บทที่ 353 ผูกแค้น (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 353 ผูกแค้น (1)

“ผู้เฒ่าจาง ให้ข้าจัดการเองดีกว่า” ลู่เซิ่งก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว

พรึ่บ

จางซื่อหลงพลันยื่นมือไปห้ามเขาไว้

“ไม่เป็นไร ข้ารู้แล้วว่าเขาเป็นใคร ข้าเอง” เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองหยวนอิ่นเซียว

ถึงแม้เขาจะไปๆ มาๆ เมืองไร้เหมันต์หลายครั้งแล้ว แต่คนที่ทราบสถานะของเขาได้ง่ายดุจยกมือ ทั้งยังเรียกชื่อของเขาถูกมีไม่กี่คนเท่านั้น บวกกับมีแซ่ว่าหยวน ขอบเขตนี้จึงหดเล็กลงอีกขั้นหนึ่ง

“ในเมื่อประมุขพรรคหยวนไม่คิดจะเห็นแก่หน้าข้า อย่างนั้นก็ตามสบายเถอะ” เขาตอบเสียงกังวาน ท่าทางเหมือนไม่คิดจะลุยน้ำขุ่นนี้แล้ว จากนั้นก็พาลู่เซิ่งเดินไปชมอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา

หยวนอิ่นเซียวยิ้มแย้ม ประสานมือคารวะจางซื่อหลง ก่อนจะเริ่มให้คนสอบสวนและตรวจสอบทุกคนบนเรือ

ตอนแรกเป็นลูกเรือที่อยู่บนเรือ จากนั้นก็เป็นผู้ดูแล มือพาย และต้นหน ท้ายสุดจึงเป็นนายเรือและพ่อค้าที่เหมาเรือ

หานหลินจวินซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเพื่อนสนิทและบิดา ทำท่าเหมือนเด็กสาวผู้เชื่อฟังที่กำลังขลาดกลัว พอได้ยินเสียงสอบสวนที่ยิ่งมายิ่งเข้าใกล้ด้านนอก จิตใจก็ยิ่งมายิ่งกระสับกระส่าย

“อย่ากลัว…อย่ากลัว…ท่านพ่อจะปกป้องพวกเราเอง ยังมีผู้อาวุโสจากสำนักพันอาทิตย์ท่านนั้นอยู่ด้วย…เขาไม่กล้าอาละวาดแน่ ไม่กล้าหรอก…” หลินหรุ่ยผู้เป็นเพื่อนสนิทไม่รู้จักสถานะและเบื้องลึกของหานหลินจวิน ตอนทั้งสองคบหากันไม่ได้พูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ นางนึกว่าหานหลินจวินร้อนรนเพราะหวาดกลัวเท่านั้น

“ไม่เป็นไร…ข้าไม่เป็นไร” หานหลินจวินตอบกลับเสียงเบา นางไม่กล้าเงยหน้ามองเพื่อนสนิท ความละอายใจหยั่งรากลึกเข้าไปในส่วนลึกของร่างกายเหมือนกับรากไม้

ถ้าหากว่าบิดาไม่บอกถึงความสามารถในของขลังที่เขามอบให้นางก่อนตาย อย่างนั้นวันนี้คงเป็นวันตายของนาง มิหนำซ้ำไม่ใช่แค่นางตายคนเดียว ทุกคนบนเรือล้วนต้องตาย

นางก้มหน้า ไม่นานพลพรรคสตรีคนหนึ่งของพรรคพยัคฆ์คลั่งก็เดินมา นางถือกระบองสั้นสีดำ ปลายประบองสั้นฝังหัวพยัคฆ์โลหะสีเงินที่สมจริงราวมีชีวิต

นางยื่นหัวพยัคฆ์นั้นเข้าใกล้เด็กสาวทั้งสอง พร้อมกับทิ่มไปทิ่มมาบนร่างพวกนาง

“ไม่มี” พลพรรคสตรีกล่าวอย่างเรียบเฉย ก่อนจะหมุนตัวจากไป

“ขอบคุณฟ้าดิน!” พ่อค้าอ้วนพ่นลมหายใจยาว “ลูก เสี่ยวหลิน ไม่มีอะไรแล้ว ไปซ่อนด้านในก่อน จงอย่าออกมา”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านพ่อ พวกเราจะอยู่นี่ ไม่ไปไหนทั้งสิ้น” หลินหรุ่ยพูดอย่างแน่วแน่

หานหลินจวินไม่ได้พูดอะไร เพียงบีบมือของสหายสนิท สายตาของนางหยุดอยู่บนร่างของจางซื่อหลงที่ยืนอยู่ดาดฟ้าเรือไม่ไกลออกไปเงียบๆ

เวลาล่วงเลยไปทีละนาทีทีละวินาที ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ คนจากพรรคพยัคฆ์คลั่งไล่ตรวจทีละชั้น ยังคงไม่ได้ผลลัพธ์อะไร

หัวโจกหลายคนกลับไปรายงานผลลัพธ์กับหยวนอิ่นเซียวเบาๆ

“หือ? ไม่เจออย่างนั้นหรือ” เขาผุดสีหน้าเหยเก สายตาเริ่มกวาดมองทุกคนบนเรือ

หยวนอิ่นเซียวกวาดตามองพ่อค้าร่ำรวยเหล่านั้น จนพวกเขาอกสั่นขวัญแขวน เหงื่อกาฬแตกพลั่ก จากนั้นก็มองเหล่าสตรีที่อยู่ใกล้ๆ หลินหรุ่ยกับหานหลินจวินเป็นแค่คนสองคนในหมู่สตรีที่อยู่บนเรือ นอกจากนี้ยังมีอนุและหญิงรับใช้ของพวกพ่อค้าอยู่ด้วย คนสิบกว่าคนเหมือนกับนกกระทาที่กำลังกอดกัน ล้วนไม่กล้าขยับเขยื้อนภายใต้สายตาของหยวนอิ่นเซียว

จางซื่อหลงสังเกตเห็นว่า ต่อให้หยวนอิ่นเซียวจะเห็นเด็กสาวที่งดงามที่สุดสองสามคนในนี้ แต่ก็ไม่ได้เพ่งความสนใจแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นว่าเป็นบุคคลที่มีจิตใจแน่วแน่

หลังกวาดตามองทีละคนๆ ก็ล้วนพบว่าทุกคนไม่มีปัญหาใด

“สอบสวนแล้วหรือ” เขาถามเสียงทุ้ม

บุรุษสวมเกราะอ่อนครึ่งตัวเข้ามาพยักหน้าให้ “สอบสวนแล้วขอรับ ไม่มีเบาะแส เรือลำนี้เดินทางมาจากตำบลทรายแดง บนเรือนอกจากคนสองคนจากสำนักพันอาทิตย์ ที่เหลือล้วนเป็นพ่อค้าร่ำรวยที่อยู่ใกล้ๆ เรือเป็นของสมาคมพ่อค้าธงขาว ส่วนคนมาจากสมาคมพ่อค้าอี๋หนาน มาเจรจาการค้าขาย”

“เจรจาการค้าแล้วพาครอบครัวมาด้วยทำไม” หยวนอิ่นเซียวถามเสียงเย็น

“ว่ากันว่ามีพ่อค้าสองคนจัดซื้อบ้านในนครจังหวัด จึงพาสตรีในครอบครัวมาเตรียมลงหลักปักฐานขอรับ” บริวารคนนั้นตอบเสียงแผ่ว

“นอกจากนี้เล่า”

“หมดแล้วขอรับ อาชีพของคนบนเรือไม่ซับซ้อน คำตอบที่ได้มีแค่นี้ขอรับ” บริวารคนนั้นตอบกลับอย่างเรียบเฉย

หยวนอิ่นหลงสีหน้าทะมึนขึ้นเรื่อยๆ “ในเมื่อหาหานหลินจวินไม่เจอ อย่างนั้นดูแค่ว่าของสิ่งนั้นอยู่ไหนก็พอ”

“หาแล้วเช่นกันขอรับ ของขลังสำหรับใช้ทดสอบไม่มีการตอบสนอง”

“ข้ามจุดไหนบนเรือไปหรือไม่”

“เอ่อ…” บุรุษที่เป็นบริวารลังเลเล็กน้อย ก่อนมองไปยังพวกจางซื่อหลงที่อยู่ด้านข้าง

หยวนอิ่นเซียวขมวดคิ้วมุ่น สายตาของเขาส่ายไหวเล็กน้อย จากนั้นก็หยุดอยู่บนร่างของจางซื่อหลงที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“ผู้อาวุโสจาง อย่าโทษข้าผู้แซ่หยวนไม่เห็นแก่หน้าท่าน แต่เรื่องราวครั้งนี้มีความสำคัญมากจริงๆ ขออภัยด้วย” เขาโบกมือ จากนั้นก็มีบุรุษคลุมหน้าสวมเกราะอ่อนครึ่งตัวสองคนเดินออกมาจากด้านหลัง พวกเขาจับด้ามดาบที่อยู่เอวพร้อมกับเดินเข้าหาจางซื่อหลง

จางซื่อหลงผุดสีหน้างุนงง จากนั้นก็เดือดดาลทันที เกือบจะข่มความปรารถนาที่จะลงมือเอาไว้ไม่อยู่

หว่างคิ้วลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหลังแสดงความหงุดหงิดมากขึ้น เขาเดินไปด้านหน้าคิดลงมือ กลับถูกจางซื่อหลงห้ามปรามไว้

“อย่าใจร้อน! ข้าจัดการเอง” จางซื่อหลงสูดหายใจลึก เขาไม่ได้เจอความอัปยศแบบนี้ในฐานะผู้อาวุโสสำนักพันอาทิตย์มานานแล้ว

“อะไรกัน ท่านยังคิดจะค้นตัวข้าอีกหรือ?!” เขาจ้องมองหยวนอิ่นเซียวด้วยสองตาดุร้าย

หยวนอิ่นเซียวใบหน้าไร้อารมณ์ “ผู้อาวุโสจางกล่าวหนักไปแล้ว เพียงแต่เรือนี้ถูกค้นไปหมดแล้ว กระนั้นก็ยังไม่เจอว่าสิ่งของอยู่ไหน ตอนนี้มีแต่บนตัวท่านที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ…”

จางซื่อหลงโกรธจนทรวงอกสะท้อนขึ้นลงอย่างหนักหน่วง แค่พรรคพยัคฆ์คลั่งพรรคเดียว! ชั่วขณะนั้นเขาคิดจะลงมือให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอนึกถึงขุมกำลังเบื้องหลังหยวนอิ่นเซียว…

“ประเสริฐๆ! ข้าจะให้ท่านค้น ดูว่าของอยู่บนตัวข้าหรือไม่” จางซื่อหลงข่มความโกรธ กางสองมือออก ปล่อยให้สองคนเข้ามาค้นกระเป๋าเสื้อและถุงสะพายหลังของเขาอย่างละเอียด

“ผู้เฒ่าจาง…” ลู่เซิงหยีตา สีหน้าอึมครึมลง คิดจะพูดอะไรอีก แต่ยังถูกอีกฝ่ายหยุดยั้งไว้

“ไม่เป็นไร ให้พวกเขาค้นไป” จางซื่อหลงยืดตัวตรง เขารู้แล้วว่าเบื้องหลังหยวนอิ่นเซียวคือใคร เขาล่วงเกินไม่ไหวและหลบเลี่ยงไม่ได้ ครั้งนี้นอกจากอดกลั้นก็ไม่มีวิธีอื่นอีก แค่กล่าวถ้อยคำโต้เถียงสองสามประโยคก็ถือว่าเขาต่อต้านสุดความสามารถแล้ว ทว่าลู่เซิ่งนั้นแตกต่าง เขามีอนาคตยาวไกล จะหาเรื่องคนกลุ่มนั้นที่นี่ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นผลกระทบในวันหน้าจะมากมายเกินไป เขายังหนุ่มนัก จะให้ถูกทำลายที่นี่เพราะความวู่วามชั่วขณะไม่ได้

สองคนนั้นเดินเข้ามา ค้นตัวจางซื่อหลงสักพักหนึ่ง ยังคงไม่พบอะไร

“พอแล้วกระมัง” จางซื่อหลงแค่นเสียงอย่างเย็นชา

“ล่วงเกินผู้อาวุโสจางแล้ว” หยวนอิ่นเซียวขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม

“พวกเราไปได้แล้วกระมัง” จางซื่อหลงไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกต่อไป เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แทรกซ้อน ตอนนี้พอเห็นว่าค้นอะไรไม่เจอ พลันเค้นเสียงกล่าวเสียงเย็นชา

หยวนอิ่นเซียวกำลังจะพยักหน้า พลันสังเกตเห็นบุรุษหนุ่มด้านหลังจางซื่อหลง ดูเหมือนจะเป็นลูกศิษย์หรือไม่ก็เป็นผู้รับใช้ของเขา

“รอเดี๋ยว ท่านนี้คือศิษย์ของผู้อาวุโสจางกระมัง” สายตาของเขาอยู่บนตัวลู่เซิ่ง “ค้นตัวเขาหรือยัง” เขาหันไปถามคนที่อยู่ด้านข้าง

บุรุษคลุมหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาตอบ “เรียนประมุขพรรค ยังขอรับ”

“อย่างนั้นยังอยู่เฉยทำอะไร” หยวนอิ่นเซียวแสดงสีหน้าเย็นชา

บรรยากาศหนักอึ้งอยู่ชั่วขณะ

จางซื่อหลงกำลังจะลงเรือเพื่อรีบพาลู่เซิ่งซึ่งกำลังจะทนไม่ไหวจากไป กลับนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนี้อย่างกะทันหัน

เขาพลันเห็นสายตาของลู่เซิ่งเปลี่ยนแปลง เดิมทีคนผู้นี้กระหายเลือดอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช้เขาห้ามไว้ อีกฝ่ายคงจะลงมือสังหารคนแต่แรก เดิมนึกว่าในที่สุดก็จากไปอย่างปลอดภัยได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในเวลาสำคัญพอดี

จางซื่อหลงคิดจะเข้าไปห้ามลู่เซิ่ง กระนั้นไม่ว่าจะดึงเสื้ออย่างไร ลู่เซิ่งก็ไม่ขยับ ใบหน้าค่อยๆ ผุดรอยยิ้มแปลกประหลาดขึ้น

“ถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าให้ข้าจัดการแต่แรกก็จบไปแล้ว” ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักกระบี่ขึ้น โครงสร้างเยื่อดำหลายสายปรากฏบนร่าง

“อย่าให้มันไปถึงขั้นนี้เลย”

หลังจากลู่เซิ่งชักกระบี่ ก็เหมือนกับไปกระทุ้งรังแตนเข้า คนกลุ่มใหญ่บนเรือพากันชักอาวุธทั้งหมดออกมาชี้เขา

“ลู่เซิ่ง!” จางซื่อหลงคว้ามือข้างที่กำกระบี่ของลู่เซิ่งไว้ “อย่าใจร้อน!”

“ข้าไม่เคยใจร้อนเวลาทำอะไร เหมือนกับคนทุกคนที่ข้าสังหารไปนั่นแหละ” ลู่เซิ่งสะบัดมือจางซื่อหลงทิ้ง ก่อนจะเดินเอื่อยๆ ไปด้านหน้า

หยวนอิ่นเซียวหรี่ตาจ้องมองลู่เซิ่งที่ค่อยๆ เดินเข้าใกล้

“ท่านคิดทำอะไร”

“เจ้าเดาดูสิ” ลู่เซิ่งเงยหน้าหัวเราะ

พรึ่บ

เงาร่างของเขาหายไปจากที่เดิมในพริบตา จากนั้นก็โผล่ขึ้นด้านหลังหยวนอิ่นเซียวโดยตรง

เคร้ง!

หยวนอิ่นเซียวสีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก่อนจะพลิกมือชักมีดออกมาป้องกันกระบี่อย่างแม่นยำ ทว่าพละกำลังอันมาศาลที่ส่งมาจากกระบี่ทำให้ใบหน้าเขาผกผันในชั่วพริบตา

ตูม!

แรงกระแทกอันน่ากลัวพุ่งใส่ร่างหยวนอิ่นเซียว แล้วดีดเขาให้กระเด็นออกไปชนกับเรือใหญ่ด้านหลังเหมือนกระสุนปืนใหญ่

เปรี้ยง!

ตัวเรือถูกกระแทกใส่จนกลายเป็นรูขนาดมหึมาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าหมี่ หยวนอิ่นเซียวฝังอยู่ในรู รอบๆ ตัวคือโครงเหล็กหุ้มไม้ ลักษณะคล้ายแมลงที่บินไปติดใยแมงมุม

เขากระไอกระอัก เลือดไหลออกมาจากมุมปากแล้วย้อมเสื้อผ้าบนตัวให้กลายเป็นสีแดง

ดาดฟ้าเรือของเรือสองลำเงียบลงในพริบตา เงียบสงัดดุจความตาย

จากนั้นก็…

“ประมุขพรรค!” พลพรรคพยัคฆ์คลั่งร้องเสียงหลง ยอดฝีมือหลายคนลอยตัวเข้าหาหยวนอิ่นเซียว

คนเกือบสิบกว่าคนวูบไหวร่าง แล้วห้อมล้อมลู่เซิ่งไว้เป็นกลุ่มๆ

ลู่เซิ่งกวาดตามองยอดฝีมือสิบกว่าคนที่ห้อมล้อมตนไว้ คนเหล่านี้ใช้กระบี่ทุกคน

ใบหน้าของเขาเหี้ยมเกรียม “คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์ถือกระบี่ ยิ่งอย่าว่าแต่ขยะ!”

เขาฟันกระบี่ออกไปด้านหน้าดุจสายฟ้าแลบ

ครืน!

ภายใต้ปราณจริงแท้ที่คุ้มคลั่งและพละกำลังจากกายเนื้ออันน่ากลัว แม้แต่จางซื่อหลงที่อยู่ข้างๆ ก็ยังแสดงสีหน้างงงันเพราะจินตนาการอานุภาพของกระบี่นี้ไม่ออกโดยสิ้นเชิง

ปราณกระบี่ที่ยาวสิบกว่าหมี่กลายเป็นรูปเป็นร่างด้วยความเร็วสูง จากนั้นก็พุ่งใส่บนเรือใหญ่ของพรรคพยัคฆ์คลั่งที่อยู่ตรงข้ามอย่างสะเทือนเลือนลั่น

โครม!

เรือใหญ่ทั้งลำถูกผ่ากลางอย่างง่ายดายเหมือนกับตะเกียบไม้ที่เปราะบาง

คนสิบกว่าคนที่ล้อมลู่เซิ่งอยู่ตาแทบถลน อย่าว่าแต่เข้าไปหยุดยั้ง สองคนที่ถูกปราณกระบี่เฉียดใส่ไม่มีพลังแม้แต่จะต้านทาน ร่างกายครึ่งท่อนหายไปในพริบตา

ปราณจริงแท้ไม่น่ากลัว ปราณจริงแท้ของลู่เซิ่งอยู่แค่ระดับสัตตะลักษณ์ แต่พละกำลังกายเนื้อของเขาน่ากลัวเกินไป เมื่อสองสิ่งรวมกัน จึงไปถึงขั้นปฐมปฐพีในชั่วเสี้ยววินาที

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝีมือระดับฟ้ากำเนิดกับระดับพันธนาการจากสำนักและพรรคเล็กๆ เหล่านี้จะต้านทานไหว แม้แต่หยวนอิ่นเซียวที่เป็นยอดฝีมือระดับสัตตะลักษณ์เหมือนกันก็ยังถูกกระบี่ฟันคว่ำโดยไร้พลังต่อต้านแม้แต่น้อย

วู้ม

เรือถูกผ่าเป็นสองส่วน มันแยกกันกระดกขึ้นไปด้านข้าง พร้อมกับฟาดระลอกคลื่นผืนใหญ่ขึ้นมา จากนั้นจึงค่อยๆ จมหายลงไปในน้ำ

ยอดฝีมือพรรคพยัคฆ์คลั่งรอบๆ ตัวลู่เซิ่งหน้าซีดเซียว ไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี หยวนอิ่นเซียวถูกกระบี่ฟันเรือเมื่อครู่ฟันใส่ ตอนนี้คงเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี เมื่อไม่มีผู้นำ ยอดฝีมือธรรมดาเช่นพวกเขาก็ไม่มีที่พึ่งพิงหลักอีก

……………………………………….