุดท้ายป้ายศิลาก็เป็นแค่ป้ายศิลา ย่อมไม่อาจตอบกลับ
ครู่ต่อมาซูหนิงเฟยก็หลับตา
“ท่านหวังให้ข้าสังหารนาง หรือให้ปล่อยนางไป”
“หนิงเฟย เจ้าจะลงมือให้ได้จริงๆ หรือ อย่างไรอวิ๋นสุยเซียนก็เป็นลูกสาวของเขานะ” เงาแสงสายหนึ่งพลันทิ้งตัวลงบนยอดเสาเหมือนกัน มันอยู่ห่างจากซูหนิงเฟยไม่ไกลนัก กลับเป็นบุรุษหนุ่มที่มีบุคลิกบริสุทธิ์ และสวมเสื้อโปร่งบางสีขาว
กลางหว่างคิ้วบุรุษมีรอยสีเขียวจุดหนึ่งติดอยู่ ปีกจั๊กจั่นสี่ข้างในสภาพกึ่งโปร่งแสงปรากฏด้านหลังเขาอย่างเลือนราง
“เจ้ามาหาเขาที่นี่ทุกปีเพื่อกดดันให้ตัวเองตัดสินใจแบบนี้” เขากล่าวเสียงอ่อนโยน ใบหน้าเขาหล่อเหลางดงามถึงขีดสุด อีกทั้งสีหน้าสายตายังไร้กลิ่นอายของบุรุษเพศแม้แต่น้อย กลับแฝงความอ่อนโยนและละเอียดอ่อนดั่งสายน้ำ
“ข้ารักเขา แต่ก็เกลียดเขาเหมือนกัน” ซูหนิงเฟยลืมตาอย่างสงบ “คนเราเมื่อทำผิดก็ต้องรับโทษ หมิงซัน เจ้ารู้จักนิสัยของข้าดี”
ดวงตาของบุรุษผู้อ่อนโยนฉายแววจนปัญญา
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสลัว เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า ท้องฟ้าในวันนี้มีแสงดาวโผล่มาเป็นจุดๆ
“ยังจำการนัดหมายที่พวกเราตกลงกันในตอนนั้นได้หรือไม่ ใต้ซุ้มองุ่น ดวงอาทิตย์วันนั้นงดงามยิ่ง เขาส่งแหวนสีม่วงที่ฝังพลอยสีม่วงวงนั้นให้เจ้า ตอนนั้นข้ายังเมาสุราเซียนอยู่ เพียงแต่พวกเรากลับดื่มสุราผลไม้ชั้นเลวอย่างเบิกบานยิ่ง…”
ซูหนิงเฟยเงียบงันไม่เปล่งวาจา
บุรุษถอนใจเฮือกหนึ่ง
“พันไม่ควร หมื่นไม่ควร ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราเดิมไม่ควรห่างเหิน ตอนนี้ข้าได้ข่าวมาว่า พี่สาวของเขา…หลุดพ้นพันธนาการแล้ว…”
ซูหนิงเฟยม่านตาหดตัวในทันใด
“ถ้าหากได้รับข่าว เจ้าคิดว่านางจะทำอย่างไร” บุรุษกล่าวเสียงแผ่ว เขาไม่พูดอะไรอีก หากเดินไปด้านหน้าป้ายศิลา ก่อนจะก้มตัววางดอกไม้สดที่กลีบอยู่ในลักษณะกึ่งโปร่งแสงช่อหนึ่งลงหน้าป้ายศิลาอย่างแผ่วเบา
…
หลังจากไม่มีอะไรต้องเสียเวลาแล้ว ลู่เซิ่งกับผู้อาวุโสจางซื่อหลงก็ตัดทะลุเทือกเขากระดิ่งดำ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังนครจังหวัดด้วยความเร็วทั้งหมด
ด้านหลังเทือกเขากระดิ่งดำเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ชื่อว่าทรายแดง ในแม่น้ำมีจอมปีศาจควบคุม เป็นขุนนางปีศาจที่ต้าอินได้สถาปนาไว้ อีกทั้งยังก่อตั้งค่ายกลขนาดมหึมาเพื่อไม่ให้สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาบินข้ามท้องฟ้าเหนือแม่น้ำทรายแดง
จางซื่อหลงกำลังจะพาลู่เซิ่งข้ามไปฝั่งตรงข้ามโดยที่คิดจะว่าจ้างเรือใหญ่ลำหนึ่งในตำบลทรายแดงที่อยู่ริมทะเลสาบ กลับเจอพ่อค้าร่ำรวยคนหนึ่งที่เตรียมจะข้ามฝั่งเหมือนกันเข้าพอดี
พ่อค้าร่ำรวยผู้นี้จดจำจางซื่อหลงได้ เป็นสหายสนิทที่คบหากับเขาในตอนที่ปิดบังสถานะพ่อค้า คนผู้นี้กำลังจะไปยังเมืองไร้เหมันต์เช่นกัน ดังนั้นจึงเชื้อเชิญคนทั้งสองขึ้นเรือด้วยความกระตือรือร้น
จางซื่อหลงจึงถือโอกาสพาลู่เซิ่งร่วมทางกับพวกเขา
…
ด้านนอกกราบเรือ คลื่นน้ำซัดกระทบอย่างต่อเนื่องจนเกิดเสียงใส
ลู่เซิ่งกับจางซื่อหลงกำลังยืนชมทิวทัศน์บนแม่น้ำอยู่บนดาดฟ้าเรือ
“หลังจากผ่านแม่น้ำสายนี้ไป ก็จะเป็นนครจังหวัดไร้เหมันต์ ทางนั้นแตกต่างกับพวกเรา” จางซื่อหลงทอดตามองฝั่งแม่น้ำที่เข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงจะชอบบรรยากาศของที่นั่นมากแน่”
“อ้อ? บรรยากาศอะไรหรือ” ลู่เซิ่งสงสัยเล็กน้อย
“บรรยากาศอิสระ ตัวเจ้านอกจากฝึกฝน ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ กินข้าว และกิจกรรมบังคับประจำวัน ก็แทบไม่มีเวลาพักผ่อนส่วนตัวเลย ไม่ไปสถานบันเทิง ไม่ชอบพนัน ไม่มักในกาม ไม่ชอบสุรา ไม่ชอบคบหาสหาย นอกจากการฝึกฝน เจ้าก็ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง” จางซื่อหลงจุ๊ปากพลางวิจารณ์ลู่เซิ่งในสายตาคนอื่นๆ
“บอกว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรยังน้อยไป ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ก็มีช่วงเวลาคบหาสหาย ส่วนเจ้า ไม่สนใจอะไรสักอย่าง ตอนประเมินว่าเจ้าเป็นไส้ศึกจากพิภพมารหรือไม่เป็นครั้งแรก ยังได้เพิ่มหัวข้อนี้เข้าไปเป็นกรณีพิเศษด้วย…ขนาดไส้ศึกพิภพมารยังต้องคบหาสหายเพื่อสืบข่าว แต่เจ้า…” จางซื่อหลงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
ลู่เซิ่งอดยิ้มไม่ได้
“ถ้าต้องนับจริงๆ ก็ถือว่าใช่”
“เจ้ายังหนุ่มนัก อายุแค่สามสิบปีเอง อายุแค่นี้แต่ไม่มีงานอดิเรกทั่วไปเลยใช้ได้ที่ไหน ในเขตจันทราสารทมีไม่กี่คนที่คบหากับเจ้าในระดับเดียวกันได้ ไอ้การไม่มีเพื่อนก็ถือว่าปกติอยู่หรอก แต่พอมาถึงที่นี่เจ้าไม่อาจทำแบบนี้ได้อีกแล้ว” จางซื่อหลงจนปัญญาเล็กน้อย “ข้าไม่อยากให้การฝึกฝนของเจ้าหยุดชะงักเพราะปัญหาด้านสารกาย”
“ยังดีอยู่ขอรับ ข้อนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก” ลู่เซิ่งยิ้มแย้ม “ผู้อาวุโสท่านยังไม่ได้บอกว่าหลังข้ามแม่น้ำสายนี้ไปแล้ว จะมีความแตกต่างกับเขตจันทราสารทตรงไหนเลย”
“อ้อ เรื่องนี้นี่เอง…” จางซื่อหลงลูบหนวดเคราใต้คาง “ทั่วทั้งเขตจันทราสารทของพวกเราถูกสามสำนักใหญ่กับราชวงศ์ควบคุมอยู่ในมือ นับเป็นหนึ่งในอาณาเขตที่ปลอดภัยที่สุดของต้าอิน แต่ความจริงนี่เป็นอาณาเขตเล็กๆ ที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองหลายชั้นเท่านั้น เพียงแต่อาณาเขตส่วนใหญ่นั้นเหมือนกับเมืองไร้เหมันต์ สามสำนักใหญ่กับราชวงศ์ไม่อาจควบคุมพื้นที่ทุกส่วนได้โดยสมบูรณ์ ที่นั่นเต็มไปด้วยสำนักและค่ายพรรคต่างๆ มีตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ๆ มากมาย โลกใบนี้ไม่ได้มีแค่สามสำนักใหญ่เท่านั้นที่นับเป็นสำนัก และไม่ได้มีแค่สามตระกูลใหญ่ที่เป็นตระกูลขุนนาง ยังมีตระกูลใหญ่ๆ ที่เป็นตระกูลขุนนางและสำนักอื่นๆ อีกเยอะแยะ สถานที่ที่พวกเขาอยู่อาศัยเป็นอาณาเขตส่วนใหญ่อยู่ด้านนอกเขตจันทราสารท”
ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว “มิน่าตลอดทางที่ผ่านมาพวกเราถึงไม่เจอสัตว์ดุร้ายกับปีศาจแม้แต่ตัวเดียว”
“เป็นเพราะมีทัพอาทิตย์เจิดจ้าคอยกำจัดพวกมันเป็นระยะๆ” จางซื่อหลงเอ่ยยิ้มๆ
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ แม่น้ำทางซ้ายมือก็มีเรือใหญ่ลำหนึ่งแล่นมา เป็นเรือใหญ่สำหรับท่องเที่ยวที่มีหอสามชั้นเหมือนกับพวกเขา
บุรุษวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีเขียวยืนอยู่บนหัวเรือฝั่งตรงข้าม หัวเสือสีขาวปักติดอยู่บนไหล่ขวาของเขา มือหนึ่งไพล่ไว้ด้านหลัง อีกมือถือค้อนตะปูสีดำที่ยาวเท่าแขนเอาไว้
“หานหลินจวิน!” บุรุษสีหน้าอึมครึม ประกายตาดุจสายฟ้า “เจ้าไสหัวออกมา! มิฉะนั้นอย่าโทษว่าบริวารของข้าไม่ปรานี!”
เสียงของเขาบาดหู ดังมาทางนี้โดยอยู่ห่างออกไปหลายสิบหมี่
ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น สองฟากข้างของเรือใหญ่ที่เขาอยู่ยังมีเงาคนหลายสายลอยตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งมายังเรือใหญ่ทางด้านนี้
เถ้าแก่ของเรือสินค้าเป็นคนอ้วนฉุคนหนึ่ง ตอนนี้พุ่งออกมาจากประตูท้องเรือพร้อมกับเหงื่อที่แตกเต็มศีรษะ ทั้งยังพาคนคุ้มกันที่สีหน้าซีดขาวหลายคนมาด้วย พอเห็นภาพนี้ก็ตกใจจนขาแทบอ่อนระทวย
“มีวาจาค่อยๆ คุยกัน! มีวาจาค่อยๆ คุยกัน! สุภาพบุรุษทุกท่าน ข้าน้อยเฉินเค่าจวิ้น เรือลำนี้เพียงขนส่งผ้าต่วนกับสุราสำหรับขายต่อส่วนหนึ่ง ไม่มีหานหลินจวินที่ท่านกล่าวถึง!…” เห็นได้ว่ามีหญิงสาวสองคนซ่อนตัวอยู่ด้านในประตูท้องเรือด้านหลังคนอ้วน คล้ายกับล้วนเป็นครอบครัวของเขา
ไม่นานคนที่ปีนขึ้นเรือมาก็ถือสิทธิ์ควบคุมเรือสินค้าไว้ เริ่มเชื่อมกราบเรือและตรวจค้น คนที่สวมอาภรณ์หัวพยัคฆ์สีขาวหลายกลุ่มพากันขึ้นเรือ จากนั้นก็ลากคนที่อยู่ในท้องเรือทั้งหมดออกมายืนเรียงแถวบนดาดฟ้าเรือเพื่อรับการตรวจค้น
“เห็นหรือยัง นี่ก็คือความแตกต่าง” พอจางซื่อหลงเห็นภาพนี้ก็ถอนใจเล็กน้อย “ในเขตจันทราสารทมีทัพอาทิตย์เจิดจ้าคอยลาดตระเวน จึงสงบสุขเรียบร้อย แต่ว่าด้านนอกนี้การฆ่าคนทำลายศพเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ขอแค่ไม่รุนแรงเกินไป ก็จะไม่มีปัญหาใด”
“นี่คือความแตกต่างที่ท่านว่าหรือ” ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว จากมุมของเขาสามารถเห็นได้พอดีว่าพ่อค้าร่ำรวยอ้วนฉุคนนั้นกำลังคุยกับพวกคนสวมอาภรณ์หัวเสือที่อยู่บนเรือ ส่วนหญิงสาวสวมกระโปรงเขียวคนหนึ่งในหญิงสาวสองคนที่ซ่อนอยู่ในท้องเรือด้านหลังเขา แม้สีหน้านางจะหวาดหวั่นพรั่นกลัว แต่ในส่วนลึกของดวงตากลับไม่ใช่ความขลาดกลัว หากเป็นความอดทน เจ็บปวด และอัดอั้น
“นี่คือยุทธภพ ยุทธภพของต้าอิน” จางซื่อหลงส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“ข้านับถึงสิบ ถ้าไม่ออกมาอีก จะเผาเรือทิ้ง” เวลานี้บนเรือใหญ่ฝั่งตรงข้ามมีเสียงพูดที่ชัดเจนของบุรุษวัยกลางคนดังมา
ลู่เซิ่งเห็นอย่างชัดเจนว่าหญิงสาวสวมกระโปรงเขียวคนนั้นผุดสีหน้าตึงเครียด ทั้งยังจับชายกระโปรงแน่นขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวอาภรณ์ขาวที่อยู่ข้างกายนางแม้จะหวาดกลัวมากเช่นกัน แต่กลับคอยปลอบประโลมนางอยู่
เวลานี้พ่อค้าผู้เป็นสหายสนิทของจางซื่อหลงแอบวิ่งมาหา
“สหายซื่อหลง คิดหาวิธีหน่อยเถอะ คิดหาวิธีหน่อย! นี่มันพรรคพยัคฆ์คลั่งที่เป็นหนึ่งในสี่พรรคใหญ่ของจังหวัดไร้เหมันต์เชียวนะ! ท่านมีเส้นสายมาก แถมการข่าวยังฉับไว ครั้งนี้ต้องพึ่งพาท่านแล้ว!” พ่อค้าร่ำรวยผู้นี้แซ่หวัง เวลานี้ใบหน้าอ้วนกลมเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แสดงให้เห็นว่าเครียดเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องห่วงๆ วิธีน่ะมี ให้ข้าจัดการเถอะ” จางซื่อหลงไม่นำพาแม้แต่น้อย ก่อนจะตบมือของพ่อค้าเบาๆ “เจ้าไปหาคนอื่นๆ ก่อน อย่าให้ทุกคนวุ่นวายเกินจำเป็น หากเกิดความวุ่นวายขึ้นจะแย่เอา”
“สหายซื่อหลง เจ้ามีวิธีจริงๆ หรือ”
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ไว้ใจข้าเถอะ” จางซื่อหลงแสดงสีหน้าผ่อนคลาย เขาเป็นผู้อาวุโสของสำนักใหญ่อย่างสำนักพันอาทิตย์ ต่อให้เป็นสาขาย่อย พรรคเล็กๆ ทั่วไปก็ไม่อาจหาเรื่องได้
ตอนนี้บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเริ่มนับแล้ว
“หนึ่ง”
“สอง”
“สาม”
หานหลินจวินจิตใจว้าวุ่น หัวใจเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ นางก้มหน้าลงจับชายกระโปรงของตนไว้แน่น
พรรคพยัคฆ์คลั่งไล่ตามมาถึงที่นี่เลยอย่างนั้นหรือ ดูท่าทางจะต้องรู้แน่ว่านางเป็นคนที่นำสิ่งของหนีมา ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมเสี่ยงถูกจังหวัดไร้เหมันต์สอบสวน เนื่องจากขัดขวางเรือสินค้าทั้งที่อยู่ใกล้แบบนี้
‘ทำอย่างไรดี พวกเขาจะกล้า จะกล้าลงมือทั้งที่อยู่ใกล้ขนาดนี้เชียวหรือ!?’ หานหลินจวินก้มศีรษะฟังเสียงนับถอยหลังด้านนอก เลือดทั่วร่างราวกับถูกแช่แข็ง หัวสมองขาวโพลนไปหมด
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ นางก็หวนนึกถึงคำพูดในตอนที่ท่านพ่อมอบของสิ่งนั้นให้ตนขึ้นมา
‘จะให้คนของพรรคพยัคฆ์คลั่งได้มันไปไม่ได้! หากว่าพวกเขารวบรวมชิ้นส่วนได้ครบ จะต้องสะกดทั่วทั้งเหอตงโดยไม่ยั้งมือแน่!’
หานหลินจวินยิ้มอย่างขื่นขม มองหลินหรุ่ยสหายสนิทที่คอยปลอบตนอยู่ข้างๆ นางไม่อยากทำให้สหายสนิทต้องมาลำบากไปด้วย แต่เรื่องราวมาถึงตอนนี้…
“หก!”
“เจ็ด!”
“แปด!”
“เก้า!”
ลู่เซิ่งกำด้ามกระบี่ที่เอวเบาๆ ขณะกำลังจะก้าวไปด้านหน้า จางซื่อหลงที่อยู่ด้านข้างก็ยกมือขึ้นขวางเขาไว้
“ข้าจัดการเอง เจ้ากระหายการฆ่ามากไปแล้ว” จางซื่อหลงยิ้มอย่างฝืดเฝือ
ลู่เซิ่งคลายมือก่อนจะยิ้มออกมา
จางซื่อหลงก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งแล้วกล่าวเสียงกังวาน “ข้าน้อยจางซื่อหลงแห่งสำนักพันอาทิตย์ ขอเรียนถามว่าใครจากพรรคพยัคฆ์คลั่งอยู่ตรงหน้าหรือ ได้โปรดเห็นแก่หน้าข้า ปล่อยให้เรือผ่านไปเถิด”
เสียงของเขาดุจอัสนีบาต ซัดโหมออกไปกระแทกทุกคนบนเรือใหญ่ทางด้านนั้นจนร่างโคลงเคลง มองแต่ไกลมีคนไม่น้อยถูกกระแทกจนล้มลมกับพื้นเพราะเสียสมดุล
ครั้นคนบนเรือสินค้าฝั่งนี้ได้ยินคำว่าสำนักพันอาทิตย์ ก็พลันพากันร้องตกใจ หลังจากเสียงอุทานก็เป็นเสียงโห่ร้อง หนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งต้าอิน ชื่อนี้มิใช่คุยโว เมื่อมียอดฝีมือจากสำนักพันอาทิตย์อยู่ที่นี่ เรือกับคนจะต้องปลอดภัยแน่นอน
โดยเฉพาะพ่อค้าร่ำรวยอ้วนฉุคนนั้น เมื่อครู่ยังทำหน้าทุกข์ตรม ทั้งยังเหงื่อแตกโซมกาย เวลานี้พอได้ยินว่ามีโอกาสพลิกสถานการณ์ สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงในบัดดล เขาอ้าปากคิดจะหัวเราะ แต่ปรับเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน ท่าทางจึงพิลึกกึกกือถึงขีดสุด
หานหลินจวินกับหลินหรุ่ยที่ยืนอยู่ในท้องเรือด้านหลังเขา ต่างผุดสีหน้างุนงง จากนั้นก็โห่ร้องทันที พวกนางต่างก็โล่งใจ ก่อนหน้านี้คิดว่าต้องตายแน่ นึกไม่ถึงว่าจะเจอเส้นทางรอด
หานหลินจวินโล่งอก รู้สึกวิงเวียนจนเกือบจะล้มลงกับพื้น ยังดีที่มีหลินหรุ่ยประคองไว้
“สำนักพันอาทิตย์หรือ” สีหน้าของบุรุษวัยกลางคนบนเรือใหญ่ฝั่งตรงข้ามไม่เปลี่ยนแปลง สายตาค่อยๆ เลื่อนมาทางจางซื่อหลง “ที่แท้เป็นผู้อาวุโวจางแห่งสำนักพันอาทิตย์จากเขตจันทราสารทนี่เอง”
“เป็นข้าเอง ขอบังอาจถามนามยิ่งใหญ่ของท่าน” จางซื่อหลงประสานมือกล่าว
บุรุษวัยกลางคนมองจางซื่อหลงครู่หนึ่ง
“ข้ารองประมุขพรรคพยัคฆ์คลั่ง หยวนอิ่นเซียว”
“ขอให้ประมุขพรรคหยวนปล่อยเรือลำนี้ไปเพื่อเห็นแก่หน้าข้าด้วยเถอะ” จางซื่อหลงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
คิ้วของหยวนอิ่นเซียวค่อยๆ คลายออกจากกัน ดวงตาเป็นประกาย “ผู้อาวุโสจางกล่าวหนักไปแล้ว แต่ว่าคิดจะปล่อยเรือให้ผ่านไป หน้าของท่านยังไม่ใหญ่พอ”
ตอนแรกจางซื่อหลงนึกว่าเมื่อตนแสดงท่าที สมควรจัดการปัญหาได้สบายๆ ตอนนี้กลับนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโต้ตอบกลับมา
สีหน้าเขาพลันแข็งทื่อ ยืนยิ่งอยู่กับที่แบบนี้ ไม่ทราบจะตอบสนองอย่างไรอยู่ชั่วขณะ
ด้วยตำแหน่งและสถานะของเขา รองประมุขพรรคพยัคฆ์คลั่งกลับกล้าไม่ไว้หน้ากันหรือนี่
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แม้แต่คนอื่นๆ บนเรือสินค้าก็ล้วนนิ่งอึ้งไปเช่นกัน
……………………………………….